วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คิดถึงโรงเรียน

เมื่อตอนที่โรงเรียนจะจัดทำหนังสือ 120 ปี (เกือบ 10 ปีที่แล้ว) ครูเสริมศรีได้ขอให้เขียนอะไรก็ได้เกี่ยวกับโรงเรียนให้หน่อย ฉันก็..สมัยเด็ก ๆ เจ้าบทเจ้ากลอน จึงร่ายออกมาซะยาวเฟื้อย ตอนนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้ แต่จำไม่ได้ว่าใช้ลายมือเขียนหรือพิมพ์ดีดส่งครู แต่ครูเสริมศรีและครูชวนชมซึ่งตอนนั้นอยู่แถวนั้นพอดีชอบมากค่ะ วันนี้มาอ่านอีกที โอ้..นพพรจะเก่งไปไหนเนี่ยะ 5555555 คือวันนี้แต่งกลอนยาว ๆ อย่างวันนั้นไม่ได้อีกแล้ว ถึงได้ว่าสมองคนเรา ถ้าไม่ใช้ก็ฝืด เลยต้องนำมาเก็บไว้เป็นระลึกในบล็อกนี้และเผยแพร่สำหรับผู้ที่ไม่เคยอ่าน หรืออ่านแล้วลืมแล้ว 5555555

จำเนียรกาลผ่านไปนั้นนานมาก
ความทรงจำกลับงอกรากอย่างแน่นหนา
ทุกเสี้ยววารทุกต้นไม้ในวัฒนา
ไม่ร้างราจากหัวใจไปได้เลย
เนื้อที่กว้างใหญ่โตโอฬารยิ่ง
ตึกอารามงามจริงดูผ่าเผย
ร้อยยี่สิบปีผ่านไปยังไม่เชย
ปานจะเย้ยยุคสมัยให้ได้อาย
ต้นไม้ใหญ่ทุกต้นยลแล้วชื่น
ความร่มรื่นยิ่งวันยิ่งแผ่ขยาย
ศาลาเล็กเด็กอนุบาลก่อกองทราย
เพลินไม่หายระหว่างรอพ่อแม่มา
อีกฝั่งหนึ่งดูเหมือนเป็นป่ารกชัฏ
ดูสงัดอึมครึมไม้แน่นหนา
เคยมีงูใหญ่ยาวถูกจับมา
วัดได้กว่าห้าเมตรตัวอ้วนพี
ตำนานเก่าเล่าเนื่องในเรื่องป่า
ได้ยินมามันส์ไม่แพ้เรื่องผีผี
บอกมีเสือมีช้างกวางก็มี
นานหลายปีกว่าจะรู้ว่านิทาน
กระไรเราเฝ้างมงายหลงเชื่อได้
ซ้ำยังไปต่อเรื่องยาวช่วยกล่าวขาน
ผีนักรบญี่ปุ่นอีกตำนาน
ยิ่งเล่าขานยิ่งต่อเติมยิ่งน่ากลัว
บรรยากาศช่างกระไรก็ให้ท่า
ท้าความกล้ายิ่งในคืนมืดสลัว
ไม่เคยคิดเดินคนเดียวด้วยใจกลัว
ดูช่างโง่เหมือนบัวใต้เลนตม
เพื่อนเพื่อนมีหกสิบคนแต่ละรุ่น
จึงอบอุ่นใกล้ชิดสนิทสนม
อีกคุณครูอยู่หอพักคอยอบรม
เหล่านี้บ่มรากสัมพันธ์อันยืนนาน
ทั้งรุ่นน้องรุ่นพี่ไมตรีจิต
ชั่วชีวิตมิตรสัมพันธ์คงสืบสาน
เพราะกินนอนเรียนเล่นกันมานาน
ก่อนเป็นฐานมั่นคงนักในไมตรี
ตึกนอนโล่งโปร่งปลอดมลภาวะ
ถึงแม้จะร้อนบ้างบางคืนนี่
ก็ผลัดกันฉัน-เธอคอยพัดวี
ยุงไม่มีมดก็ไม่มารบกวน
เพราะขนมนมเนยเป็นของห้าม
พกเข้ามาต้องถูกปรามถูกสอบสวน
พวกเครื่องทองของมีค่าเป็นขบวน
ทุกสิ่งล้วนห้ามนำเข้าเขตวัฒนา
จะเข้า-ออกมีบัตรแดงแสดงชื่อ
ผู้ปกครองเป็นผู้ถือผู้รักษา
จะรับบุตรต้องนำบัตรแดงมา
จึงพบหน้าลูกได้ดังใจจินต์
มีสระน้ำสนามบาสโรงยิมใหญ่
ส่งเสริมให้แข็งแรงแกร่งดังหิน
ทั้งคุณค่าของอาหารของการกิน
กำหนดสิ้นให้ครบหมู่ดูเวลา
เจ็ดโมงเช้าข้าวต้มย่อยง่ายง่าย
สิบโมงสายนมสดกล้วยน้ำว้า
เที่ยงกินข้าวกับสามอย่างตรงเวลา
สามโมงกว่าของว่างวางรอเรา
เป็นก๋วยเตี๋ยวสลับกับขนมปัง
คุณครูสั่งคนละหนึ่งห้ามโกงเขา
พอห้าโมงอาหารเย็นเสร็จจากเตา
อิ่มแล้วเข้าหยิบผลไม้แม่ให้มา
เด็กวัฒนาฯ มีเก่งอยู่อย่างหนึ่ง
ที่พาให้ใครเขาทึ่งกันถ้วนหน้า
คือก๋วยเตี๋ยวในถุงที่ถือมา
เปิดถุงอ้าป้อนเข้าปากน่าอัศจรรย์
ไม่มีช้อนก็ไม่เลอะหรือเปรอะเปื้อน
สักหมื่นแสนไม่แม้นเหมือนพวกเพื่อนฉัน
ไปถึงไหนเขาไถ่ถามถ้วนหน้ากัน
พรสวรรค์นี้ท่านได้แต่ใดมา?
