วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

Love me tender, love me true..

เดือนแห่งความรักมาแล้ว เย้ เย้

หลายครั้งที่จะมีคนพูดว่า ฉันช่างดูมีความสุขจัง  แน่นอนค่ะ..เพราะฉันมีความรักอยู่ในใจเสมอ อย่างที่ฉันเคยพูดว่า..Love is around me... ไม่เพียงแต่ฉันรักผู้อื่น แต่มีผู้อื่นรักฉันด้วยเช่นกัน สำหรับฉัน หลายครั้งที่ความรักเกิดขึ้นง่าย ๆ ปราศจากพิธีรีตอง และไม่สนใจซึ่งเหตุผลว่าสมควรรักหรือไม่? จะเอาอะไรนักหนากับความรักล่ะคะ ในเมื่อรักแล้ว..ทำให้โลกรอบตัวเราสดใส ทำให้เรายิ้มได้ทั้งวัน และทำให้เรารู้จักที่จะ "ให้" ก่อน "รับ"?  จะรักมาก ๆ หรือรักหน่อย ๆ ไม่เป็นไร  จะรักแบบรักกัน หรือรักเขาข้างเดียวกระเทียมลีบ ก็ไม่เป็นไรเช่นกัน  ตราบใดที่รักนั้นทำให้กร๊าฟหัวใจเต้นตึกตัก ๆ ทำหน้าที่สูบฉีด-ส่งเลือดหล่อเลี้ยงชีวิต

เคยมี "ใคร" สักคนอยู่ในลมหายใจเข้า - ออกบ้างไหม?  ประมาณว่าหายใจเข้าก็..เฮ้อ..เธอ.. หายออกก็..เฮ้อ..เธอ.. ยินดีด้วยค่ะ เพราะคุณได้รู้จักความรักอย่างจริงจังแล้ว ส่วนมันจะยั่งยืนเป็นรักแท้ หรือจะสามวันจากนารีก็หน่าย ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า factors หรือปัจจัย ไม่มีรักแท้ใดเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเริ่มหรอกค่ะ  แต่มันจะเริ่มต้นที่ความเสน่หา ความชอบใจเป็นพื้นฐานก่อนแล้วค่อย ๆ ก่อเกิดความผูกพัน พอกพูนขึ้นเป็นความรักในเวลาต่อมา เมื่อเคมีตรงกัน ..แน่ะ เดาะสำนวนวัยรุ่นกับเขาซะด้วย อินเทรนด์ซะไม่มี

ความรักไม่ได้เริ่มต้นอย่าง positive เสมอไป บางทีความทุกข์ยากลำบาก ความขมขื่น ความเจ็บปวดในตอนเริ่มต้นก็ผันแปรเป็นความรักได้เหมือนกัน เช่นความรักของแม่ที่มีต่อลูก และความรักของฉันที่มีต่อวัฒนาเป็นต้น เรื่องจริงค่ะ สมัยเด็ก ๆ ไม่ได้รักโรงเรียนมากมายอะไรขนาดนั้น  จะออกแนวรักเพื่อน รักครูซะมากกว่า พอจบออกมา ก็ค่อย ๆ รักวัฒนาไปโดยไม่รู้ตัว ฉันอยากจะบอกว่ารักแม้กระทั่งต้นตีนเป็ด  เนื่องจากเคยเก็บดอกของมันมาเล่นขายของกันในวันศุกร์ที่เรียนครึ่งวัน รักกองทรายที่วันนี้หายไปเสียแล้ว  น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการเล่นทรายนั้น นอกจากจะทำให้เด็กสัมผัสธรรมชาติแล้ว ยังทำให้เกิดจินตนาการได้ไร้ขีดจำกัดอีกด้วย หลายครั้งที่ฉันคิดว่าฉันโชคดีที่เกิดมาในยุคของฉัน ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างความลำบากของยุคเก่า และความสะดวกสบายเกินไปของยุคปัจจุบัน ช่างมีบุญจริงหนอเรา 5555555555

เพราะอะไรที่ตึงไปหน่อย ก็อึดอัด แต่ถ้าหย่อนไปหน่อย ก็ไม่สามารถดึงหัวใจเราไว้ได้ และสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับความรักคือ เราต้องเรียนรู้ที่จะรักให้ถูกทางค่ะ learn to love the right one in the right way at the right time เพราะถ้ามันเป็น wrong ที่ใดที่หนึ่ง เมื่อนั้นก็ต้องเจอกับวิบากกรรมบนความรักอย่างยากจะหลีกเลี่ยง  เวลาที่เรารัก เราก็อยากจะทำอะไร ๆ ให้กับผู้อันเป็นที่รักของเรา  อย่าให้ความอยากนั้นมันมากเกินไปจนลืมนึกถึงศักยภาพของตัวเองล่ะค่ะ เพราะบางทีไอ้ที่เราอยากทำดี มันจะกลายเป็นทำลายไปโดยไม่รู้ตัว 



วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

หมาของเพื่อน..ก็เหมือนหมาของเรา

แต่สามีของเพื่อน ก็ยังคงเป็นสามีของเพื่อน...วันใดเป็นเหมือนสามีของเรา วันนั้นคงเป็นเรื่องใหญ่หาน้อยไม่

ไปบ้านปอมที่ศรีราชาทีไร ก็ทักหมาบ้านเขาก่อนเจ้าของบ้านทุกที จนเจ้าของบ้านชักน้อยใจ 5555555 บ้านปอมมีหมา 2 ตัว หมาไทยธรรมดาสีน้ำตาลชื่อกล้า  ส่วนเจ้าตัวสีขาว เป็นหมาบางแก้ว ชื่อนำโชค

เจ้ากล้าเป็นหมาไทย เมื่อก่อนหุ่นเพรียว แต่ตอนที่ฉันไปเห็นนี่ นอกจากอ้วนตุ้มต๊ะ ตุ้มตุ้ยแล้วหางยังกุดอีกต่างหาก เวลาออกไปเดินเล่นแล้วมันอยู่ข้างหน้า  ดูบั้นท้ายมันเหมือนสิงโตทะเล  ก็แล้วทำไมหมาไทยถึงได้หางกุดล่ะ มีที่มาค่ะ

ตอนเล็ก ๆ กล้าชอบกัดกินผ้าขี้ริ้วค่ะ ทีนี้พอกินเข้าไป ก็ต้องถ่ายออกมาถูกไหมคะ อีตอนที่มันกำลังอึ๊เนี่ยะ มันคงออกมาช้าไม่ทันใจหมาวัยรุ่น เจ้ากล้าก็เลยหันไปใช้ปากช่วยดึง...อี๋ แหยะ 555555  ก็ไม่รู้ว่าแฮตทริกอีท่าไหน ไปงับหางตัวเองเข้า ไม่ได้งับเบา ๆ นะคะ เพราะหางขาดรุ่งริ่งทีเดียว!!! เจ้ากล้าก็ตกใจ วันนั้นไม่มีคนอยู่บ้าน มันก็กระโดดข้ามรั้วไปฟ้องเพื่อนบ้าน ให้เพื่อนบ้านโทรตามเจ้านาย  เจ้านายกลับมาถึง...โห...พื้นบ้านกลายเป็นสีแดงด้วยเลือดของเจ้ากล้าที่วิ่งหางวิ่นทั่วไปหมด มันจึงกลายเป็นกล้าหางด้วนตั้งแต่นั้นมา

เห็นหูมันไหมคะ รี่ ๆ ไปข้าง ๆ ใช่ไหมคะ เจ้าของเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนมันเป็นหมาไทยหูตก แล้ววันหนึ่งเพื่อนบ้านก็ทักทายมัน เจ้ากล้านี่เป็นที่รักของระแวกนั้นค่ะ มันขี้ประจบ ชอบกระโดดจูบแก้มสาว ๆ แต่วิธีการกระโดดจูบของมันไม่ทำให้คนล้มนะคะ เพราะมันไม่ได้พาดตัวคน แต่ใช้วิธีกระโดดเอาจมูกชนแบบเฉี่ยว ๆ ที่แก้มน่ะ  กลับมาเรื่องหูต่อ  เพื่อนบ้านก็บอกว่า...กล้าเอ๊ย..หูตกแบบนี้ไม่เห็นสวยเลย  ต้องหูตั้งซิถึงจะดูมีราศี  เจ้ากล้าก็ฟังอยู่นาน แล้วเพื่อนบ้านคนนั้นก็เดินกลับบ้านไป ก็ไม่มีใครคิดอะไร  แต่พอวันรุ่งขึ้น กล้าหูตก กลายเป็นกล้าหูตั้ง..นับแต่นั้นมา

ฉันฟังนิทานเรื่องนี้ด้วยความขบขัน นึกอยากแกล้งหมาขึ้นมา  จึงได้ไปคุยกับมัน 55555555 ฉันบอกว่ากล้า...หูตั้งน่ะเชยแล้ว ไม่เท่ห์หรอก ทำหูตั้งข้าง ตกข้างดีกว่า  หรือไม่ก็กาง ๆ ออกไปเลย  เขาว่าหูกางนี่เป็นสัญลักษณ์ของความฉลาดนา

มันจึงกลายเป็นหมาหูรี่อย่างที่เห็นตั้งแต่นั้นมา...เพราะทำตั้งข้าง ตกข้างไม่เป็น...เหลือเกินนะคนเราไปทำให้หมาสับสนชีวิต





วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

What a friend is for?

หนักนิด..เบาหน่อย..ก็เพื่อน

สิ่งล้ำค่าสิ่งหนึ่งที่วัฒนาให้ฉัน คือ...เพื่อน....  อาจจะไม่ใช่เพื่อนที่ตายแทนฉันได้ หรือยอมลำบากทิ้งทุกอย่างที่มีในชีวิตเพื่อช่วยฉันในยามที่ฉันลำบากอย่างในหนัง ละคร หรือหนังสือ   (บางทีฉันสงสัยว่า เพื่อนแบบนั้นมีจริง ๆ ในชีวิตจริงหรือ?)  แต่ทุกครั้งที่เจอเพื่อนวัฒนาฯ  ฉันรู้สึกสบายใจ ได้เป็นตัวของตัวเองเต็มที่ ไม่ต้องมีฟอร์ม สามารถเรียกร้องขอ ในขณะที่เพื่อนก็อิสระที่จะปฏิเสธโดยไม่ต้องห่วงว่าจะเสียเพื่อนคนนี้ไปหรือไม่  นั่นเป็นเพราะเราอยู่กันมาในโรงเรียน เห็นกันตลอดเวลา เรารู้จักกันและกัน

สมัยฉันเด็ก ๆ กฎข้อแรกของโรงเรียนที่บอกว่า..ห้ามนำสิ่งมีค่าเข้ามาในโรงเรียน..เป็นกฎที่ดีมาก ไม่ใช่เพียงป้องกันปัญหาของหาย แต่เป็นการถอดหน้ากาก ศักดิ์ศรีต่าง ๆ ไว้นอกรั้วแดง-ขาว  เมื่อเราเข้ามาในเขตวัฒนาแล้ว ทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน  ฉันไม่เคยคิดว่าเพื่อนสนิทฉันเป็นหลานสาวเจ้าของโรงพิมพ์ที่พิมพ์ตำราเรียนที่เราเรียนอยู่ทุกวัน  ฉันไม่เคยสนใจว่าเพื่อนคนนั้นนามสกุลผู้ดีเก่า หรือเป็นเครือญาติเศรษฐีที่ไหน  สิ่งที่ฉันสนใจคือ...เพื่อน ๆ ที่มีความจริงใจ ช่วยเหลือกันในยามคับขัน และรักฉันในความเป็นฉันเอง

