วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เซี่ยงไฮ้ - The Bund

มีคนชอบน้องแอร์โฮสเตส ถามไถ่ว่าน่ารักไหม? ตอบว่าน่ารักมากค่ะ บริการด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม สดใส แล้วก็มรรยาทนุ่มนวลมาก แต่ไม่ได้ถ่ายรูปเขาไว้ ไม่รู้นิว่าจะมีคนอยากเห็น
มีอีกคนติงว่า เขียน “555555” ให้มันน้อยหน่อย อ่านแล้วเมา กร๊ากกก 5555555


Day 2 -26 May 2010

แอร์พอร์ตของเซี่ยงไฮ้เขาเป็นรูปเงินโบราณของจีนค่ะ ถามว่าที่ไหนสวยกว่า ก็ต้องตอบว่าสุวรรณภูมิอยู่แล้ว 55555 ช่วงนี้เขากำลังปลุกกระแสรักชาติ แต่ดูจะเว่อร์ไปหน่อยนะ แบบความรู้สึกเป็นว่าต้องเชียร์รัฐบาลปชป ถึงจะเรียกว่ารักชาติอ่ะ ปวดหัวการเมืองไทย ตอนนี้ขอทิ้งทุกอย่างสัก 6-7 วันเถอะ


มาถึงก็เจอด่านเขาวงกตเลี้ยวหักไปหักมา มึนตั้งแต่แรกเลยนะ 5555555 ความจริงคนก็ไม่เยอะ แล้วจะให้เดินหักไปหักมาหาอะไรเนี่ยะ คนแก่เวียนเฮดนะ


หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแบบเรียบร้อยดี ก็เข้าห้องน้ำกันให้เรียบร้อยก่อนเลย จากนั้นก็เดินแบกกระเป๋าอันหนักอึ้ง เดินยาวตั้งแต่นาทีแรกที่เหยียบแดนมังกรเลย ไปขึ้นรถไฟความเร็วสูง ที่เขาเรียกว่า Maglev เอาตั๋วเครื่องบินไปแสดง ก็ซื้อได้ในราคา 40 หยวน จากราคา 50 หยวน รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้นั่งรถไฟความเร็วสูง 555555 แต่คนใช้บริการน้อยจัง แบบว่าทั้งโบกี้มีแต่คณะเรา แล้วที่นั่งก็กว้าง โอ่โถง นอนไปคนละ 1 แถวที่นั่งยังได้เลย เหอ ๆ ตื่นเต้นมาก อยากรู้ว่ามันจะเร็วแค่ไหน พอรถออกแล้วก็เร็วน่ะ แต่ไม่มากอย่างที่จินตนาการไว้ 555555 คือจินตนาการไว้ว่า มันต้องเร็วชนิดว่ายืนอยู่ในรถไฟไม่ได้ เพราะตัวจะลอย ๆ เนื่องจากความเร็วสูงจัด (งั้นทำไมอยู่บนเครื่องบินที่เร็วกว่าในรถไฟตั้งหลายเท่า ทำไมยังเดินไปเดินมาได้ยะยัยอ่อง? 555555 เออเนอะ)