ดนตรีการมีอยู่ทุกผู้ศิษย์
เพลงชาวคริสต์ทุกเช้าร้องสองภาษา
อีกคณะประสานเสียงวัฒนา
ทั่วนคราลือเลื่องกระเดื่องนาม
มีเปียโนตามแต่ใจใครสมัคร
หรือจะรักของไทยก็ไม่ห้าม
ตลอดจนนาฏศิลป์ระบิลนาม
เคยจัดรำหน้าพระพักตร์อยู่หลายปี
กฎระเบียบบังคับยุบยับหมด
กฎทุกกฎส่งคุณค่าสง่าศรี
หกโมงเช้าเจ้าระฆังดังทันที
ต่างกระวีกระวาดลุกรับตะวัน
เข้าอาบน้ำตามเวรครูกำหนด
เวลาหมดห้านาทีไม่ผิดผัน
หลังข้าวเช้าเข้าแถวทำเตียงพลัน
ผ้าคลุมนั้นต้องปูเรียบดูเฉียบดี
พอแปดโมงเคารพธงตรงกลางตึก
ปลุกใจคึกรักชาติรักศักดิ์ศรี
แล้วเดินแถวเข้าโบสถ์ฟังสิ่งดี
พระคัมภีร์ช่วยอบรมบ่มหัวใจ
เข้าห้องเรียนเพียรศึกษาวิชาหนึ่ง
สิบโมงถึงพักกินนมกล้วยมีให้
นมหนึ่งกล่องรองท้องกล้วยสองใบ
ส่งแรงให้ไปเรียนต่อสองวิชา
หนึ่งชั่วโมงพักเที่ยงเพียงพอแล้ว
อีกสามคาบคอยเป็นแถวหมั่นศึกษา
สี่โมงเย็นเป็นอิสระพักกายา
เล่นจนกว่านาฬิกาบอกทุ่มตรง
เป็นเวลาดูหนังสือคือการบ้าน
สะสางงานการบ้านพรุ่งนี้ส่ง
ประมาณหนึ่งถึงสองชั่วโมงตรง
วันหนึ่งหนึ่งจึงหมดลงตรงนิทรา
เหล่าคุณครูผู้ทรงคุณประเสริฐศักดิ์
เฝ้าดูแลด้วยความรักเป็นนักหนา
หากเจ็บไข้ได้ป่วยมีห้องยา
มีเมตตาจากคุณครูพยาบาล
ชีวิตในวัฒนาสมบูรณ์ยิ่ง
เพราะทุกสิ่งส่งคุณค่ามหาศาล
สร้างความคิดติดตรึงดวงใจนาน
พึงทำงานเพื่อผู้อื่นจักชื่นใจ
อันความรักรู้แบ่งปันใช่วรรณะ
ดำรงตนสมถะใช่ยิ่งใหญ่
รู้คุณค่าสิ่งทั้งปวงเต็มดวงใจ
วัฒนาสอนให้ใฝ่ใจจำ
เรื่องเวลาเงินทองต้องมัธยัสถ์
รู้จัดสรรไม่ประมาทไม่ถลำ
เพื่อส่วนรวมรู้เสียสละเป็นประจำ
ชื่อเสียงทำนำสู่รั้ววัฒนา
กตัญญูรู้คุณคือเรื่องใหญ่
ทางใดมีตอบแทนได้ทำเถิดหนา
คนละมือสร้างสรรค์โลกให้โสภา
จึงเรียกว่า”ศิษย์วัฒนา” เต็มภาคภูมิ.