แม้ว่าสมัยเด็ก ๆ ฉันจะไม่ได้สนิทติดแจอยู่กับใครคนใดคนหนึ่ง  เพราะฉันค่อนข้างชอบเล่นไปทั่ว แล้วยังขี้ประจบครูอีก 55555555 ฉันจึงไม่มีเพื่อนกลุ่มเดียว  แต่จะแทรกเป็นยาดำไปทั่วตามกลุ่มต่าง ๆ เป็นต้นว่าตอนเช้า ๆ ฉันมักจะมานั่งหน้าตึกเรียน  ก็จะเจอเพื่อนที่ชอบมานั่งอ่านหนังสือคนเดียว เช่น ป๊าก แหม่ม ศรี ฯลฯ เจอทีละคนนะคะ พอตอนเย็น ก็จะคุยกับคนนั้นคนนี้แล้วแต่สถานะการณ์  กลุ่มผลไม้ไม่มี เพราะเหตุว่าแม่ชอบเอาอะไรที่ไม่ใช่ผลไม้มาให้ ครั้งหนึ่งเคยเอาติ่มซำใส่ถุงสีน้ำตาลมาให้ ครูเวรก็ไม่ได้เปิดดู แต่อีกครั้งครูประพิธเรียกไปเพราะแม่เอาทองหยิบทองหยอดมาเต็มถุง  ตั้งแต่นั้นมาฉันจึงบอกแม่ว่า อย่าเอามาเลย

ฉันก็ตระเวณไปตามกลุ่มต่าง ๆ กลุ่มแก้วชอบกวักมือเรียกเวลามีกล้วยหอม  ไม่รู้ว่าเพราะในกลุ่มนี้ไม่ค่อยกินกล้วยหอมหรืออย่างไร หลังจากนั้นก็จะวิ่งเล่นกับโด่ง ปุ้ย พอถึงช่วงทำการบ้าน บางวันฉันจะเข้าไปนั่งคุยกับนิตยา ไหว้วานให้เขียนโน่นเขียนนี่ให้ ลายมือนิดสวยมากค่ะ  อีกคนที่ฉันขอให้เขียนโน่นนี่ให้ก็คือปุ๊กปิ  หรือบางทีก็ไปนั่งว่ากลอนสดให้เอ๋น้ำทิพย์ ไปนั่งเล่าหนังให้แหม่มสุรัสสิริฟัง ฯลฯ  ส่วนเสาร์อาทิตย์ บางทีบี้จะมาค้างที่บ้าน เราก็พูดคุยเล่นกัน   พอจะนึกภาพออกแล้วนะคะ ว่าฉันเที่ยวไปทั่วแค่ไหน 55555555

แต่เมื่อเพื่อนมีปัญหา แล้วมาคุยกัน ฉันไม่เคยเข้าข้างเมื่อเพื่อนผิด  เพราะฉันคิดเสมอว่า..ถ้ารักเพื่อนจริง ต้องทำให้เขาทำสิ่งที่ถูกต้อง เขาจะได้เป็นที่รักของคนอื่นเช่นเดียวกับที่เป็นที่รักของเรา   แต่แน่นอนค่ะ ความเป็นเพื่อน..ฉันไม่สามารถทิ้งเขาได้แม้ว่าเขาจะทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  แต่จะไม่สนับสนุน  ฉันจะพยายามแยกออกเป็น 2 เรื่องไม่ปะปนกันค่ะ หลายครั้งที่เพื่อนบางคนบ่นว่า..ทำไมฉันไม่เห็นใจเขา?  เอ้า..ก็เธอทำผิด และเพราะฉันรักเธอ ฉันจึงอยากเห็นเธอทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควร  แรก ๆ เพื่อนก็อาจจะน้อยใจ บางทีก็ไม่พอใจ  แต่พอเวลาผ่านไป...เพื่อนจะเข้าใจเจตนาของฉัน แล้วเราก็กลับมาคุยกันเหมือนเดิม 

เพราะเรื่องราวต่าง ๆ ในวัฒนาฯ ทำให้รากฐานความเป็นเพื่อนมั่นคงเกินกว่าจะคลอนแคลนได้ง่าย  ๆ

เมื่อปีที่แล้ว ป๊ากได้ชักชวนฉันเข้าไปพัวพันกับภารกิจเป็นไปไม่ได้   หรือที่ฉันตั้งชือว่า mission impossible  ฉันหัวเสียกับคุณเธอมากมาย แต่ก็นะ..ความรักโรงเรียน ความสงสารเพื่อนมันทำให้ฉันต้องฝ่าฟัน และทำไปอย่างที่เพลงร้องว่า...เราวัฒนา ขมสู้กลืน เมื่อฝืนใจครั้งทนทำงาน....ขอบอกว่า..ขมจริง ๆ ค่ะ แม้ว่าจะขมแค่ไหน ฉันก็ไม่สามารถทิ้งให้เพื่อนต้องเผชิญกับเรื่องนี้ตามลำพังได้  ปากก็บอกว่า..ไม่ทำแล้วนะ เธออยากทำก็ทำไปคนเดียว  แต่ป๊ากก็ยังดึงดันที่จะรับผิดชอบทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ใช่ว่าจะทำอะไรได้ ฉันก็..เฮ้อ..ทิ้งไม่ลงซิน่า 

ระหว่างกาล ฉันก็พยายามชักจูงให้เพื่อนตาสว่าง ให้เขาเห็นว่า..บางครั้งความตั้งใจดีก็ไม่เพียงพอหรอกนะ งานบางอย่างต้องมีความรู้ความสามารถที่จะทำด้วย โชคดีที่ป๊ากเข้าใจในที่สุด ยอมปล่อยวาง แม้ว่าจะเป็นห่วงงานของสมาคม ฉันเองก็เป็นห่วงไม่แพ้ป๊ากหรอกค่ะ  แต่ในชีวิตคนเรา มีเรื่องหลายเรื่องที่อยู่นอกเหนือความสามารถของเรา  ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับ และปล่อยวาง

เราทุกคนต่างเป็นเพียงคนตัวเล็ก ๆ เพียง 1 คน  มี 2 มือ 1 สมอง  เราต่างมีขีดจำกัดในการทำงาน ในการสรรสร้างสิ่งต่าง ๆ ได้โดยลำพัง  วัฒนาฯ ไม่สามารถยืนยงมาได้ถึงทุกวันนี้ถ้ามีคน 1 คนทำงาน  แต่วัฒนาฯ เป็นวัฒนาฯได้ถึงทุกวันนี้ เพราะคนหลาย ๆ คนร่วมมือร่วมใจกัน ด้วยสำนึก ด้วยความรักและสามัคคีต่างหาก



วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

ซินเดอเรลล่า

เจ้าชายมาแว้วววว

สมัยก่อน พอใกล้จะปิดเทอม ทุกห้องทุกชั้น จะจัดแสดงละครเวทีให้ดูกันทั้งโรงเรียน แล้วมีการประกวดกันด้วย


ห้องของฉันก็ตกลงเลือกเล่นเรื่อง “ซินเดอเรลล่า” ค่ะ ได้สาวน้อยน่ารัก นางรำประจำห้อง ..โอ๋..สิริวิมล สิทธิประศาสน์..แสดงเป็นซินเดอเรลล่า แต่ตอนเลือกเจ้าชายนี่ซิ เพื่อน ๆ ในห้องโหวตให้ฉันสวมบทบาท

“ไม่เอา ๆ” ฉันรีบปฏิเสธ “ฉันไม่ชอบพูด” (กลัวโพเดี้ยมจริงจริ๊ง)

ตอนนั้นฉันขี้อายมาก ก ก และเป็นคนไม่ชอบพูดบนเวทีใด ๆ ทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นค่ะ เวลาต้องพูดในที่สาธารณะ..เป็นปัญหามาก พูดไม่ออก แต่ถ้ากับเพื่อน ๆ ก็น้ำไหลไฟดับค่ะ

“ไม่เป็นไร” ผู้เขียนบท+กำกับปลอบ “เดี๋ยวจะไม่ให้มีบทพูด หรือพูดก็พูดน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

แล้วผองเพื่อนก็พากันโน้มน้าวฉันกันยกใหญ่ จนฉันยอมสวมบทบาทเจ้าชาย... อิอิ

ข้างผู้เขียนบทก็เก่งเหลือเกิน เล่นทั้งเรื่องฉันพูดอยู่ประโยคเดียว คือตอนบัญชาให้ทหารเอารองเท้าไปหาเจ้าของ ^ ^


การซ้อมเป็นไปอย่างสนุกสนานมาก จำไม่ได้ว่าใครเป็นคนคิดท่าเต้นรำ ช่างออกแบบได้เหมาะสมกับเด็ก ๆ มาก ออกแนวคิขุอาโนเนะน่ะค่ะ ฉันก็ออกจะสบายใจ เพราะเจ้าชายมีบทน้อย แค่ออกมา 2 ฉากเอง คือฉากเต้นรำ กับฉากจบ พอจะหักห้ามความขี้อายเล่นได้อยู่หรอก

แถมละครก็เล่นกันตอนกลางคืน ถึงจะมีสปอร์ตไลท์จับไปที่เวที ก็คงไม่มีใครสังเกตและจำได้หรอกน่าว่าใครเล่นเป็นเจ้าชาย เพราะบทไม่ส่ง  แต่ความจริงกลับไม่ใช่อย่างนั้นซิ... แล้วมันยังไง? ตามไปเกาะขอบเวทีดูกันเลยค่ะ

ความที่เล่นกลางคืน ฉันมองไม่เห็นหน้าคนดู ก็เลยพอเล่นได้ ไม่เขินมากนัก เจ้าชายกับซินเดอเรลล่าเต้นรำไปกลับได้รอบครึ่ง นาฬิกาก็ตีว่าเที่ยงคืน โอ้ว..นางซินต้องจรลีแล้ว โอ๋ก็สลัดเจ้าชายทิ้ง วิ่งหนีเข้าฉากไป อย่างที่รู้ ๆ กันนะคะ นิทานเรื่องนี้นางซินต้องทำรองเท้าแก้วหลุด พอโอ๋ออกวิ่ง เจ้าชายก็ต้องวิ่งตามแบบสโลว์โมชั่น เพราะเวทีแคบ ใครลืม ๆ ก็ไปดูที่ศาลาโคล์ค่ะ



วิ่ง ๆ ๆ ไป เมื่อไรโอ๋จะรองเท้าหลุดซะทีเนี่ยะ? เจ้าชายจะหลุดฉากอยู่รอมร่อแล้วนะ ไม่ต้องถามถึงนางซินโอ๋เลย..หลุดเข้าม่านไปนานแล้ว..




“รองเท้า ๆ” ฉันทำซิกถามเพื่อน ๆ พลางถ่วงฝีเท้าให้มากที่สุด ตอนนั้นตื่นเต้นมาก เพราะไม่รู้จะทำยังไงดี เหงื่อเริ่มแตก ทั้ง ๆ ที่เวทีก็เล็กนิดเดียว..



อีก 2 ก้าวก็จะถึงม่านแล้ว ทันใดนั้น..ฟิ้ววววววว.. เกือกแก้วของซินเดอเรลล่าค่ะ.. ยัยโอ๋เพิ่งถอดได้ แล้วเขวี้ยงข้ามหัวเจ้าชายหวืออออไปที่กลางเวที -_- (ดีนะที่ไม่โดนหัวเจ้าชาย) เสียงหัวเราะถล่มทลายศาลาโคล..เจ้าชายหน้าร้อนผ่าวเลยค่ะ ยังดีไม่ขัดขาตัวเองล้มอีตอนต้องวิ่งย้อนกลับไปเก็บรองเท้า

อ้อ..ลืมบอกไปว่า การแสดงละครประจำปีของนักเรียนประจำ คุณครูจะมาดูด้วย และเป็นกรรมการตัดสินให้รางวัลห้องที่เล่นได้โดนใจที่สุดด้วย   คงไม่ต้องบอกนะคะว่า ปีนั้น ห้องไหนได้รางวัล?