นั่งมายังซึมซับบรรยากาศความเร็วสูงไม่ช่ำปอดเลยถึงแล้ว อารายกัน หรือว่าสนามบินจะอยู่ใกล้ตัวเมือง? ลงจาก maglev ก็เดินไปขึ้น subway สถานีอะไรไม่ได้ดูชื่อ รู้แต่ว่าต้องนั่งไปอีก 10 สถานี คนละ 4 หยวน รับว่าถูกกว่าของบ้านเรา แต่ขอโทษคนแน่นมากถึงมากที่สุด ทรมานจริง ๆ คิดดูดิมีกระเป๋าใบใหญ่แบกไว้ข้างหลัง ข้างหน้าเป้เล็ก ๆ อีก 1 ใบ คนแน่นชนิดไม่ต้องเกาะอะไรก็ไม่มีทางล้ม ที่แย่คือมีหมวยคนหนึ่งเป็นหวัด กลิ่นไวรัสชัดเจนมายืนเผชิญหน้าหายใจรดใส่ จะหันหน้าหนีก็ยาก ต้องพยายามหายใจเข้าสั้น ๆ ออกยาว ๆ 55555 เซ็งพิลึก แต่ในที่สุดก็มาถึงจุดหมายปลายทางแบบสะบักสะบอมเต็มที ขึ้นจาก subway มาเจอปัญหาใหม่ ทางไปโรงแรมมันไปทางซ้ายหรือทางขวาฟระ? ถามคนจีน ไม่มีใครพูดรู้เรื่องเลย 55555 ภาษาอังกฤษใช้ไม่ได้เลยสำหรับเซี่ยงไฮ้ ถ้ารู้มาก่อน จะยอมลงทุนซื้อ talk dic อ่ะ เพราะว่าตลอดทริปที่ไม่มีไกด์ มันจำเป็นจริง ๆ กับวิถีชีวิตนักท่องเที่ยวที่นี่ กว่าจะหาทางเดินมาโรงแรมได้ ก็ไม่ไกลมากหรอกค่ะ แต่สัมภาระบนตัวเรา...อายุอานามก็ไม่ใช่สาวน้อยวัยกระเตาะแล้ว สมัยเป็นสาวน้อยยังไม่เคยต้องแบกกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นหลังเดินอย่างทรหดอดทนมากอย่างนี้เลยอ่ะ ยังดีที่กินอาหารเช้าบนเครื่อง กับเข้าส้วมที่แอร์พอร์ตเรียบร้อยแล้ว ไม่งั้นคงลำเค็ญกว่านี้ เพียงก้าวแรก วันแรกที่เซี่ยงไฮ้ ก็ใช้พลังงานไปอักโขแล้ว


แล้วเวลาที่เหลือล่ะ โอมายก็อด..ไม่อยากจะคิด 55555555


เรื่องนั้นอย่าเพิ่งคิด ตอนนี้ปวดอึ๊ 5555555 เมื่อไรจะได้เข้าห้องพักซะที ในที่สุดก็ได้เข้าแล้ว กระเป๋าก็แบกกันเองนะ ที่นี่ไม่มี bell boy รู้งี้เอาเสื้อผ้ามา 2 ตัวพอ แต่ในที่สุด...เวลาเข้าห้องพักได้ก็มาถึง 2110 ค่ะ อยู่ชั้น 21 วิวโอเคใช้ได้เลย (นั่นเป็นเพราะยังไม่รู้จักเซี่ยงไฮ้) เมื่อทำกิจส่วนตัวเสร็จ ก็เดินลงไป reception ว่าจะไปหาข้อมูลสำหรับการท่องเที่ยวสักหน่อย ลงไปไม่ถึง 1 นาที จบ. 5555555 แบบคุยกันไม่รู้เรื่อง แม้แต่ฝ่าย tourist service ที่มีหน้าที่ให้ information กับ tourist ก็ยังคุยภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง (หรือเราพูดไม่รู้เรื่องเองหว่า 55555) สรุปว่าไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย ต้องรอฟิลิปเพื่อนชาวสิงคโปร์ของอู๋ กลับขึ้นมานั่งพักผ่อนบนห้องชาร์ตแบตให้กับร่างกาย


อ้อ...ใช่ มีอีกเรื่อง โรงแรมนี้ชื่อ merry แต่ถ้าออกเสียงเมอรี่ คนจีนจะไม่รู้จัก ต้องออกเป็นเหมยอะไรสักอย่าง ลืมแล้ว 55555 อย่างไรก็ตาม ฉันเอาซองจดหมายของโรงแรมใส่กระเป๋าติดตัวไว้ด้วย แล้วบอกทุกคนให้ทำตามนั้น กะว่าเวลาหลงปุ๊บ ยื่นกระดาษไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลง เหมือนฉลาดนะ 555555 แต่ไว้ติดตามวันต่อไปว่ามันได้ผลหรือเปล่า?