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อีกครั้งกับพี่เก็จ@ตลาดเก่า

จะกี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อ....
และแล้วก็ได้ไปท่องตลาดเก่าอีกครั้งกับพี่เก็จผู้น่ารัก เพื่อน ๆ หลายคนแปลกใจว่าทำไมพักนี้ฉันไปไหนมาไหนกับพี่เก็จบ่อย? คำตอบแรกคือเราสองคนว่างงาน 55555555 ส่วนอีกคำตอบคือฉัน enjoy being with พี่เก็จ อยู่กับพี่เก็จแล้วฉันรู้สึกสบาย ๆ 5555555 ที่จริงอยู่กับใครฉันก็สบาย ๆ แทบทั้งนั้นแหละ 5555555 แล้วจะพูดทำไมล่ะนั่น ก็...555555555
มีอยู่  2 อย่างที่ฉันชอบเป็นพิเศษเกี่ยวกับพี่เก็จคือฉันสามารถถ่ายรูปพี่เก็จได้มากเท่าที่ใจต้องการโดยที่ไม่ต้องรอนางแบบแต่งตัวให้สวย ๆ ไม่ต้องรอโพสต์ท่าสวย ๆ เพราะสวยอยู่แล้ว ทำไงก็สวย 5555555555  อย่างที่ 2 คือ...ฉันชอบฟังเสียงแกรนด์เปียโนที่พี่เก็จเล่นให้ฟังมาก ๆ ๆ ถึงมากที่สุด  คนอื่นเล่นให้ฟังก็คงไม่เพราะเท่าพี่เก็จเล่น  คงเป็นเพราะเสียงเปียโนของพี่เก็จมันอบอุ่น มันเป็นเสียงที่ปรานีกว่าเสียงเปียโนทั่วไป
วันนี้ก่อนตะลุย ฉันได้เข้าคอร์สออกกำลังกายกับพี่เก็จด้วย ฟิตร่างกายเพื่อจะได้ไปแบกของกิน 5555555 ปกติเวลามาบ้านพี่เก็จจะได้เห็นพี่เก็จออกกำลังทุกครั้ง เห็นมาเป็นสิบ ๆ หน เพิ่งทำตามแบบค่อนข้างจริงจังหนนี้หนแรก ข้างพี่เก็จเห็นน้องสนใจ ก็กระตือรือร้นคอยกำกับลมหายใจ และท่าของฉันจนลืมท่าของตัวเอง มีงง ๆ ไปว่าถึงไหนแล้วหว่า สมาธิกระเซ็นเล็กน้อย แต่ฉันก็คือฉัน...ออกกำลังไปพอเรียกเหงื่อซึม ๆ นิดหน่อยก็หยุด กลับมาคุย มาถ่ายรูปพี่เก็จต่อดีกว่า อ้างว่าเดี๋ยวหมดแรงก่อนไปเยาวราช
ครบคอร์สออกกำลังแล้ว พี่เก็จก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวออกไปตะลอน ฉันเอาเข็มกลัดลูกไม้ที่พี่เจนทำไว้ให้พี่เก็จวันก่อนมาให้ พี่เก็จก็ตั้งใจจะติด แต่ค้นตู้เสื้อผ้า หาชุดที่เข้ากับเข็มกลัดไม่ได้ ดูท่าพี่เจนจะต้องให้เสื้อที่เข้ากับเข็มกลัดกับน้องเก็จด้วยซะละมั้งเนี่ย 55555555 แต่งตัวเสร็จ ฉันบอกพี่เก็จทาปากหน่อยซิ พี่เก็จบอกไม่เอา ขี้เกียจ....ถ้าไปเจอคนอื่น ๆ เยอะ ๆ ถึงจะแต่งหน้าทาปาก แต่ไปกับอ่องไม่ต้องสวย 55555555....ไหงงั้นล่ะคะพี่เก็จ อ่องก็ชอบดูคนสวย ๆ นะค้า
ตอนแรกฉันบอกพี่เก็จว่าเราน่าจะนั่งรถเมล์จากห้วยขวางไปเยาวราชเลยนะ พี่เก็จบอกว่ารถติด ไปรถใต้ดินแหละดีแล้ว วันนี้อากาศค่อนข้างร้อน ขนาดอยู่ในสถานีติดแอร์ พี่เก็จยังยืนโบกพัดเลย ส่วนฉันเหรอ?...ก็สนุกกับการถ่ายรูป 55555 ไม่รู้พี่เก็จจะสนุกด้วยหรือเปล่า แต่ที่รู้ ๆ น่ะใจดี บอกให้ทำท่าอะไรยังไง ก็ทำตามทู้กช็อต แถมเป็นคนที่ถ่ายรูปขึ้นกล้องอย่างร้าย เขียนมาถึงตรงนี้นึกได้ถึงรูปนึงใน FB รู้สึกจะอัลบั้มงานแฟร์ของพี่จ๋อ ที่พี่เก็จทำหน้างอ ๆ ฉันไปเม้นว่าพี่เก็จโกรธใคร? พี่เก็จเม้นกลับมาว่าเปล่าโกรธ แค่...แก่...5555555555 ตอนที่อ่านนี่หัวเราะก๊ากเลย ตอนนี้นั่งนึกถึงตอนนั้นก็ยังขำอยู่ค่ะ เห็นหรือยังคะว่าทำไมฉันถึง enjoy being with her?