วันรุ่งขึ้น ฉันงี้เขินแล้วเขินอีก เพราะเขาจำเจ้าชายได้ทั้งโรงเรียน รุ่นพี่หลายคนเข้ามาชมว่าเล่นได้น่ารักมาก ครูบางท่านก็ชม เรียกว่าวันนั้นทั้งวัน แทบจะเดินขาขวิดตาย เพราะความป๊อบปูล่าของเจ้าชายนี่แหละ



อย่างที่บอกแหละค่ะ.. ฉันขี้อาย (จริง ๆ นะ) ก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าตัวเองมีปฏิกิริยายังไง แต่ที่แน่ ๆ ..คงหน้าแดงแช้ดดดดด ก็อ๊าย อาย ..นี่คะ (///>o<///)





วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

อบอุ่นอยู่ในความรักแห่งวัฒนา

รำลึกพระคุณครู

วันนี้จะขอเล่าแบบรวมมิตรคิดถึงคุณครูวัฒนานะคะ ก่อนอื่นก็ขอออกตัวก่อนว่าคงไม่ได้กล่าวถึงครูทุกท่านในชีวิตการเป็นเด็กวัฒนาของฉัน ครูคนไหนที่ฉันไม่ได้เอ่ยชื่อ ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันลืมท่านนะคะ  แต่เพราะ..ระหว่างครูกับหนู ไม่มีบทโหด - ฮา ค่ะ  หวิดไปแล้วไหมล่ะ ขืนใส่คำว่า เลว ลงไปด้วย..อาจจะมีคนเข้าใจผิด แล้ววิ่งไปฟ้องครูว่า..นพพรด่าว่าครูเลว..555555555

แล้วทำไมชั้นต้องมีบทโหด-ฮากับเธอเท่านั้นรึไง ถึงจะมีบทให้เล่นในบล็อกของเธอ? (คุณครูหลายคน ถ้าได้อ่านบล็อกนี้คงถาม) 

ใช่แล้วค่ะครูขา  เพราะหนูถนัดแต่เขียนเรื่องเฮฮาไร้สาระไปเรื่อย  เรื่องซีเรียสไม่ถูกโฉลกอย่างแรงค่ะ

แล้วก็ขอออกตัวก่อนว่า การเอ่ยถึงครูท่านใดก่อนหน้าหลัง ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรตติ้งในใจนพพรแต่อย่างไร  เฮ้อ...จะรอดไหมเนี่ย บทความนี้ ทำไมต้องออกตัวมากมายขนาดนี้เนี่ยะ?  ก็ไม่อยากให้ครูน้อยใจกันน่ะค่ะ นพพรให้ความเคารพครูทุกท่านค่ะ แม้ว่าจะรักมากรักน้อยกว่ากันบ้าง ก็ขนาดตาชั่ง มันยังเอียงไปเอียงมาเป็น แล้วจิตใจศิลปินอย่างนพพรจะเหลือเหรอคะ

ตั้งแต่เป็นเด็ก ๆ แล้ว พอถึงเวลาโรงเรียนเลิก ฉันเป็นต้องชะเง้อคอยเมื่อไรทางบ้านจะมารับ สมัยที่ฉันยังเล็ก พ่อจะเป็นคนมาส่ง แต่ลุงมารับค่ะ เพราะพ่อเลิกงานไม่เป็นเวลา ส่วนลุงสามารถจัดสรรเวลาได้แน่นอนกว่า ด้วยความที่บ้านอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ ลุงจึงรับหน้าที่มารับหลานให้ ตอนนั้นฉันยังเป็นเด็กอนุบาลค่ะ วันหนึ่งลุงมารับช้ากว่าปกติ เพื่อน ๆ กลับบ้านกันไปหมดแล้ว ความเป็นเด็ก ก็ฉลาดน้อย โง่มาก (เดี๋ยวนี้เป็นผู้ใหญ่ ก็ยังฉลาดน้อย โง่มากเหมือนเดิม 555555 ไม่ได้พัฒนาไปแต่อย่างใด -"-)  ไม่รู้ว่านึกยังไง แต่ครูสาลินีเล่าให้ฟังว่าเห็นเด็กอนุบาลวิ่งออกไป เลยทำให้ครูต้องถอดบทบาทครู สวมบทนักกีฬาเท้าลมกรดวิ่งไปจับตัวไว้ทันก่อนที่เด็กเล็กจะวิ่งพ้นรั้วโรงเรียน ซึ่งอาจจะทำให้ไม่มีบล็อกในวันนี้ก็ได้ ฉันจำไม่ได้หรอกค่ะเหตุการณ์วันนั้น แต่ครูสาลินีเล่าให้ฟังน่ะค่ะ

สมัยเด็ก ๆ ฉันเป็นคนแปลก  (โตขึ้นมา..แปลกคน 555555) ชอบแสดงพาวด้วยการอุ้มครู ครูที่ใจดี ๆ ฉันอุ้มหมดเลย 55555555 เว้นครูประพิธ และครูสกุล ณ นครทั้งหลาย ส่วนครูผินใจดีค่ะ แต่หนูอุ้มม่ายหวาย แต่สมัยเด็ก ๆ ฉันนี่ลูกแซมซั่นได้นะ เพราะเคยอุ้มครูปานใจ จนครูวี้ดว้ายตกใจมาแล้ว (ดีที่ไม่ดิ้นล้มทับนพพร 55555555)

ตอนเด็ก ๆ ทำให้ครูวิ่งตามใช่ไหมคะ พอโตมาอยู่มัธยม มีครูท่านหนึ่งค่ะ วิ่งหนีแทบทุกเช้า 5555555 ครูปุ๊ อาจารย์แวววรรณไงคะ ไม่รู้มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไร และเหตุผลอะไร ฉันได้วิ่งไล่จับครูปุ๊แทบทุกเช้าที่เจอ 5555555

ครูสำอางค์ ก็เป็นครูอีกท่านที่ทำให้ห้องเรียนเฮฮา  เรื่องหนึ่งที่ฉันจำได้จนทุกวันนี้คือครูพูดขึ้นมาว่า ถ้าพวกเธอเป็นสาวแล้วมีแฟน ก็อย่ารีบแต่งงานนะ แล้วครูก็กรุณาแฉแฟนครูให้เด็ก ๆ ฟัง 5555555 ครูบอกว่าสมัยจีบกัน มารับไปเที่ยวเนี่ยะ สาวจะแต่งตัวโอ้เอ้ยังไงก็อดทนรอ จะขึ้นรถก็ต้องเปิด-ปิดประตูให้ เรียกว่าเป็นสุภาพบุรุษเกินร้อย แต่พอแต่งงานกันแล้ว นี่เธอเร็ว ๆ หน่อยได้ไหม? 5555555 แล้วขึ้นรถก็ขึ้นกันคนละทาง เท่านั้นไม่พอ ขาอีกข้างครูยังไม่ทันขึ้นรถเลย พ่อเจ้าประคุณออกรถแล้ว... ตอนจีบกัน เวลาเดินไปไหนก็กระหนุงกระหนิง เกี่ยวก้อยจูงเดิน ข้าวของน้องอย่าหิ้วเลยเดี๋ยวกล้ามขึ้น พี่หิ้วเอง 5555  พอแต่งงานแล้ว ลูก ๆ ก็ทั้งจูงทั้งอุ้ม กระเป๋าและถุงช็อปปิ้งก็หิ้วพะรุงพะรัง ถามว่าสามีสุดที่รักอยู่ไหน  โน่น...เดินตัวปลิวตัวเปล่าอยู่ข้างหน้านู่น 5555555  เพราะหนูเชื่อครู เลยเป็นโสดอยู่จนวันนี้เลยค่ะครูขา - -'

ตอนเด็ก ๆ ฉันเป็นคนขาดความมั่นใจอย่างสูงในหลาย ๆ ด้าน หนึ่งในนั้นคือการร้องเพลง..ฉันร้องเพลงได้ แต่ไม่ชอบให้คนอื่นฟัง 555555 แล้วก็มั่นใจในความดื้อได้สุด ๆ เหมือนกัน ดังนั้น ครูมาลัยวัลย์ออกจะปวดหัวกับฉันมาก ถ้าเพื่อน ๆ จำกันได้ เวลาสอบขับร้อง ครูมาลัยวัลย์จะให้มานั่งร้องโน้ตเพลงตัวต่อตัว แต่ก็มีเพื่อน ๆ รุมล้อมอยู่  เอาล่ะซิ สมัยมิสรีเบคก้าไม่เห็นสอบแบบนี้เลยอ่ะ  นพพรทำยังไงเหรอ ก็แค่นั่งเป็นเตมีย์ใบ้อยู่ตรงหน้าครูน่ะดิ มิไยว่าครูจะพูดอะไรยังไง นพพรเหมือนหุ่นชั่วคราว 55555 ครูมาลัยวัลย์คงหงุดหงิดกับยัยเด็กบ๊องคนนี้ เลยบอกว่าถ้าเธอไม่ร้อง ครูจะให้ศูนย์นะ นพพรก็ไม่ทำอะไรนอกจากลุกขึ้น ยกมือไหว้ขอบคุณค่ะครู แล้วจากไปท่ามกลางความงงเต๊กของครู  เผลอ ๆ จะเป็น 1 เดียวในทะเบียนศิษย์วัฒนาที่ได้ 0 ในวิชาขับร้อง หนูไม่ได้อวดดีนะคะครูขา แต่หนูอ๊าย อายค่ะ

สมัยฉันเป็นนักเรียน ฉันไม่ใช่เด็กเฮ้ว ไม่เคยก้าวร้าวกับครู แต่บทดื้อนั้น..ครูทำอะไรไม่ได้เลยแหละ แถมเถียงครูแบบมีเหตุผลประกอบที่ฟังแล้ว...เออแฮะ 5555555 วิชาที่ฉันไม่ชอบเลยคือคณิตศาสตร์ มาในสมัยมัธยม จะมีสูตรเลข หนึ่งในนั้นที่ฉันจำได้ดีคือสูตรรถไฟ  55555 ประมาณว่า รถไฟกอ ยาว 100 เมตร รถไฟขอ ยาว 85 เมตร รถไฟกอวิ่ง 100 กม/ชม  รถไฟขอวิ่ง 125 กม/ชม  ถามว่า เมื่อรถไฟสองขบวนวิ่งสวนกัน จะพ้นกันในกี่นาที   ฉันไม่ท่องเลยค่ะ แถมส่งกระดาษเปล่า  ครูฉันทนาก็เรียกไปถาม ว่าทำไมฉันส่งกระดาษเปล่า ฉันก็บอกครูด้วยนัยตาใส ๆ ว่า หนูมั่นใจค่ะว่าในอนาคตคงไม่ทำอาชีพนายสถานี เจอคำตอบแบบนี้ ครูฉันทนาอึ้งไปเลย 55555555555  วิชาเลขเนี่ยะ มีวีรเวรอีกค่ะ ครูอ่อนน้อม..สมัยเรียนป.6 ครูจะให้ทำการบ้าน ให้แต่ละทีก็หลายข้ออยู่ หนูยังต้องวิ่งต้องเล่นนะคะครูขา แล้ววิชาอื่นก็มีการบ้าน มีสอบ สารพัดที่จะแย่งเวลา  ครูอ่อนน้อมชื่อเหมือนใจดี แต่จริง ๆ ดุสมยี่ห้อณ นคร นพพรก็เลยไม่กล้าเบี้ยวการบ้าน  แต่ทำไม่ทันนี่จะเอาไงดี เริ่มเจ้าเล่ห์ ทำข้ามข้อ  สมมติครูให้ทำข้อ 1-20 นพพรก็ใช้วิธีนี้ค่ะ ทำข้อ1 2 3 4 5 แล้วกระโดดไป 10 11 กระโดดไปอีก 15 16 17 18 19 20  คิดว่าง่าย ๆ ว่ามีสมุดให้ตรวจตั้งเยอะ ครูคงไม่รู้หรอกว่าข้าม 5555555 ซึ่งครูก็ไม่ว่าอะไร พอเห็นครูไม่ว่าก็ย่ามใจ ทำงี้ตลอด พอปลายปีก่อนสอบไล่ เคราะห์ร้ายก็มาเยือน นพพรและเพื่อน ๆ โดนตีเท่าจำนวนที่ไม่ได้ทำ โหวววววว ครูอ่ะ ทำไมไม่เตือนหนูก่อน T^T โดนไปมากกว่า 200 ที ครูอ่อนน้อมรัวไม้บรรทัดบนมือบอบบางซะแดงแจ๋ ฮือ ๆ ไหนว่าอ่อนน้อมไงคะ ไหงโหดขนาดนี้เนี่ย 55555555