เพียงระยะทางจากสถานี subway มาโรงแรม ฉันพบว่าเมืองเซี่ยงไฮ้สะอาด แล้วก็สวยกว่าเมืองจีนที่ฉันเคยรู้จักมากนัก สมัยเด็ก ๆ เคยไปกวางโจว เวลาเดินถนนต้องใช้สมาธิสูงมาก เพราะคนจีนชอบถ่มน้ำลาย มีแอ่งน้ำลายเยอะมาก ต้องหลบหลีกให้ดี แต่ตอนนี้แทบไม่เห็นคนถ่มน้ำลายเลย ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน อีกอย่างที่สังเกตคือคนเซี่ยงไฮ้รักการอ่านจริง ๆ ตั้งแต่ในรถใต้ดิน จนมาถึงโรงแรม จะเห็นคนเดินอ่านหนังสือพิมพ์เยอะมาก ๆ เดินไปอ่านไป ไม่ยักจะตกบันได


ตามถนนก็ปลูกต้นไม้ไว้อย่างสวยงาม ที่เห็นจำนวนมากคือเมเปิ้ล กับแปะก้วย แล้วโฆษณา expo แทบตลอดเมือง หันไปทางไหนก็ต้องเจอสวนที่ปลูกดอกไม้เรียงเป็นตัวหนังสือ expo, ป้ายตามสถานี, ป้ายที่รถเมล์, ตามกำแพงสถานที่ต่าง ๆ ล้วนทุ่มเทประชาสัมพันธ์งาน expo สุด ๆ เรียกว่าใครมาเซี่ยงไฮ้ตอนนี้แล้วไม่ไปงาน expo เนี่ย..ต้องมีคนเซี่ยงไฮ้เดินมาถามแน่ว่า “มาทำอิหยัง?”


ฟิลิปมาพร้อมกับบัตร expo 3 วัน 6 ใบ บัตรเข้างาน expo มีหลายระดับราคา สนใจไปดูตามลิ้งค์นี้ได้เลยค่ะ http://en.expo2010.cn/expotickets/ticketofi.htm#pw07 ของพวกเรา อู๋สั่งซื้อแบบ 3 วัน ใบละ 400 หยวน ถ้าเป็น 1 วันก็ 160 หยวน จากนั้นฟิลิปพานั่ง taxi ไปลงที่ Hong Yi Plaza มันอยู่ย่านถนนนานจิง (นานจริง ๆ ) ร้านอาหารชื่อ Charme คงอร่อย และดังพอสมควร คนเยอะมากค่ะ ที่ชอบคือมีหอไข่มุกเป็นวิว ใกล้ทีเดียว เพิ่งรู้ว่ามันเป็นสีชมพู


มื้อแรกเราก็เปิ่นซะแล้ว คือตอนที่เขาสั่งอาหารกันก็ไม่ได้สนใจฟังหรอกค่ะ มัวแต่ดูหอไข่มุก 5555 ไม่รู้เหมือนกันว่าชอบอะไรนักหนากับเจ้าหอเนี่ยะ จับได้แต่ว่าเขาถามว่าจะเอาชาหรือกาแฟ ก็สั่งกาแฟไป สักพัก เขาก็ยกถ้วย mug มาเสิร์ฟ มองไปนึกว่ากาแฟ ยังนึกว่าเอ๊ะ แปลกจังยังไม่ทันกินอาหารเลยจะให้กินกาแฟก่อนเลยเหรอ สงสัยเป็นธรรมเนียมของเซี่ยงไฮ้ 5555555 เปิ่นไม่เลิก สีเหมือนกาแฟที่ใส่นมเยอะ ๆ ก็คิดว่าคงเหมือนปักษ์ใต้บ้านเรา กินกาแฟชงกับนมข้นหวานเลยไม่มีครีมน้ำตาลให้เติม เอาช้อนลงไปคน ๆ เอ๊ะ...ก้นถ้วยมีอะไรสักอย่าง ตักขึ้นมาดู ...กาแฟจีนใส่แครอทด้วย?????? 555555 อืมชักสยองเล็ก ๆ ไม่กล้าชิม ตักลงไปอีกที เจอเนื้อสัตว์ 5555555 กาแฟเปี่ยมสาระหรือเปล่าเนี่ยะ 555555 ยังเชื่อว่าเป็นกาแฟจนนาทีนี้ ดูความบื้อซิ!