พอขึ้นรถไฟ ฉันอยากได้รูปพี่เก็จในรถไฟ แต่พี่เก็จบอกให้ถ่ายตอนสถานีปลาย ๆ คนจะน้อยหน่อย เดี๋ยวติดคนอื่นจะเป็นการละเมิดสิทธิ์เขา ระหว่างนั่งรถใต้ดิน เราไม่ค่อยคุยกัน จริง ๆ เวลาใครไปไหน ๆ กับฉันในรถ-เรือก็ไม่อยากคุยกับฉันเท่าไร เพราะคอจะอักเสบเอา จากห้วยขวางไปหัวลำโพงก็หลายนาทีอยู่ พี่เก็จก็นั่งหมุนคอบริหารไปเรื่อย ส่วนฉันก็...ถ่ายรูปไป 55555555 รอจังหวะที่พี่เก็จหมุนมาทางฉัน ดูแล้วเหมือนเจตนาถ่ายท่าหัวชนกัน แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
พอถึงสามย่านแล้ว ฉันก็บอกพี่เก็จให้ยืนพิงเสา จะได้ถ่ายรูป ..... ดู ๆ ไป ฉันนี่น่ารำคาญเหมือนกันนะ 555555 แก่บงการผู้คนจริง ๆ เลย และก็เป็นบุญที่พี่ ๆ เพื่อน ๆ ไม่มีใครถือสา ส่วนใหญ่ก็มักให้ความร่วมมือดีอีกต่างหาก อยากระลึกชาติได้ จะได้ตรวจดูว่าชาติที่แล้วทำบุญไว้ด้วยอะไร
พอขึ้นมาถึงถนน ฉันบอกพี่เก็จเรานั่งรถเมล์กันเถอะ รถติดแบบนี้ค่าเท่ากัน แล้วมันก็ใกล้ ๆ แล้วด้วย เงินค่าแท็กซี่เอาไปกินอาหารอร่อย ๆ ได้คนละครึ่งจานนะคะ พี่เก็จก็โอเค นั่งก็นั่ง (วะ) 5555555 เราก็นั่งรถสาย 40 ต้นสายเลย แต่ไม่ได้นั่งติดกัน เพราะคนเต็ม ระหว่างที่รถติดอยู่บนเยาวราช สายตาพี่เก็จก็ไปปะกับร้านขายก๋วยจั๊บ กระเพาะเคาะท้องโครม ๆ ...หนูจากินก๋วยจั๊บ ๆ ..... แต่รถไม่ยอมจอด เพราะยังไม่ถึงป้าย 5555555 พอลงจากรถ สองคนพี่น้องก็เดินย้อนกลับมา ซิกแซกผ่านฝูงชนท่ามกลางอุณหภูมิที่สูง และแสงแดดที่เจิดจ้าเป็นพิเศษในวันนี้ ผู้คนหนาแน่น โดยเฉพาะหน้าร้านฮั่วเซ่งเฮงยังกะเขากำลังแจกทองฟรี เข้าแถวทบไปมาหลายตลบ นึกถึงคิวที่ expo shanghai เลย....
ไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยหรืออร่อย พี่เก็จกินหมดเกลี้ยงในเวลาที่ฉันเพิ่งไปได้ครึ่งชาม พี่เก็จบอกว่า...อ่องไม่ต้องรีบกิน แต่พี่จะไปนั่งจองโต๊ะกินขนมก่อนนะ....ขนมกับข้าวมันคนละเจ้าค่ะ เขาไม่ถูกกัน ถึงจะอยู่ติดกันแต่สั่งมากินไม่ได้ ว่าแล้วพี่เก็จก็ลุกไปสั่งขนม แล้วไปจองโต๊ะรอ มันก็ไม่ได้ไกลกันหรอกค่ะ แค่ 3-4 เมตร ฉันก็เลยต้องรีบกิน เพราะฉันก็จะกินขนมเหมือนกัน อาหารร้อน ๆ ฉันไม่ถนัดที่จะกินเร็ว ๆ เท่าไร กว่าจะหมดก็แทบแย่เหมือนกัน ขนมเต้าส่วนร้านนี้อร่อยค่ะ มีชื่อมานานแล้ว กินเสร็จพี่เก็จก็ซื้อกลับไปฝากสามีและลูกที่บ้านด้วย ขนมร้อน ๆ 3 ถุงมั้งถูกหย่อนลงในกระเป๋าผ้าที่เตรียมไปเป็นรายการแรก
เราเดินออกจากร้านพร้อมกระเพาะที่มีความสุข ตอนนี้พี่เก็จอยากแวะชมสินค้าร้านวีรสุสักหน่อย เมื่อกี้เห็นแว่บ ๆ แต่ตอนนี้มันอยู่ตรงไหนเนี่ย เดินไปจนจะถึงสี่แยกราชวงศ์อยู่แล้ว คนไทยเกิน 1 ล้านคนมั่นใจว่าเดินเลยมาแล้ว...เราสองคนต้องเดินย้อนกลับ คราวนี้ค่อย ๆ เดินแบบสแกนและสกรีน ปุ้ดโธ่..มันอยู่ถัดจากร้านที่เรานั่งกินข้าวแค่ 2 คูหาเอง เดินเลยไปซะหวิดถึงพาหุรัด กระเพาะที่มีความสุขตะกี้กึ่ง ๆ จะร้องทุกข์แล้ว อากาศก็ร้อน เราเลยเดินเอาแอร์กันสักหน่อย สะสมความเย็นไว้ในร่างกายได้พอประมาณแล้ว ก็พร้อมไปต่อ
เราข้ามถนนไปที่ร้านข้าวต้มเป็ดถนนแปลงนาม เพราะพี่เก็จตั้งใจจะมากิน แต่ตอนนี้ค่อนข้างอิ่ม ก็เลยซื้อกลับบ้านดีกว่า ข้าวต้มเป็ดกับน้ำซุปร้อน ๆ ถูกหย่อนลงในกระเป๋า ถ้าวางบนตาชั่ง เข็มก็กระดิกไปราว 1 กก.ได้มั้งคะตอนนี้ ยังสิว ๆ ชิล ๆ ค่ะ ก่อนออกมาฟิตร่างกายอย่างดีเพื่อการนี้โดยเฉพาะอยู่แล้ว พี่เก็จอยากได้กุนเชียงไปฝากพี่เจน และก็หมูตั้งที่เคยซื้อครั้งก่อน เชื่อไหมคะพี่เก็จ อ่องยังไม่ได้ชิมเลยไอ้หมูไม่ยอมนอนเนี่ย ครั้งก่อนซื้อกลับบ้าน...ก็มีจังหวะต้องให้คนอื่นไป วันนี้ก็ซื้อกุนเชียงหมู หมูตั้ง และก็กุนเชียงเป็ด (ไม่แน่ใจว่าฟังผิดหรือเปล่า) ทีนี้น้ำหนักเพิ่มขึ้นจนรู้สึกได้ แต่ก็ยังสบาย ๆ ~~ถูกใจก็ซื้อกันไป~~
ทีนี้ก็เดินเข้าตลาดเก่าละ เดินมาได้นิดหนึ่ง
พี่เก็จสะกิด... - อ่องมาถูกป่ะ พี่ว่ามันไม่ใช่นะ..