ครูท่านหนึ่งซึ่งจากไปนานแล้ว ครูท่านนี้มาแนวไฮโซ พิเศษกว่าครูอื่น ๆ ในสมัยนั้น คือพอถึงเวลาสอนก็นั่งราชรถเก๋งเข้ามา แต่งตัวสวยพริ้ง และหอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นอายปารีส 55555555 จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก มาดามอวลกลิ่น ฉันชอบมาก เพราะได้กินขนมบ่อย ครูแอบเอามาแจกเด็ก ๆ ช่างเป็นครูที่เข้าใจเด็ก ๆ เสียนี่กระไร

ครูสมหญิง เป็นครูประจำชั้นที่ฉันค่อนข้างสนิท เพราะครูมาประจำชั้นถึง 1 ปีกับ 1 เทอม ที่เป็นเช่นนี้ เพราะครูดวงเดือนได้ลาออกไปก่อนหมดปีการศึกษา ครูหญิงจะเมตตาฉันมาก แต่ครูสอนวิชาที่ฉันไม่ค่อยปลื้มเท่าไร..วิชาวิทยาศาสตร์  ทีนี้ด้วยความที่สนิทกับครู ครูจึงทนไม่ได้ถ้าฉันสอบตกในวิชาของครู จะคอยเตือนคอยเคี่ยวเข็ญให้ท่องหนังสือก่อนสอบทุกครั้ง เพราะไม่เตือน..นพพรสอบตกทุกที ขนาดเตือนยังตรวจไปลุ้นไป 555555 แต่ความเป็นครูมีจรรยาบรรณ ครูหญิงไม่เคยบอกข้อสอบ ไม่มีตัวช่วยพิเศษ  จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ซินะ มีอยู่ครั้งหนึ่ง..ครูหญิงก็มาเตือนตามเคย...นพพร พรุ่งนี้สอบแล้วนะ ดูหนังสือหรือยัง 

หนูต้องทำการฝีมือส่งพรุ่งนี้อ่ะค่ะ T^T สมัยก่อนฉันไม่ชอบการฝีมือ 555555 มีวิชาไหนที่ยัยนพพรชอบเรียนมั่งเนี่ยะ 55555555 ก็...ไม่ค่อยจะมีเท่าไร แหะ ๆ ครูหญิงก็...ไหนทำอะไร อ้อถักผ้าพันคอเหรอ เอามา ครูทำต่อให้เอง เธอไปท่องหนังสือ  นพพรก็เลยรีบส่งอุปกรณ์และไหมพรมให้ทันที ทีนี้กลุ่มก๊วนครูหญิงมีครูสาว ๆ หลายคนที่จะมานั่งคุยกัน สังสรรค์กัน หนึ่งในนั้นคือครูดารณีที่สอนวิชาการฝีมือ 555555 ครูหญิงก็ไม่ทันคิดอะไร พอมานั่งคุยกับเพื่อน ก็เอางานของนพพรมานั่งทำ ครูดารณีก็..เอ๊ะ..นี่เธอทำงานเหมือนกับที่ชั้นกำลังสอนเด็กพอดีเลยนะเนี่ยะ เพิ่งนะนี่รู้ว่าเธอก็ชอบการฝีมือ ก่อนหน้าไม่เห็นเคยทำ ครูหญิงก็....555555 ความลับแตก เอ่อ ฉัน..... ต๊าย..สมหญิง อย่าบอกนะว่าเธอทำงานให้เด็กของชั้น!!!!!

ใครที่อ่านมาถึงบทความนี้ วันที่ 16 นี้ เป็นวันครู พวกเราไปกราบขอบคุณครูที่ทำให้เราอบอุ่นอยู่ในความรักแห่งวัฒนากันดีไหม? แม้ว่าครูบางท่านจะจากไปแล้ว แต่อีกหลาย ๆ ท่านก็ยังอยู่  การกตัญญูและกตเวทิตา จะเป็นมงคล เป็นเครื่องลางสำหรับชีวิตเราทุกคนค่ะ

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

กีฬาสี ชักกะเย่อผ้าถุง another reason why I love WWA life

แถมเล่นกับครูภิญโญอีก อ๊ากกกกก
เดาเอานะคะ ว่าเด็กสมัยนี้น่าจะมีเสรีภาพ มีความยืดหยุ่นในกฎระเบียบต่าง ๆ สูงกว่าสมัยเราเยอะ สมัยฉัน จำได้ว่ากฎกติกาข้อบังคับในการอาบน้ำยุ่บยั่บมาก นับตั้งแต่เปิดเทอมว่าวันแรก เราก็ต้องไปอ่านแล้วว่าตัวเรานั้น อยู่เวรไหน อาบน้ำห้องไหน ตอนอยู่ป.6-ป.7 ใช้ห้องอาบน้ำแถว ๆ ห้องพยาบาล ว่าแล้วก็นึกได้ ตอนนี้ห้องอาบน้ำพวกเราอันตธานหายไปไหนซะแล้ว ตอนป.6-ป.7 ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เพราะมีแค่ 2 เวร ชิว ๆ ค่ะ

แต่พอต้องย้ายมาห้องน้ำใหญ่นี่ซิ มีถึง 4 เวร รุ่นพี่ได้อาบก่อน รุ่นน้องท้ายสุด ฉันยังไม่เคยได้เวร 1 เลย เพราะไม่ได้เรียนมศ.4-5 เมื่อมีเวร ก็ต้องมีกรรม.... เวลาอาบน้ำให้คนละ 5 นาที ถ้าจำไม่ผิดวันพุธเป็นวันสระผมก็จะเป็น 10 นาที แต่ฉันแทบจะไม่เคยสระผมเลย เพราะล้างแชมพูไม่หมดในเวลาแค่นั้น

คนที่จะรอเข้าห้องอาบน้ำ ครูเวรที่ใจดี ก็จะไม่ว่าอะไรถ้าเด็กจะเข้าไปยืนรอหน้าห้องน้ำ เผื่อเวรก่อนออกมาเร็ว แต่ครูเวรบางคนก็จะให้รอข้างนอก รอเสียงระฆังก่อนจึงค่อยเดินเข้าไป ทีนี้ทางเข้าห้องอาบน้ำมันก็มีอยู่หลายทาง

ด้วยความที่หูตึง จึงไม่เคยสนใจเสียงระฆัง ใช้วิธีดูประตูห้องน้ำ พอเวรก่อนเราออก เราก็เสียบเข้าไปทันที แต่ก่อนแต่ไรก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งวันที่ลางร้ายปรากฏ..หลังจากยกกระแป๋งน้ำส่วนตัวไปรองน้ำ เปิดก๊อกน้ำแล้วก็เอาผ้าถุงขึ้นพาดเหนือประตู เป็นผ้าม่าน แล้วเอาผ้าเช็ดตัวแขวน จริง ๆ ก็รู้สึกอยู่เหมือนกันทำไมวันนี้ข้างนอกเงียบผิดปกติ แต่ด้วยความเป็นคนไม่ค่อยสนใจความเป็นไปของโลก 555555 เลยตักน้ำอาบไป

ทันใดนั้นผ้าถุงก็ถูกกระชาก ใครฟระ....ฉันก็ดึงไว้อ่ะดิ นึกว่าเพื่อนมันแกล้ง แต่จริง ๆ ไม่เคยมีใครเล่นพิเรนทร์แบบนี้มาก่อนเลยนะ อย่างน้อยฉันก็ไม่เคยโดนเพื่อนคนไหนกระชากผ้าถุง เอ้า...อยากเล่นกีฬาสีกันหน่อย เล่นก็ได้ ฉันก็ออกแรงดึงผ้าถุงของฉัน แต่ทางโน้นแรงมหาศาลกว่าเยอะ ผ้าถุงจึงถูกกระชากไปจากมือฉันได้อย่างง่ายดาย ตามด้วยเสียงเคาะประตูโครม ๆ ฉันมองด้านล่างประตู ถ้าใครจำห้องอาบน้ำได้จะนึกภาพออกว่าเราสามารถเห็นผมและเท้าของคนที่อยู่ข้างนอกได้

โอ้มายก็อด เห็นเท้าใหญ่ ๆ ใส่รองเท้าหุ้มหัวมน ๆ ผมชี้ตั้งทันที 555555 แล้วนี่ฉานจะทำยังไงดี อ้อ ๆ ยังมีผ้าเช็ดตัวแขวนอยู่ แต่..ทันใดนั้น เหมือนกระแสจิตเชื่อมกับครูภิญโญเลย TT^TT ก็มือครูอ่ะจิ ล่วงล้ำอธิปไตยมาคว้าผ้าเช็ดตัวไป งานนี้นพพรยอมตาย 55555 ท้าดวลครูเล่นชักกะเย่อผ้าเช็ดตัว

ผลปรากฏว่าแพ้หมดรูป ... แง๊ ๆ ๆ อยากร้องไห้ออกมาดัง ๆ แต่...เงียบไว้จะเข้าท่ากว่า แล้วนี่ฉันจะต้องแก้ผ้าออกไปหรือนี่? แง๊ ๆ ๆ อยากผูกคอตาย 555555 แต่ไม่มีผ้าเหลือเลย โดนยึดไปหมดแล้วอ่ะ เสียงครูภิญโญแว่ว ๆ เข้ามาแต่ฉันฟังไม่รู้เรื่อง จึงยืนเงียบ สักพักครูก็เดินออกไป ฉันก็ยืนคิดว่าจะแก้ไขปัญหายังไงดี ระหว่างคิดไม่ออก อาบน้ำต่อดีกว่า 5555 ดี..จะได้ถือโอกาสขัดสีฉวีวรรณให้สะใจ ปกติไม่เคยได้มีเวลาขัดขี้ไคล 5555555 วันนี้ล่ะ สะอาดผุดผ่องซะที

ตอนจบเป็นยังไงหรือคะ ก็รอจนเวรสุดท้ายออกไปแล้ว ครูก็เอาผ้าถุงกับผ้าเช็ดตัวมาให้ แล้วยืนหน้าห้องรอดูหน้าว่าใครที่บังอาจเข้าห้องน้ำไปก่อนได้รับอนุญาต อ้อ..นพพรนี่เอง 555555 ฉันจำไม่ได้ว่าได้รับโทษอะไรอีก คาดว่าการดึงผ้าถุงนี่เป็นการลงโทษที่น่าขยาดพอตัว เพราะตั้งแต่นั้นมา เวรครูภิญโญทีไร ฉันไม่เคยเข้าออกอย่างบุ่มบ่ามอีกเลย


พูดถึงครูภิญโญแล้วก็ขอบอกว่าจริง ๆ แล้วครูภิญโญใจดีนะคะ แต่หน้าตาโหดไปหน่อย เลยทำให้ฉันไม่ค่อยกล้าเข้าใจ แหะ ๆ มีอีกเรื่อง คือตอนที่อยู่ประจำใหม่ ๆ ฉันจะต้องร้องไห้~~~หนูอยากกลับบ้าน~~~บ่อย ๆ บางทีก็ร้องไห้ที่เตียงนอน ที่ร้องไห้เพราะกลัวผีด้วยน่ะค่ะ ก็เพื่อน ๆ ชอบเล่าเรื่องผี ๆ ให้ฟังกัน

วันหนึ่งครูเวรคนหนึ่ง จำไม่ได้แล้วว่าใคร ก็มาที่เตียงฉันแล้วบอกให้ตามครูไป ฉันก็ลุกเดินตามครูไปโดยไม่รู้ว่าครูจะพาไปไหน แต่พอทิศทางชัดเจนว่ามุ่งสู่ห้องครูภิญโญ น้ำตาเหือดแห้งไปในพริบตา อยากจะบอกครูเวรว่าหนูโอเคแล้วค่ะ ไม่ต้องส่งเข้าแดนประหารก็ได้ T^T ฮือ ๆ หนูกลัวแล้ว

แต่ช้าไปเสียแล้ว เพราะครูเคาะประตูห้อง และประตูห้องก็เปิดออกราวกับครูภิญโญยืนรออยู่แล้ว ครูเวรดุนหลังให้เดินเข้าไป แล้วก็จากไป ทิ้งฉันไว้เพียงลำพังกับนางพญาผู้ยิ่งใหญ่แห่งวัฒนา - -‘ ฉันนึกว่าครูภิญโญจะตวาดดุแบบที่เห็นจนชินตา แต่ครูกลับพูดเรียบ ๆ ว่าให้นั่งลง แล้วครูก็ชงไมโลให้กินพร้อมกับขนมปัง ให้นั่งดูทีวีด้วยกัน จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรเลย

ถึงแม้ว่าครูจะไม่ได้พูดจาปลอบโยนอะไรเลย แต่นั่นก็ทำให้ฉันหยุดอาการคิดถึงบ้านได้ และไม่เคยร้องไห้ที่เตียงนอนอีกเลย.