กำลังจะอ้าปากถามคนที่ยกถ้วยดื่มก่อนว่าเป็นไง สายตาก็ป๊ะกับเมนูบนโต๊ะ soup of the day มีรูปถ้วยเหมือนใบของเราเลย 555555 โธ่เอ๊ย...งงอยู่ตั้งหลายนาที มันเป็นซุปนี่เอง อาหารตามมาในเวลาไม่นาน จานใหญ่มากค่ะ อาหารที่นี่จะมีปริมาณมาก อาจจะเพราะคนจีนต้องกินเยอะ ๆ เพื่อเอาพลังงานไปเดินมั้งคะ -*- ฉันชอบเนยกระเทียมที่เขาเอามาให้กินกับขนมปัง รสชาติดีค่ะ ส่วนอาหารเฉย ๆ ต้องแบ่งให้อู๋ เพราะเยอะเหลือเกิน ขนาดนั้นแล้วก็ยังอิ่มอืดสุด ๆ


ออกจากร้านอาหารก็เดินย่อยอาหาร ผ่านร้านพู่กันจีน ซื้อพู่กันขนาดใหญ่ 1 อัน ไว้สำหรับทำบาติก มีขนาดใหญ่มาก ๆ ด้วย ประมาณว่าจุ่มสีครั้งเดียว สีวิ่งไปทั้งผืนเลย 55555 เอาไปถูบ้านได้เลยแหละ ก็มันใหญ่ซะขนาดนั้น ขอร้านเขาเอาอันนึงมาโพสถ่ายรูปหน่อย แต่ไม่ได้ซื้ออันใหญ่นั้นนะ เพราะออกจะเว่อร์ไปหน่อย


จากนั้นก็เดินไปเที่ยว YuYuan Garden เป็นสวนที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ใช้เวลาสร้างนานถึง 20 ปี (หาอ่านเพิ่มเติมได้จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Yuyuan_Garden)


เนื้อที่สวนมีขนาดเล็ก แต่ทางเดินซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพื่อให้เหมือนกับว่าพื้นที่นี้ใหญ่โต เจ้าของบ้านแต่งสวนไว้นั่งเขียนกวี วาดรูป ดื่มชา พวกบันเทิงเริงรมย์ของคนจีนสมัยโบราณแหละค่ะ สวนได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในราว ๆ ตอนที่ฉันเกิด 555555 ก็เกือบ 50 ปีมาแล้ว จะเข้าไปชมดีไหม? มีค่าผ่านประตูคนละ 40 หยวนอ่ะ แพงใช่ย่อย แต่อู๋บอกเข้าไปเหอะ ฉันก็...เข้าก็ได้ 55555 ก็ร่มรื่นมากค่ะ แต่ถามว่าประทับใจไหม เฉย ๆ นะ คือมันก็เหมือน ๆ สวนจีนทั่วไป แต่ต้นไม้ในสวนนี่อยู่มาหลายร้อยปี คือปลูกมาพร้อม ๆ กับสวนนี้มั้งคะ บางต้นสูงใหญ่มาก คนที่ชอบต้นไม้คงชอบ


ออกจากสวน ตอนแรกว่าจะไปนั่งจิบชา จะได้เข้าห้องน้ำด้วย ปรากฏว่าราคาแพงมาก 555555 คิดสะระตะแล้ว เข้าห้องน้ำเสร็จแล้วก็เดินเที่ยวต่อดีกว่า อู๋ซื้อไอติมชาเขียว รสชาติเหรอ ขม ๆ แบบชาแหละ 555555 อร่อยหรือเปล่าก็เชิญจินตนาการกันตามสบาย เดินผ่านตลาด ชอบตลาดนี้มาก แต่จะเล่าวันหลังนะคะ ตอนนี้ขอมุ่งหน้าไป The Bund ก่อน


The Bund เป็นสถานที่ที่ถ้าใครมาเซี่ยงไฮ้ แล้วไม่ได้ไปเดิน นับว่ายังมาไม่ถึงเซี่ยงไฮ้! ก่อนหน้าที่จะมาถึงเดอะบัน พวกเราเดิน ๆ ๆ ๆ เดินเสียจนฉันลุแก่ปัญญาว่าทำไมเราเกิดมาถึงต้องมีขา -*- ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวคนเนี่ยะ ไม่เคยเดินเยอะจนปวดหลังมาก่อน เพิ่งมาเป็นก็วันนี้แหละค่ะ ครั้งแรกในรอบ 49 ปี เหอะ ๆ ถ้ารู้มาก่อนจะซื้อเครื่อง support หลังรัดเอวไปด้วย น่าจะช่วยได้เยอะ อย่างไรก็ตาม พอมาถึงเดอะบัน ทัศนียภาพที่เห็นก็ทำให้ลืมความเจ็บปวดนั้นได้ไม่น้อย อากาศตอนนี้เริ่มเย็น กลิ่นไอสะอาดจนต้องสูดให้เต็มปอด ผู้คนมากมายเดินทอดน่อง ผ่อนคลายอารมณ์ ฉันเห็นตึกระฟ้าอยู่ฝั่งตรงข้าม ส่วนฝั่งของฉันเป็นตึกคร่ำครึ แต่สง่างามน่าเกรงขาม พวกเรานั่งพักกันบ้าง เดินถ่ายรูปกันบ้าง ยิ่งย่ำค่ำ อากาศก็ยิ่งเย็น ลมเย็นก็พัดผ่านด้วยกำลังสูงขึ้น เป็นบรรยากาศที่น่าควงแขน ซบไหล่คนที่เรารัก ทำไงดีฉันลืมพกมาด้วย 55555555