ฉันมองตลาด – ใช่ซิพี่ ทำไมจะไม่ใช่
พี่เก็จ – แต่พี่ว่าคราวก่อนมาน่ะ พื้นมันแฉะ ๆ นะ  (ตอนนี้มันแห้ง ดูสะอาดเกินไป)
ฉัน – 555555555 พี่เก็จ!!! ก็ตอนนั้นที่มาน่ะ ฝนมันตกอ่ะ....มันแฉะทั้งเยาวราชแหละค่ะ 555555555
พี่เก็จ – 5555 แน่ใจนะ
ฉันทำหน้าขึงขัง – เชื่ออ่องซิ เจ้าแม่เยาวราช อันนี้น่ะตลาดเก่าแน่นอนล้านปูเซ็ง
จะเป็นเพราะวันนี้อากาศร้อน หรือพี่เก็จเดินแบบไม่ชัวร์ว่าตลาดเดียวกับครั้งก่อน หรือว่าเราอิ่มกันเกินไป เหนื่อยเกินไป (เพราะเดินหาวีรสุตะกี้) หรือเพราะไม่ใช่ครั้งแรก ความสนุกจึงลดลง แต่ฉันก็ซื้อขนมน้ำวุ้น 1 ช่อ (น่าจะประมาณ 1 กก.) กูช่ายก้วยสีชมพูอันใหญ่ ๆ 6 อัน ไช่เท้าก้วย 2 ถ้วย และเกาลัดอีก 1 กก. ถึงตอนนี้ของล้นถุงแล้วค่ะ พี่เก็จต้องเอาถุงของพี่เก็จออกมาช่วยระบาย เพราะไหล่ฉันเอียงไปแล้ว 1 ข้าง 5555555
พี่เก็จชวนไปกินลอดช่องสิงคโปร์ตรงป้ายรถเมล์ ครั้งก่อนแอบหมายตาไว้ล่ะซิ ฉันก็...ยังไงก็ได้ พี่เก็จบอกว่าจะช่วยระบายของเพิ่ม แต่ฉันปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้พี่เก็จถือของหนัก ๆ เนื่องจากสุขภาพหลังพี่เก็จมีปัญหา เดิน ๆ มาถึงแยกพลับพลาไชยเจอน้อยหน่าของโปรด .... ซื้อ 2 กิโลเลย โอ้...ยังแบกกันไม่พอใช่ไหม? 55555555  ก็พี่เก็จน่ะ เวลาเดินเจออะไร ไอ้นี่อั๊บชอบ ไอ้นั่นก็อั๊บชอบ ฟังแล้วน้อยใจแทนหนุ่มปองเหลือเกิน ฉันเลยซื้อน้อยหน่าปองชอบไปฝากปอง 1 ถุง 
พี่เก็จบอกว่าจะช่วยถือก็แบ่งให้นิดหน่อย แล้วแบกที่เหลือเดินเอียงซ้ายเอียงขวา เริ่มบ่นแล้วว่าหนักชิบ..พี่เก็จให้กำลังใจว่า “สมน้ำหน้า”  ก็ขนซื้อซะอย่างกับตลาดเก่าจะเลิกกิจการวันพรุ่งนี้งั้นแหละ จะช่วยหิ้วก็ไม่ให้....แบกให้มีความสุขไปแล้วกัน
กว่าจะถึงบ้าน แทบสลบ 55555555 แต่ก็น่ะ พอถึงบ้านแล้วก็กระปรี้กระเปร่าแล้ว พี่เก็จขึ้นไปเปลี่ยนชุด ระหว่างนี้ฉันก็สำรวจ และแยกประเภทสินค้า อันไหนเอากลับบ้าน อันไหนของพี่เก็จ แล้วก็อันไหนที่จะกินเดี๋ยวนี้...ไช่เท้าก้วยไง....ทอดไช่เท้าก้วย 2 ก้อน พี่เก็จกินครึ่งก้อน ที่เหลือเทลงท้องฉันหมด งานนี้สำนึกเสียใจเล็กน้อย เพราะตอนทอดนี่ น้ำมันมันกระเด็นเซ็นซ่านไปล้านแปดทิศ สรุปพี่เก็จต้องล้างกระทะ ล้างเตา เช็ดถูพื้น...ขอโต๊ดค่า สัญญาว่า...ต่อไปจะไม่ซื้อเจ้าก้วยนี้มาทอดกินที่บ้านพี่อีกแล้ว ไม่ได้ตั้งใจเพิ่มภาระให้พี่เล้ย
ทำความสะอาดเสร็จพี่เก็จก็ไปนอนก่ายหน้าผากชาร์จแบตตารี่ 55555555 แต่มันเย็นเกินกว่าที่จะนอนกลางวัน พี่เก็จหลับตาแป๊บนึงก็ลุกขึ้น ไปเล่นเปียโนให้อ่องฟังดีกว่า....ฉันบอกด้วยความเกรงใจว่าไม่ต้องก็ได้ค่ะ วันนี้พี่เหนื่อยแล้ว พี่เก็จบอกว่าไม่เป็นไร ฉันตบมือด้วยความลิงโลดดีใจ 555555555 ก็น่ะ คิดถึงเสียงแกรนด์เปียโน ไม่ได้ฟังมาตั้งนานแล้ว – 1 อาทิตย์...555555555
พี่เก็จเล่นเพลงลาวดวงเดือนให้ฟังเป็นเพลงแรก เพราะตอนนี้ฉันกำลังฮิต 555555555 เล่นไปรอบที่ 5 พี่เก็จบอกตอนเล่นว่า...ไว้เอาเทปมาอัดด้วยนะ (ฉันเบื่อจะตายแล้วเพลงนี้) แต่ก็ยังเล่นให้ฟังอีกหลายรอบ กะให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ไม่คนเล่น ก็คนฟังแหละ มีอีกเพลงหนึ่งที่ฉันก็ชอบมาก แต่ไม่กล้าขอให้พี่เก็จเล่น เนื่องจากพอพี่เก็จเล่นเพลเขมรไทรโยค พี่เก็จจะร้องไห้คิดถึงคุณแม่พี่เก็จ เนื่องจากเป็นเพลงโปรดของท่าน วันนี้พี่เก็จเล่นให้ฟังค่ะ ตอนนี้คงเข้าใจแล้วนะคะว่าทำไมฉันจึงบอกว่าเสียงเปียโนของพี่เก็จมันอบอุ่น มันเป็นเสียงที่ปรานีกว่าเสียงเปียโนทั่วไป?