Final Step of Batik

ขั้นตอนสุดท้ายแล้ววววว...เย้ ๆ

ขั้นตอนการย้อมน้ำยาโซเดียม เป็นขั้นตอนที่เครียดสำหรับฉัน ปัจจุบันทำมาเป็นร้อยผืนแล้วก็ยังค่อนข้างเครียดตอนจะย้อมผม เอ๊ย ย้อมผ้าทุกครั้ง ทำไมหรือคะ? ก็เพราะถ้าย้อมไม่ทั่ว ไอ้ที่เราทำมาแทบตายก็จบเห่กันตอนนี้เอง
 วิธีการย้อมเขามีมากหลายวิธีค่ะ แต่ตอนนี้ฉันจะบอกวิธีเดียว ที่ฉันทำมาแล้วเวิร์คที่สุด เตรียมอุปกรณ์การย้อมก่อนดีไหมคะ

1. ผ้าที่จะย้อม

2. เฟรม

3. น้ำยาซิลิเกตโซเดียม

4. ถุงมือยาง

5. การ์ดพลาสติก (พวกบัตรเอทีเอ็ม, บัตรเครดิตที่ไม่ใช้แล้ว)

6. หนังสือพิมพ์

7. น้ำยาล้างจาน (ซันไลต์ชนิดผสมมะนาว)

8. หม้อสำหรับต้มผ้า (ควรเป็นหม้อที่ไม่ใช้แล้ว แต่ก้นอย่ารั่วนะคะ)

เอาหนังสือพิมพ์มาปูพื้นที่ก่อนค่ะ เพราะถ้าน้ำยาหยดลงที่พื้นแล้วจะเหนียว เลอะเทอะ จากนั้นก็วางเฟรม ขึงผ้าที่จะย้อม ใส่ถุงมือ (ไม่ใส่ก็ได้ ถ้ามั่นใจว่าทำไม่เลอะเทอะ และไม่แพ้น้ำยา) ฉันแรก ๆ ใส่ถุงมือ ตอนหลังคล่องค่ะ เลยไม่ใส่ พอโดนน้ำยาทีก็ดิ้นปั้ด ๆ เอ๊ย...ไม่ใช่ค่ะ ก็ไปล้างน้ำเปล่า แหะ ๆ เล่าอะไรชอบเกินเลยทุกที

น้ำยาที่ซื้อมา บางทีอาจจะข้นเหนียวมาก ๆ ก็สามารถผสมน้ำได้เล็กน้อย ระวังอย่าผสมน้ำมากไป เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพของน้ำยาลดลงค่ะ ก่อนจะย้อมสี ต้องมั่นใจนะคะว่าผ้าที่ระบายสีนั้น สีแห้งแล้วจริง ๆ ห้ามใจร้อนเด็ดขาด จะให้ดี ก็ทิ้งข้ามคืนไว้ อันนี้..แห้ง..ชัวร์ป้าบ

เทน้ำยาลงบนผ้าประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ แล้วเอาเครดิตการ์ดรูดปริ๊ด ๆ เอ้อ...เอาการ์ดมาปาด ๆ ให้น้ำยาซึมไปทั่ว ๆ ค่ะ พึงทำด้วยความใจเย็น ฉันเห็นเพื่อนบางคนปาดไปคุยโทรศัพท์ไป ก็ดีนะคะ เพลินดี

เมื่อปาดไปแล้ว น้ำยาหมดก่อน แล้วความรู้สึกว่ามันยังไม่ทั่วดี ก็เทเพิ่มเลยค่ะ อย่าเกรงใจ หรือพอปาดแล้วทั่วแล้ว เราก็ปาดน้ำยาที่เหลือเก็บใส่ขวดไว้ใช้กับผืนอื่นได้ ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด อย่าประหยัดค่ะ เพราะถ้าทาน้ำยาไม่ทั่ว พอต้มออกมาแล้วจะกระดำกระด่าง เสียหายหลายร้อย หลายพัน ดังนั้นเอาชัวร์ไว้ดีกว่าพี่น้อง

เมื่อทาน้ำยาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ทิ้งไว้อย่างงั้น ไปทำงานชิ้นใหม่เลย หรือจะไปทำอย่างอื่นก็ได้ค่ะ พอผ้าแห้งก็พับเก็บไว้ รวมกันหลาย ๆ ผืน ค่อยลงมือต้ม ผ้าที่ชุบน้ำยา ควรทิ้งไว้อย่างต่ำ ๆ 8 ชั่วโมง ตำราเขาว่า 4 ชั่วโมง แต่ฉันว่ายิ่งทิ้งไว้นานแค่ไหน ก็ยิ่งดีแค่นั้นค่ะ แต่ไม่ต้องทิ้งข้ามปีนะเคอะ ไม่ต้องใช้กันพอดี

เมื่อจะต้มผ้า ก่อนจะนำผ้าไปต้ม ฉันนำไปล้างน้ำเปล่าก่อนค่ะ ควรใส่ถุงมือ ค่ะขั้นตอนนี้ ถ้าคิดว่าเป็นคนผิวบอบบาง ฉันมันประเภทชนะตลอด เลยไม่ต้องใส่ถุงมือ เอาผ้ามาล้างจนน้ำใสแล้วค่อยโยนลงในน้ำเดือดที่ใส่น้ำยาล้างจานลงไปแล้ว น้ำยาล้างจานควรเลือกสูตรที่ผสมมะนาวค่ะ เขาว่ากันว่าช่วยให้เทียนหลุดจากผ้าง่ายขึ้น และรักษาสีให้เงางามคงทนเพิ่ม จริงเท็จแค่ไหนฉันไม่ทราบค่ะ แบบว่าเชื่อไว้ก่อนอากงสอนไว้ค่ะ

ใครที่ขี้เกียจทำซับซ้อนหลายขั้นตอน จะทิ้งผ้าลงไปในน้ำเดือนผสมน้ำยาล้างจานเลยก็ได้ค่ะ ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

ทีนี้ คุณ ๆ ก็ได้เป็นปลื้มกับผลงานแล้วซิคะ เอาไปตากเลยค่ะ ตากลมประเดี๋ยวเดียวผ้าก็แห้งแล้ว ผ้ามัสลินมีคุณสมบัติแห้งง่ายค่ะ ไม่จำเป็นต้องเอาไปตากแดด แค่ตากในร่ม ให้ลมโกรกสบาย ๆ ไม่ถึง 2 ชั่วโมงดี ก็เอาผ้ามาเย็บริมเป็นผ้าเช็ดหน้าแสนสวยที่คุณเป็นปลื้มได้แล้วค่ะ

บาติกเป็นงานที่ง่าย และเพลิดเพลินค่ะ นี่คือหนึ่งในกิจกรรมที่ฉันคิดว่าสมาคมฯ สามารถบรรจุไว้สำหรับให้ความรู้แก่ศิษยานุศิษย์ได้ ทั้งยังทำเก็บไว้จำหน่ายหาเงินเข้าสมาคมในกาลต่อไปได้อีกด้วยค่ะ 55555555 ทีนี้คงเข้าใจแล้วนะคะ ว่าทำไมฉันจึงนั่งพิมพ์บทความสอนบาติกอยู่หลายวัน?

นอกจากบาติกแล้ว ฉันคิดว่าศิษย์เก่าวัฒนาหลายคนมีความรู้ความชำนาญหลากหลายออกไปมากมาย น่าจะมีการเชิญชวนมาเป็นวิทยากร เพื่อความรู้อันน่าเพลิดเพลิน และก่อเกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ร่วมกิจกรรม อันนำไปสู่ความสามัคคีในหมู่สมาชิกได้ และเรายังสามารถคัดเลือกผลิคภัณฑ์ออกจำหน่าย เพื่อหาเงินได้อีกด้วย งานนี้ยิงธนูเพียงศรเดียว ได้เป็ดน้ำมาเป็นฝูงเชียว หรือคิดว่าอย่างไรคะ?



ผืนนี้ทำขนาดใหญ่ค่ะ ยาวเมตรกว่า แต่ถ่ายรูปเจาะ เน้นความงาม 5555555555

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553

Batik to continue

ดอกเอ๋ย ดอกไม้~~ดอกอะไรเสียบไว้ในรูหู้


เรียนวันที่ 2 อาจารย์ก็ให้วาดดอกชบา 2 ดอกแล้ว โหย..แล้วจะทำได้ไหมเนี่ยะ ฉันโอดอยู่ในใจค่ะ ก่อนอื่นเลยก็เอาลายมาลอกก่อน เนื่องจากผ้ามัสลินเป็นผ้าบาง ๆ เอากระดาษลายมาวางไว้ข้างใต้ แล้วเอาโฟมหนุนอีกที ก็สามารถมองเห็นลายแล้วค่ะ



ดินสอที่จะใช้ควรเป็นดินสอสำหรับเขียนผ้าค่ะ ที่มี 2 หัวสีแดงข้างน้ำเงินข้างนั่นแระค่ะ ที่แนะนำให้ใช้ 2 สี เพราะเผื่อว่าลอกผิดก็ใช้อีกสีหนึ่งไปแทน จะแยกได้ว่าเส้นไหนที่เราไม่เอา เนื่องจากว่าผ้าไม่สามารถใช้ยางลบ หรือลิขวิดได้ แต่จะใช้ดินสอดำก็ได้ค่ะ ควรเป็น 2 บี 3 บี เวลาเขียนลายให้เบา ๆ มือหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะซักไม่ออกค่ะ


การลอกลายนั้น ดูเหมือนยาก แต่จริง ๆ แล้วไม่ยากหรอกค่ะ ก็เด็ก ๆ 4-5 ขวบยังทำได้เลย เพียงแต่ทำครั้งแรก ก็ควรเลือกลายที่น้อย ๆ เส้นหน่อย เพราะจะได้ไม่หลงลืม เดี๋ยวลงลายไม่ครบ ภาพก็จะแหว่ง ๆ ให้เสียอารมณ์ไปเปล่า ๆ อีกอย่างคือ ถ้าครั้งแรก เราทำลายเยอะไป พอลงเทียนไม่ได้ ก็จะท้อแท้ไปซะก่อน



เมื่อลอกลายเสร็จให้ดูให้ดี ๆ ก่อนนะคะ อย่าผลีผลามเอาลายออก ดูให้ดีว่าลอกครบแล้วหรือยัง แล้วค่อยเอากระดาษออกค่ะ พอลอกลายได้เรียบร้อยแล้วก็มาถึงขั้นตอนการเขียนเทียนละ ฉันเป็นคนแก่ค่ะ มือสั่นไปตามวัย แต่ก็พบว่าการเขียนดอกไม้เป็นเรื่องง่ายว่าเขียนวงกลมอีก เพราะกลีบดอกไม้นั้น มันจะหยิก ๆ หยัก ๆ เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว จะเขียนเทียนให้ดีต้องใจเย็นค่ะ โดยเฉพาะช่วงเขียนเกสร หรือก้านดอก ต้องให้เส้นเทียนเล็ก ๆ จะได้ดูเรียวสวย ไม่อ้วนเทอะทะเหมือนของฉัน กว่าจะเขียนดอกชบาคู่แรกจบก็แทบสิ้นชีพ..ทำไมเหรอคะ ก็ต้องเกร็งทั้งมือ เกร็งทั้งลมปราณ แถมเขียน ๆ อยู่มีคนมาชนมือ ได้เรื่องเลยค่ะ เทียนกระฉอกหกเป็นตำหนิดวงโต มองเห็นชัดเจนตั้งแต่ 500 เมตร


เอ้าน่า อย่าไปกลุ้มใจมาก มันเป็นงานชิ้นที่ 2 ถ้าทำได้เพอร์เฝ็คก็ไม่ต้องมานั่งเรียนแล้ว ไปทำขายเลย..ไป๊ ฮ่ะ ๆ ๆ ตอนที่เขียนดอกไม้คู่แรกได้จบ ฉันมีความภาคภูมิใจมากค่ะ โอ้..เราก็ทำได้ไม่เลวเลย ถึงเส้นมันจะขลุกขลักไปหน่อย แต่มันก็ดูเป็นดอกไม้แหละน่า...