พอตะวันเริ่มปิ่ม ๆ ขอบฟ้า แสงไฟตามริมถนน และอาคารต่าง ๆ ก็เริ่มทำหน้าที่ให้แสงสว่างแก่โลก กล้องถ่ายรูปก็เริ่มทำงานกันอุตลุต กล้องฉันถ่ายกลางคืนไม่ได้ ฉันจึงคอยวิ่งเข้าไปในกล้องของหนึ่งบ่อย ๆ สมัยก่อนที่ฉันไปเที่ยวไหน ๆ ชอบเก็บภาพแต่ไม่ค่อยอยู่ในภาพ เวลาเอารูปอวดเพื่อน ๆ มักจะมีคำถามว่าทำไมไม่เห็นมีเธอเลย? ตานี้กลับไป คงจะมีคนถามหารูปที่ไม่มียัยแก่มายืนแป้นแล้นให้เสียมู้ดภาพสวย ๆ แน่ 55555 นี่แหละหนามนุษย์ขี้เหม็น นั่นก็ไม่ชอบ นี่ก็ไม่ถูกใจ ทำไมนอกเรื่องเก่งจังนะ 555555


พอถ่ายรูปกันหอมปากหอมคอแล้ว พูดถึงเรื่องถ่ายรูป จะมีเรือติดไฟสวยงามผ่านไปผ่านมาให้ถ่ายรูปเป็นระยะ ๆ ถ้าพลาดลำนี้ไป นั่งรออีกสักประเดี๋ยวก็มาอีกลำค่ะ ไม่ต้องกังวลไป สวยทั้งนั้น ยืนชมแสงสีจนหนำใจ ก็มีหลายคนเริ่มบ่นหิว แต่ฉันรู้สึกล้าจนไม่หิวเลย จึงไปนั่งรอพวกเขากินข้าวเย็นกัน จากร้านอาหาร ที่ไหนก็จำไม่ได้แล้ว 55555 ออกมามีแท็กซี่ผ่านเยอะ แต่เรียกไม่จอดสักคัน ดีที่ฟิลิปมาด้วย เขาต้องโทรเรียกแท็กซี่ให้ กว่าจะได้แท็กซี่ก็ร่วมชั่วโมง หมดสภาพไปตาม ๆ กัน กลับถึงโรงแรมเปิดน้ำร้อนราดหลังก่อนเลย เวลาปวดเมื่อยเนี่ยะ ถ้าเราเอาน้ำอุ่นจัดถึงขั้นร้อนราดตรงที่ปวดเมื่อย หรือจะแช่ก็แล้วแต่ชอบ รับรองว่าดีขึ้นค่ะ งานนี้แทบคลานขึ้นเตียง ไม่ต้องกลัวเรื่องแปลกที่ หัวถึงหมอนไม่เท่าไรก็หลับปุ๋ย หลับยาวถึงเช้า (สาย ๆ) เลยแหละค่ะ


คืนนี้พักผ่อนซะ พรุ่งนี้จะมีโปรแกรมทรมานกระดูกสันหลังที่ expo!
โปรดดูภาพประกอบจาก facebook ค่ะ

2 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

Ong ;At the Bund there is one old hotel where a lot of people spend their evening listenig to jazz music played by agroup of musician who played there since World War 2. I went there and met the pianist who was at that time 87 years old ja. They were good.wish you cuold have rested your legs there. Love. P'Jane

อ่อง นพพร กล่าวว่า...

วันต่อมาอ่องไปอีกรอบค่ะพี่เจน คราวนี้เข้าไปนั่งในแบ้งค์กรุงเทพ 55555555