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

To sir with love

แด่มิสเตอร์กร๊อสส์ด้วยดวงใจ
เมื่อทราบข่าวการจากไปของมิสเตอร์กร๊อสส์ เพื่อน ๆ ก็ได้ FB มาขอให้ฉันเขียนอะไรถึงครูฝรั่งท่านนี้หน่อย ซึ่งฉันก็ได้สารภาพกับเพื่อนไปตามตรงว่า...ฉันไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับมิสเตอร์กร๊อสส์มากพอที่จะนำมาเขียน ขอให้เพื่อน ๆ ช่วยกันเล่า แล้วฉันจะเป็นผู้เรียบเรียงขึ้นมาเอง แต่ในวันรุ่งขึ้นก็มีบทความ..In memory of Mr.Gross ส่งตรงมาจากดี้ นัดถา ณ แคนนาดา ซึ่งฉันได้อ่านแล้วรู้สึกประทับใจจนต้องขอเจ้าของเรื่องนำมาเก็บไว้ใน Blog ส่วนตัวของฉันเพื่อเผยแพร่ภาพดี ๆ ของสายสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ๆ รุ่น 105 กับครูฝรั่งท่านหนึ่ง
ไม่เพียงแค่นั้น ฉันยังเกิดความรู้สึกว่า...อยากให้มิสเตอร์กร๊อสส์ และผู้ที่รู้จักมิสเตอร์กร๊อสส์ได้รับฟังบทความนี้ เพราะมันเป็นความทรงจำที่สามารถทำให้เราได้ยิ้มทั้งน้ำตา ได้รำลึกถึงสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในรั้ววัฒนา...looking back in years gone by ..ฉันจึงอยากให้มีการนำบทความนี้ไปอ่านในงานศพของท่าน งานที่ไม่มีใครรู้ว่าจัดที่ไหน เมื่อไร และอย่างไร แหล่งข้อมูลที่ฉันคิดออกเป็นที่แรกคือ..facebook ทันทีที่โพสต์ออกไป ก็มีพี่ ๆ หลายคนหลายรุ่นทั้งที่รู้จัก และไม่รู้จักมิสเตอร์กร๊อสส์เข้ามาเสนอตัวว่าจะช่วยหาคำตอบให้ แต่ก็ไม่มีใครสามารถหาให้ได้ จนฉันปลง และบอกเพื่อน ๆ ไปว่า...เรามาน้อมส่งใจรำลึกถึงท่านก็แล้วกันนะ
แต่เดี๋ยวก่อน...ฉันยังมีตัวช่วยพิเศษสุดนามว่าพี่เจน พี่สาวสุโค่ยของฉัน..5555555..ทีแรกพี่เจนได้สอบถามไปทั้งโบสถ์วัฒนา โบสถ์สามย่าน ก็ยังไม่มีคำตอบว่างานจัดที่ไหน จนฉันถอดใจไปแล้ว ..แต่พอตอนเย็นวันอาทิตย์ พี่เจนก็เข้ามาโพสต์ใน FB ฉันว่า the service for Mr. will be at Christ Church of Thailand สภาคริสตจักร สะพานหัวช้าง naja on Monday and Tuesday ja.  ไม่เพียงแต่บอกข่าว ยังแนะนำว่าแถวนั้นตอนเย็นรถติด ควรไป BTS แล้วเดินไป หรือถ้าเอารถไป ก็สามารถไปจอดได้ที่โรงแรมเอเซีย
แล้วพวกเราก็นัดหมายกันทันทีใน fb น่าขอบคุณผู้ก่อตั้งเวบนี้จริง ๆ แม้เวลาจะกระชั้นชิด ก็สามารถหาตัวแทนรุ่นได้ทั้ง 105 และ 106 ถึงจะไม่ได้มากมาย แต่พวกเราหลายคนก็มาด้วยใจ สำหรับฉัน ตอนแรกนิตยาบอกว่าจะมารับ 6 โมงเย็น แต่ด้วยความที่ฉันอยากเมคชัวร์ให้มีการอ่านบทความของดี้ ฉันจึงอยากไปถึงก่อนเวลาเล็กน้อย แต่นิดบอกว่าไม่สะดวกที่จะมารับเร็วกว่านั้น ป๊ากมาไม่ได้เพราะไม่มีรถใช้ 2 วัน ฉันจึงตัดสินใจว่าจะไปเอง ก็นั่งรถเมล์สาย 11 จากบ้านตั้งแต่บ่าย 4 โมง (งานเริ่ม 19.30 น.) 55555555 ก็ฝนมันตกมาหลายเย็นติดกันนิ กลัวว่าฝนจะตกถ้าออก 5-6 โมง รถก็จะติดสาหัส เดี๋ยวจะเสียงาน ปรากฏว่ารถเมล์ก็โล่ง เลือกนั่งได้ตามอัธยาศัย และถนนก็โล่งผิดปกติ สงสัยมิสเตอร์กร๊อสส์เคลียร์ทางให้ 555555 ฉันสามารถมาจากอ่อนนุชถึงสภาคริสตจักรแห่งประเทศไทยได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง...