การลงสี ดอกไม้มี 2-3 สไตล์ค่ะ คือไล่แสงแรเงา กับทำกลีบ ฉันไม่ชอบการทำกลีบ เพราะมันต้องพิถีพิถันจนหมดอรรถรสความสนุก แรเงายังพอกรุ้มกริ่มไปได้บ้าง ที่จริงน่ะชอบระบายเรียบ แต่อาจารย์เขาสอน ลูกศิษย์ที่ดีก็พึงก้มหน้าก้มตาปฏิบัติไป จะทดลองอะไรแปลก ๆ ไว้ไปทำที่บ้านโลด ดอกไม้สีชมพู แดง ส้ม ม่วงฯลฯให้ใช้สีม่วง ดำ หรือน้ำเงินดำทำเงา แต่เป็นสีเหลืองนิยมใช้สีเขียวค่ะ


ส่วนใบไม้ ให้ระบายปลายของใบไม้ที่อยู่ด้านบน ด้วยเหลืองมะนาวแล้วใช้สีฟ้าระบายส่วนที่เหลือ ฟ้ากับเหลืองก็จะกลายเป็นเขียวค่ะ ถ้าใบไม้ด้านล่างก็ลงสีเขียว ส่วนใต้ดอกก็แรเงาสีดำเพื่อให้เกิดมิติ


สำหรับทุ่งทิวลิป เมื่อระบายดอกแล้ว ให้ลงน้ำข้างหลังค่ะ แล้วค่อย ๆ แตะสีฟ้ามาระบายเป็นช่วง ๆ เอาสีม่วงแซมบ้าง ตรงนี้ต้องใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ทำไปแหงนดูท้องฟ้าไป เอ้อ..ควรเป็นท้องฟ้ายามเย็น ๆ หน่อยนะคะ หรือจะเป็นตอนเช้า ๆ ก็ได้ ท้องฟ้าจะแจ่มใสน่ามอง แต่ถ้าบังเอิญทำตอนกลางคืน หรือเวลาฝนตก ก็อย่าไปมองเลยค่ะ ใช้ความทรงจำผสมผสานกับจินตนาการดีกว่า


ระบายฟ้าเสร็จ ไม่ต้องรอให้ผ้าแห้ง เอาพู่กันเบอร์ 6 สะอาด ๆ มาเช็ดกับผ้าให้แห้ง แล้วจุ้มสีเขียวมาตวัดตรงโคนดอกขึ้นไปเป็นริ้ว ๆ พยายามให้พลิ้วไหวสักหน่อย จะได้ดูเหมือน ทุ่ง ทิวลิปอันโรแมนติก เสร็จแล้วอย่ามัวนั่งกินขนมค่ะ เวลาและนารี เอ๊ยวารี ไม่เคยรอใคร ล้างสีเขียวออกแล้ว จุ่มเหลือง แตะแต้มลงไปเบา ๆ ให้เป็นจุด ๆ อย่างในภาพ แล้วเปลี่ยนเป็นสีส้ม แดง ชมพู ม่วง เพียงแค่นี้เราก็ได้ทุ่งทิวลิปประกอบฉากแล้วค่ะ


เป็นไงคะ ดูแล้วชื่นใจไหมคะ ไปพักดีกว่าเหนื่อยแล้ว คราวหน้าจะมาย้อมสีผ้ากันล่ะค่ะ.

วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2553

Impossible Dream

ฤาว่าฝันนี้จะเป็นไปไม่ได้?...ม่ายนะ!!!!!!

ตอนที่ออกจากวัฒนาไปใหม่ ๆ (ด้วยเหตุผลที่โหลยโท่ยมาก..ไม่รู้ว่าจะเลือกศิลป์ภาษา หรือศิลป์คำนวณดี?) เวลาที่ได้กลับเข้าไปเดินเล่นในโรงเรียน เป็นความสุขอย่างหนึ่งที่ฉันทำบ่อย ๆ แรก ๆ ก็เข้าไปคุยกับเพื่อนที่ยังอยู่ ต่อมาเพื่อนร่วมรุ่นจบไปแล้ว ก็เข้าไปคุยกับครูแทน ที่จริงจะว่า คุย ก็คงไม่ได้เสียทีเดียว เพราะเพียงแต่สวัสดี ทักคำสองคำส่วนใหญ่  

แล้วทำไมต้องไปบ่อย ๆ?  คำตอบคือ ฉันพยายามกลับไป บ้าน ที่ฉันคุ้นเคย ไปดูตึกเรียนที่เคยเดินขึ้นเดินลง ไปกินอาหาร 5555555 ที่คุ้นลิ้น ไปสูดอ๊อกซิเจนจากต้นไม้ใหญ่เช่นวันเก่าก่อน ไปเดินบนพื้นที่เคยวิ่งไปวิ่งมา นึกไปแล้วก็ขำตัวเอง ทำไมสมัยเด็ก ๆ วิ่งมากกว่าเดิน? ตื่นเช้ามาก็วิ่งไปห้องตู้ อาบน้ำกินข้าวทำเตียงเสร็จก็วิ่งไปสิงสถิตย์หน้าตึกเรียน ตอนเย็นนี่วิ่งทุกวันกับโด่ง กนกเรขา และปุ้ย กัญญา ไม่รู้มีเหตุให้วิ่งอะไรนักหนา วิ่งได้ดีทุกวี่ทุกวัน มิน่าถึงได้ไม่อ้วนทั้ง ๆ ที่กินเยอะ  

นอกจากต้นไม้ และสนามหญ้า สิ่ิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกรักและผูกพันมากที่สุดคือ..ตึกเรียนและตึกห้า (ที่นอนหลังแรก) เนื่องจากมีความทรงจำเกิดขึ้นมากมาย 


หลัง ๆ มา เมื่อฉันกลับเข้าไปเดินเล่นในโรงเรียน จู่ ๆ ก็รู้สึกว่า เพื่อน ได้จากไปทีละคนโดยไม่ทันได้บอกลาซะงั้น เริ่มแรกจากตึกห้าก่อนเลย ตึกห้าเป็นตึกแรกของนักเรียนไปมา เนื่องจากชั้นอนุบาลอยู่ที่ตึกนี้  ในขณะเดียวกันก็เป็นตึกแรกของนักเรียนประจำด้วยเช่นกัน ตึกนี้ได้จากไปทั้งร่าง และวิญญาณ..กลายเป็นตึกใหม่ โอ่อ่า สง่างาม แต่...แปลกหน้า  เหมือนเราเจอคน ๆ หนึ่งที่ใส่ชุดหรูหรา ทรงเครื่องด้วยเพชรราคาแพง  เราก็อาจจะชื่นชมว่า ว้าว...สวยจัง แต่ก็แค่นั้น..ไม่คิดจะเข้าไปทักทาย เพราะเป็นคนแปลกหน้า

ตึกเรียน กับหน้าต่างมหาภัยของฉัน วันนี้มา ไม่มีผู้คนเข้าออก หน้าต่างปิดเงียบอย่างเชื่อง แต่เซื่องซึมเหงาลึกในความคิดฉัน ฉันไม่เข้าใจ และไม่อาจจะทำความยอมรับได้ว่า โรงเรียนได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง ตึกเก่า ๆ พากันล้มหายตายจากไปทีละตึก ๆ เริ่มจากตึกซิตติ้ง มาตึก 5...ตึกประถมยังอยู่แต่อ้างว้างอย่างซ่อนเร้น ถ้าไม่เดินหาจริง ๆ คงไม่เจอ เพราะรายรอบด้วยตึกน้องใหม่ที่เบิ้ม ๆ ทั้งนั้น


ตึกเรียนที่ฉันรัก..นับว่าโชคยังดีอยู่ เพราะยังไม่ถูกรื้อทิ้ง แทนที่ด้วยตึกใหม่ อาจจะดูใหญ่โต ประสิทธิภาพสูงกว่า แต่ยากจุดติดความรักความผูกพัน เพราะไร้มนต์ขลัง  ฉันจึงฝัน...ฝันว่าตึกเรียนนี้จะไม่ถูกทำลายลง และกลับมามีชีวิตใหม่ มีคนเข้าออก หน้าต่างถูกเปิดออก และปิดทุก ๆ วัน  เคยถามครูท่านหนึ่ง (ขอสงวนนามไว้ก่อนค่ะ) ครูบอกว่าเพราะตึกทรุด อืม..ตึกอำนวยการก็เคยปิดตัวลงเพื่อการซ่อมแซมใหญ่  ฉันหวังว่าตึกเรียนของฉันจะได้รับการซ่อมแซมให้กลับมายิ้มทักทายกันได้อีกครั้ง  ในเมื่อจำนวนเด็กมัธยมนั้นมากเกินกว่าจะบรรจุให้เข้าไปนั่งเรียนในตึก ฉันมองว่า เราก็สามารถใช้ตึกนี้ทำอย่างอื่นได้นี่ เช่นเป็นออฟฟิศสมาคมศิษย์เก่าวังหลังวัฒนาฯ เป็นต้น 5555555 

รู้สึกหูแว่วเสียงเซ็งแซ่มาเชียวว่าเป็นปายม่ายด้ายยยย .... แต่ฉันกลับคิดว่า ถ้าจะมีผู้อื่นนอกเหนือจากครูและนักเรียนปัจจุบัน ผู้ที่น่าจะมีสิทธิ์ขอใช้ตึก (ไม่ต้องทั้งหมด เอาแค่ออฟฟิศครูวรรณดีเก่าก็ได้) น่าจะเป็นพวกฉัน..ศิษย์เก่า..นี่เอง แล้วห้องประชุมที่เคยใช้เป็นที่ประกาศผลสอบ..(ความหลังนี้ไม่ค่อยปลื้มเท่าไร เพราะนพพรสอบได้ที่โหล่ประจำ -*-) ก็ดัดแปลงมาเป็นห้องกิจกรรม ที่ฉันวาดฝันอันดับต่อไปเร็ว ๆ นี้...โปรดติดตาม 5555555  

หลาย ๆ คนคงยังไม่รู้ว่าตอนนี้โรงเรียนกำลังประสบปัญหา มีความไม่เข้าใจกับทางสภาคริสต์จักรฯ เรื่องเป็นอย่างไร ฉันเองก็ยังรู้ไม่ลึก จึงไม่ขอเขียนถึง แต่ฉันจำได้สมัยที่กลับเข้ามาเที่ยวโรงเรียนใหม่ ๆ คนแรก ๆ ที่ฉันต้องแวะเข้าไปอ้อนคือครูผิน ไปกอด ไปหอมแก้มครู ยุคหนึ่ง..พอใครมา ครูผินก็ร้องขอความช่วยเหลือให้ต่อต้าน เนื่องจากจะมีการนำพื้นที่โรงเรียน บริเวณที่เป็นลานจอดรถหน้าตึกเรียนปัจจุบัน ตอนนั้นยังเป็น "ป่า" ด้วยเหตุว่าวัฒนาของเราอยู่ใจกลางเมือง  พวกเราเคยนั่งเรียนบนแท่นทองคำขนาดใหญ่ 5555555555 เลยทำให้มีคนคิดจะเอาพื้นที่ตรงนั้นไปให้คนนอกทำคอนโด ครูผินเป็นครูคนหนึ่งที่ฉันเห็นว่าขยันขันแข็ง เป็นตัวตั้งตัวตีพูดกับศิษย์เก่า ๆ ที่แวะมาหาครูว่าจะให้มีคอนโดมาอยู่ตรงนั้นได้ยังไง วัฒนาเป็นโรงเรียนประจำ มีกุลสตรีน้อย ๆ เดินไปเดินมา จะให้หนุ่มที่ไหนที่มาพักบนคอนโดส่องกล้องดูเด็กสาว ๆ ได้อย่างไรกัน

ตอนนั้นก็มีการรวมตัวศิษย์เก่า และเกิดการต่อต้านจนความคิดนั้นต้องล้มพับไปแล้ว  เห็นพลังของศิษย์เก่าไหมล่ะคะ สมัยนั้นสมาคมไม่มีบทบาทแข็งแรงอะไรนักก็จริง แต่ครูเก่า ๆ ที่ยังอยู่เป็นดังแม่เหล็กดึงดูดมวลพลังสามัคคี  สมัยนี้ กาลเวลาได้พรากสิ่งดี ๆ ไปอย่างน่าใจหาย ดังนั้นเราจึงต้องมี "สมาคม" เป็นแม่เหล็ก  ฉันอยากเห็นสมาคมของเราเป็นแม่เหล็กที่ทรงอานุภาพ แต่การจะรวมตัวเพื่อน ๆ ทั้งดึงรุ่นพี่รุ่นน้องให้เข้ามาจรรโลงสมาคมนั้น ต้องมี"แรงจูงใจ" ค่ะ 

ใครที่อ่านมาถึงบทความนี้ ลองช่วยกันคิด ช่วยกันนำเสนอวิธีการหาเจ้า "แรงจูงใจ" ที่ว่าหน่อยเถิด.

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553

Batik Lesson 1

เรียนรู้การไหลของสี และมิติของบาติก

คราวที่แล้วได้บอกให้ตัดผ้ามัสลินขนาด 15 คูณ 15 นิ้ว ตัดกันหรือยังคะ อ้อ..ครั้งที่แล้วลืมบอกไปค่ะ ว่าการตัดผ้า ขอให้ใช้กรรไกรตัดโดยตลอดนะคะ เพราะว่าฉันเคยเจอผู้หวังดีแนะนำให้ฉีกผ้าค่ะ บอกว่าตรงแน่ แต่ขอโทษ..ไม่จริงค่ะ เบี้ยวเห็น ๆ แถมชายลุ่ยรุ่งริ่งเชียว


เอามา 1 ผืนค่ะ วางทาบลงบนเฟรม แล้วเอาปลายด้ามพู่กันเบอร์ 10 หรือ 12 รูดค่ะ ผ้าจะติดเหมือนทากาวเลย ด้านที่ 3-4 ให้ค่อยดึงผ้าทีละนึงแล้วรูด การขึงผ้าควรขึงให้ตึงค่ะ ทำงานบาติกมาก ๆ สามารถไปรับจ๊อบปูที่นอนได้ เพราะมีความสามารถในการทำให้ผ้าตึงเปรี๊ยะ เรียบสนิทดี เมื่อผ้าตึงเรียบร้อยก็เอาด้านพู่กันรูดเป็นการซีลส่งท้าย เพื่อความแน่นหนา อิอิ

อุ้ยตาย ลืมตั้งเตาอุ่นเทียนไว้ แหะ ๆ อย่าถือสากันนะคะแก่แล้วก็งี้แหละ ตอนนี้ก็ไปตั้งเตาไว้เลยค่ะ เตรียมจันติ้ง ช้อน หรือจะเอาเศษผ้าก็ได้ ตั้งเตาแล้วก็กลับมาที่เฟรมค่ะ โฟมที่ซื้อมาตัดให้พอดีกับกรอบในเพื่อไว้ใช้หนุนใต้ผ้าเวลาลอกลายค่ะ ควรจะหากระดาษมาห่อโฟมหน่อยเพื่อความคงทน จะได้ไม่หักให้ต้องไปซื้อใหม่บ่อย ๆ เนื่องจากโฟมย่อยสลายยาก เป็นตัวการเพิ่มขยะโลก และทำให้โลกร้อน... กลับมาแล้วค่ะ กลับเข้าเรื่องบาติก เอาโฟมรองใต้ผ้าเรียบร้อยแล้วก็หาถ้วย หรือแก้ว หรืออะไรก็ได้ที่เป็นทรงกลม วางไว้ในตำหน่งตามภาพค่ะ วาดวงกลม 3 อัน เรียงลงมา อีกด้านให้วาดเป็นภูเขา และตีเส้นแบ่งตามรูปเลยค่ะ ไม่ต้องซีเรียสมากค่ะ ภูเขาน่ะ จะเอาภูเขาเตี้ย ๆ หรือจะเอาดอยชี้ฟ้า เทือกเขาแอลป์ได้ทั้งนั้นค่ะ แค่ต้องมีเส้นแบ่งทะเล

วาดเสร็จแล้วใช่ไหมคะ เอาโฟมออกเลยค่ะ หิ้วเฟรมมาที่โต๊ะที่ตั้งเตาต้มเทียน เทียนละลายแล้วก็หรี่ไฟหน่อยนะคะ ฉันเคยเจอลาวาเทียนบาติกปะทุค่ะ เฟรมไม่ต้องตั้งชิดหม้อมากนักค่ะ เผื่อเทียนหก จะได้ไม่โดนผ้า ไม่งั้นก็แก้ยากค่ะ เพื่อนบอกว่าเอาน้ำร้อนราด แต่ฉันยังไม่เคยทำค่ะ จะให้ดีก็ระวังไว้ดีกว่า

เทียนร้อนแล้ว แต่จันติ้งยังเย็นอยู่ เอาจันติ้งวางทิ้งไว้ในหม้อสักประเดี๋ยวเพื่ออุ่นให้..เอ่อ ..เขาเรียกอะไรหว่า? ฮ่า ๆ ๆ อ้อ นึกออกแล้ว เรียกว่า “ถ้วย” ค่ะ ไม่ต้องแช่ด้ามจับนะคะ วางพาดไว้หรือจะถือไว้ก็ได้ เพราะไม่นาน ลองตักเทียนดู แล้วดูว่าน้ำเทียนไหลจากท่อหรือยัง เมื่อมันไหลดีแล้วก็ตักมาค่ะ เอาช้อน หรือผ้าลองใต้หน่อยนะคะ เพราะมันจะหยดเลอะงานค่ะ เอามาแล้วอย่าเพิ่งเขียนค่ะ

เทียนร้อนจัดจะทำให้ลายเส้นที่เขียนบวมค่ะ ไม่สวย แต่ถ้าเย็นไปก็ไม่ได้ ต้องร้อนพอเหมาะค่ะ ขนาดไหนที่เรียกว่าพอเหมาะเหรอคะ ลองเขียนที่เศษผ้าดู ถ้าเส้นไม่บวมแล้วก็นำมาเขียนได้เลยค่ะ เนื่องจากเทียนจะแข็งตัวถ้าเริ่มอุ่นไปทางเย็น ดังนั้น ควรจะเปลี่ยนน้ำเทียนบ่อย ๆ ไม่ใช่ตักมาแล้วเขียนทีเดียวทั้งเฟรม

ใหม่ ๆ จะรู้สึกอึดอัด ไม่รู้จะจับยังไงให้เขียนได้ถนัด ฉันเรียนมา 6 วันแล้ว ยังจับจันติ้งไม่ถนัดเท่าไรเลยค่ะ แค่เริ่มพอจะเขียนได้โดยไม่ทำเทียนหก แต่ต้องใจเย็นสุดขีด จะเรียกได้ว่าการทำบาติก เป็นการฝึกให้เราใจเย็นลง ก็ว่าได้ค่ะ เขียนเสร็จหรือยังคะ หกก็ไม่เป็นไรค่ะ งานชิ้นแรก ถ้าไม่มีตำหนิเลยก็ไม่เท่ห์ อิอิ อย่าลืมตีกรอบนะคะ ไม่ต้องเอาไม้บรรทัดที่ไหน ก็ขอบเฟรมนั่นแระค่ะ ลากไป

เขียนเทียนเสร็จ ก็ให้ยกขึ้นส่องหน่อยค่ะ ว่าเส้นเทียนทะลุตลอดหรือเปล่า และตรงลอยต่อเชื่อมกันดีหรือไม่ เนื่องจากเทียนจะเป็นตัวกั้นสี ถ้าเส้นเทียนขาด สีก็จะโผเข้าหากันเหมือนคู่รักที่จากกันมานาน แต่รับรองว่าคุณไม่ประทับใจแน่ ตรงไหนไม่ชัด หรือรอยต่อไม่ติด ก็เติมค่ะ

จากนั้นก็เริ่มระบายสีละ ภาพวาดต้องมีแสงเงา ถึงจะดูสวย มีมิติ ถูกไหมคะ? เนื่องจากว่าบาติกไม่มีสีขาว เพราะผ้าที่นำมาเพ้นท์เป็นสีขาวอยู่แล้วเปิดหลอดสีไว้เลยค่ะ เปิดทุกหลอดเลย จะได้ใช้งานสะดวก ถ้าบังเอิญที่หลอดสีล้ม (1 สี) อย่าเอาผ้าซับนะคะ เอาหลอดฉีดยาดูดกลับมาใช้ได้อีกค่ะ ฉะนั้นควรตั้งหลอดไว้บนโต๊ะพลาสติค จะให้ดีก็อย่าได้ทำหกดีกว่าค่ะ ถ้าหกหลายสีก็กินยาทัมใจเพื่อที่จะทำใจ แล้วเช็ดค่ะ

เลือกสีเข้ม ๆ หน่อยนะคะ จะได้เห็นแสงเงาชัดเจน สีเหลืองมะนาวน่ะไม่ต้องเลย ได้สีมาแล้วใช้ไหมคะ หยิบพู่กันเบอร์ 6 จุ่มน้ำสะอาด ๆ หมาด ๆ ค่ะ แล้วป้ายไปตรงบริเวณที่คุณต้องการให้เป็นแสงสีขาวไม่ต้องวงกว้างนักนะคะ

จากนั้นก็จุ้มสีมาระบายรอบขอบเทียน แล้วล้างพู่กันค่ะ เช็ดให้แห้ง ระหว่างนี้ สีมันจะวิ่งค่ะ ถ้าไม่วิ่งก็ไม่ต้องตกใจ ให้เอาพู่กันล้างน้ำแล้วเช็ดกับกางเกง..เอ๊ย..ผ้าขี้ริ้วค่ะ ควรมีผ้า 1 ผืน ไม่ต้องใหม่หรอกค่ะ เพราะให้เป็นผ้าสวยสะขนาดไหน อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า มันก็จะเริ่มขี้ริ้วล่ะ

ชอบไถลซะจริง กลับมาที่วงกลมใหม่ค่ะ เอาพู่กันค่อยเกลี่ยสีให้ไล่กัน ด้วยการปัดจากสีอ่อนออกไปเข้มค่ะ แล้วก็หมุน ๆ ๆ จนกว่าจะกลืนกันดี

จะลองย้ายมุมแสงมั่งก็ได้ กับวงกลมอีก 2 อัน เพราะบาติกนั้น ถ้าไม่แรเงาเลย งานก็จะไม่มีมิติค่ะ ทีนี้ก็มาเรื่องพื้นหลัง หรือเอาภาษาปะกิตก็ background

ระบายพื้นเรียบ ให้ลงน้ำให้ทั่วพื้นที่ ๆ จะระบายก่อนค่ะ ลงน้ำด้วยพู่กันพอหมาด ๆ ไม่ใช่เอาผ้าไปจุ่มลงในน้ำนะเออ เสร็จแล้วก็เช็ดพู่กันที่ผ้าก่อน จุ้มสีที่เลือก แล้วค่อย ๆ ระบายค่ะ พอระบายทั่วดีแล้วให้เช็ดพู่กันอีกที เอาพู่กันที่แห้ง ๆ ทำการเกลี่ยให้สีเรียบ สามารถกดแรง ๆ ได้หน่อยค่ะ

อันที่ 2 เป็นการระบายหยอดสี เอาน้ำลงก่อนเหมือนช่องแรก แล้วเอาพู่กันจุ่มสี มาจุดลงไปเบา ๆ สีก็จะวิ่งเป็นดวง ๆ จะดวงเล็ก ดวงใหญ่ ก็แล้วแต่เราจุ้มสีมาจุดมากน้อยแค่ไหน ทดลองทำหลาย ๆ สี ก่อนจะใช้สีอื่นให้ล้างพู่กันก่อนทุกครั้งค่ะ

อันที่ 3 เป็นการไล่สี เราใช้เทคนิคคล้าย ๆ วงกลม คือลงน้ำบริเวณที่เราต้องการให้เป็นสีอ่อน แล้วลงสีตรงที่แห้ง จากนั้นก็เกลี่ยเงาไปหากันค่ะ

ส่วนภาพวิว ให้ทดลองทำบรรยากาศ 3 เวลา เช้า เย็น กลางคืน การทำท้องฟ้ากับทะเลเป็นเรื่องยากค่ะ ต้องลงน้ำก่อน แล้วค่อย ๆ ใช้พู่กันปาดสีลงไปทีละสี อย่าระบายไปทั้งผืน ต้องดูตัวอย่าง แล้วค่อย ๆ ทำไปค่ะ ท้องฟ้ายามเช้าควรจะสว่างสดใส เอาสีฟ้าจุ้มมาบางเบาหน่อยนะคะ ฉันเป็นคนมือหนักค่ะ ฟ้าเลยไม่ค่อยสว่างไสวเท่าที่ควร จะว่าไปก็เหมือนฟ้าเมืองหลวง อากาศขมุกขมัวตลอด ฮ่า ๆ ๆ ทะเลยามเช้า ก็ควรจะออกแนวใส ๆ ฉันมัวละเลง ไม่ได้ฟังอาจารย์ค่ะ ผลคือทะเลดูเหมือนกันหมดทั้ง 3 ช่อง นับเป็นทะเลที่มั่นคง ไม่ค่อยแปรปรวน

ส่วนตอนเย็น ก็เป็นช่วงอาทิตย์อัสดง สมมติว่าพระอาทิตย์ตกหลังเขา แสงสีเหลืองจึงเริ่มต้นตรงนั้น ก่อนจะไปค่อย ๆ เป็นสีส้มไปถึงขอบ ทะเลยามนี้ก็ควรจะสีเข้มกว่ายามเช้าหน่อยค่ะ


มาถึงยามดึกกันมั่ง ท้องฟ้ายามกลางคืน อย่าคิดว่าง่าย ๆ นะคะ เพราะฟ้ากลางคืนไม่ได้เป็นสีดำสนิท เรายังคงเห็นท้องฟ้าได้เลือนราง ค่อย ๆ เพิ่มสีให้เข้มขึ้น ๆ นะคะ ของฉัน อย่างที่บอกน่ะค่ะ หูตึงก็แย่อยู่แล้ว ยังไม่ค่อยฟังอาจารย์พูดอีกต่างหาก เรียนวันแรก อาจารย์เกรงใจค่ะ เพราะอาวุโสกว่าอาจารย์หลายปีอยู่ เรียน ๆ ไป อาจารย์เริ่มคุ้นเคย ทำท่าจะบีบคอลูกศิษย์เฒ่าหลายครั้งอยู่ ค่าที่ทำเร็วกว่าคนอื่น พอทำก็ทำไปเรื่อย อาจารย์หันมาอีกที..อ้าวแก้ไขไม่ได้แล้ว ฉะนั้นโดยมากแล้ว ถ้ามีอะไร อาจารย์จะบอกฉันก่อนว่า...อย่าเพิ่ง...นะคะ บางทีได้เพื่อนร่วมรุ่นช่วยกันเบรกวุ่นวายไปหมด หุหุ

แต่งานชิ้นแรก ก็หาได้ขี้ริ้ว ขี้เหร่ไม่ และฉันก็เริ่มหลงใหลบาติกตั้งแต่เริ่มเรียนวันแรกเลยทีเดียว

มาเรียนบาติกกันไหม?

let's learn how to do batik.


วันเดียว โพสมัน 4 บทความเลย อะไรจะขยันโฮกปานนี้เนี่ยะ

เมื่อสักครู่ บี้ (อัจฉราวดี 106) เพิ่งส่งเมลมาบอกว่าได้เข้ามาอ่านแล้ว โห ร้านนี้ท่าทางขายดี 55555 มีลูกค้ามาเยี่ยมแต่ไก่โห่เลย  แต่คุณเธอบอกว่าบ่จี๊ (โพสไม่เป็น  อยากจะแชร์เรื่องราวก็ทำไม่ได้ จะให้ฉันสอนให้)  ฉันเองก็มั่วเอาจนวินาทีนี้ ยังงง ๆ ไม่หาย 555555 แล้วจะสอนยังไงอ่ะ

เอางี้ มานั่งคลาสบาติกของฉันก่อนละกันนะบี้  มาก่อนได้นั่งแถวหน้าเลยน้า  อย่าเพิ่งมองไปด้านหลัง 555555 เพราะยังไม่มีใคร นอกจากเธอ.......

ก่อนอื่น....เตรียมอุปกรณ์ก่อนนะคะ



1. ผ้าค่ะ เอามัสลินราคาถูก ๆ ไว้ก่อน หน้า 60 นิ้วค่ะ ไม่แพงดี
2. พู่กัน ยี่ห้อนายสง่าระบายได้ดีค่ะ ถูกด้วย เอาเบอร์ 2 6 8 10 12
3. จันติ้ง ซื้อหัว m หรือ s มานะคะ จันติ้งคือปากกาเขียนเทียนค่ะ
4. ขี้ผึ้งสำหรับเขียนเทียนบาติก
5. เฟรม ครั้งแรกให้ทำผ้าขนาดเล็กไว้ก่อนค่ะ
6. สีค่ะ สีที่ควรซื้อใช้เบื้องต้นมีดังนี้ - เหลืองมะนาว เหลืองจันทร์ เหลืองทอง ส้ม แดงสด แดงชมพู ม่วง เขียวใบไม้ ฟ้าน้ำทะเล น้ำเงิน ดำ

หลายคนคงจะมีคำถามว่าอุปกรณ์พวกนี้ซื้อหาที่ไหนได้บ้าง?  ศึกษาภัณฑ์ค่ะ หรือใครอยากจะไปซื้อที่ร้านสมใจก็ได้ ร้านสมใจเป็นร้านขายเครื่องเขียนที่เด็กเพาะช่างนิยมไปซื้ออุปกรณ์ศิลปะกันค่ะ โทรไปสั่งให้เขาส่งทางไปรษณีย์ก็ได้ 02-2226260 ต่อ 20-21 หรือ 18 (fax) รับรองว่าไม่ได้เปอร์เซ็นต์ค่านายหน้าใด ๆ ทั้งสิ้น  เงินปันผลก็ไม่ได้ 55555555

พร้อมหรือยังคะ?
เริ่มต้นเลย ให้เอาเทียนบาติกที่ซื้อมา แกะใส่หม้อ แล้วตั้งไฟค่ะ ขอแนะนำให้ใช้เตาไฟฟ้า หรือใครมีหม้อหุงข้าวเล็ก ๆ ที่จะเสียสละเพื่อสร้างสรรงานบาติก ก็ย่อมได้ค่ะ แต่ต้องให้มั่นใจว่าจะเสียสละจริง ๆ เพราะไม่สามารถเอาไปหุงข้าวได้อีกแล้วนะเคอะ ต้มเทียนไม่ต้องใส่น้ำนะคะ และกรุณาใช้เทียนสำหรับทำผ้าบาติก จะใช้เทียนพรรษานั้น..หาได้ไม่

ระหว่างนี้ก็ต้มน้ำเพื่อเตรียมผสมสี ฉันใช้วิธีผสมให้เป็นน้ำทั้งหมด แต่บางคนอาจจะถนัดเก็บเป็นผง พอจะใช้ทีก็ผสมที สีที่เขียนบาติกควรผสมน้ำร้อนค่ะ ฉะนั้น ฉันจึงจัดการผสมเดียวเก็บไว้เป็นขวด ๆ สี 1 หลอดฟิล์ม (ไม่เต็มหรอกนะคะ เอาเป็นว่าที่เขาขายมาแค่ไหนก็แค่นั้นแหละค่ะ) ใส่น้ำประมาณ 200-220 cc เวลาชงสี อย่าใจร้อนเททีเดียวหมดหลอด เพราะสีจะจับตัวเป็นก้อน ค่อย ๆ เท ค่อย ๆ ชง งานบาติกเป็นที่สอนให้คนใจเย็น จริง ๆ นะคะ เรียน ๆ ไปแล้วจะรู้ แต่ละขั้นตอน ถ้าใจร้อนก็จะเสียหาย

สีพอผสมแล้ว ควรเก็บไว้ในขวดแก้ว เพื่อรักษาคุณภาพ และจะให้ดีก็แปะป้ายชื่อสีไว้ เวลาสีหมดจะได้ซื้อถูกค่ะ ระหว่างการผสมสี เทียนอาจจะละลายหมดแล้ว เอาเฟรมที่ซื้อมา (บางร้านเขาไม่ได้ทาเทียนให้) เอาแปรงขนกระต่ายขนาดเล็ก หรือจะเป็นพู่กันเบอร์ใหญ่ ๆ ที่ไม่ใช้แล้วก็ได้ จุ่มเทียนทาไปบนเฟรมค่ะ ทาหน้าเดียวนะคะ ครั้งแรกควรทาสัก 3-4 ชั้น แต่ละชั้นให้รอชั้นเดิมเย็นก่อนนะคะ แล้วค่อยทาทับไป ระหว่างรอก็ไปผสมสีต่อก็ได้ มีตั้งหลายสีที่รอผสมอยู่ ถ้าใครกินแบรนด์ซุปไก่ ก็เก็บขวดไว้ค่ะ หรือจะเป็นหลอดฟิล์มก็ย่อมได้ เอาไว้แบ่งสีสำหรับใช้ มันจะสะดวกกว่าที่จะใช้จากขวดใหญ่




ผ้าที่ซื้อมา ให้ตัดขนาดพอดีกับเฟรม คือ 15 x 15 ถ้าผ้าหน้ากว้าง 60 ก็จะไม่เหลือเศษค่ะ พอดิบพอดี


กว่าจะผสมสี ทาเฟรมและตัดผ้าจบ ก็เมื่อยแล้วล่ะค่ะ ไปพักผ่อนกันเถอะพวกเรา ไปอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือไม่ก็ร้องเพลง  พรุ่งนี้ค่อยมาเริ่มทำผ้านะคะ

รับรองค่ะว่าไม่ยาก เอาภาพมายืนยันว่าแม้แต่เด็กตัวเล็ก ๆ ก็ยังทำได้สบาย ๆ ทำได้สวยอีกต่างหาก (แต่ต้องคุมใกล้ชิดหน่อยนะคะ 555555)