โอ้ว..นี่ฉันจะมาเร็วไปไหมเนี่ยะ?? แล้วนพพรจะทำอะไรดีเนี่ยะ 55555 จะเดินเข้าไปในสภาตั้งแต่ยังไม่ 16.30 น.เหรอ? ไม่ไหวมั้ง 555555 ยืนคิดอยู่ตรงหน้าวังสระปทุม 5 นาทีได้มั้ง จึงได้บทสรุปว่าเดินไปเที่ยวสยามสแควร์ดีกว่า ว่าแล้วก็เดินไปซื้อขนมครกใบเตยเจ้าโปรดกิน ขนาดเดินช้า ๆ (แถมหลงอีก เพราะดันหาร้านไม่เจอ ต้องเดินแบบสกรีนทั้งสยามสแควร์ 55555) กินช้า ๆ เดินดูนั่นดูนี่โอ้เอ้ถ่วงเวลาแล้วยังกลับมาที่หน้าสภาก่อนหกโมงเลย 55555555 ได้ยืนรับเสด็จพระเทพด้วย เนื่องจากเดินมาถึงตรงข้ามประตูวังได้เวลาท่านเสด็จกลับพอดีค่ะ
มาถึงสภาก็เดินเข้าไปแบบงง ๆ 555555 เพราะว่ามาถึงเร็วเหลือเกิน เห็นว่าถนนก็โล่ง ที่จอดรถก็เยอะดี ถามรปภ.แล้วเขาบอกว่าสามารถเอารถมาจอดได้ แต่ไม่ได้เอามือถือมา เลยแจ้งเพื่อน ๆ ไม่ได้ ก็ขึ้นไปชั้น 5 เป็นห้องอาหารค่ะ เข้าไปถึงคนนั่งกันหลายสิบคน กำลังกินข้าวกัน ทันทีที่ฉันโผล่หน้ามา ทุกคนก็หันมาดู แล้วหันกลับไปกินข้าวต่อ -__-“  ฉันพยายามเพ่งสายตามองไปทั่ว ๆ ห้อง เผื่อจะเจอคนที่รู้จักมั่ง
คนรู้จักไม่มีซักคน แล้วงานจัดตรงไหนก็ไม่รู้ เลยตัดสินใจถามคนหนึ่งที่ลุกมาเติมอาหาร ถึงได้รู้ว่างานจัดที่ชั้น 4 ก็เลยเดินลงไป เจอฝรั่งคนหนึ่ง กับคนไทยอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าประตูห้องพิธี มีรูปมิสเตอร์กร๊อสส์ตั้งอยู่ แสดงว่ามาถูกที่แน่นอน  ฉันก็เลยตรงไปถามหาศาสนาจารย์ ไม่รู้ว่าเรียกถูกหรือเปล่า เพราะตอนที่ถามไป คนไทยทำหน้างงเล็กน้อย 5555 ฉันก็เลยถามฝรั่งแทน ประโยคแรกเลย.. “Do you speak Thai?” 55555555 ฉันว่าถ้าวิญญาณมิสเตอร์กร๊อสส์นั่งอยู่แถวนั้น คงส่ายหน้า...เฮ้อ อุตส่าห์สอนมาตั้ง 3 ปีแต่เธอเล่นมาถึงก็ถามฝรั่งว่าพูดไทยได้ไหมเนี่ยะนะ 5555555
อย่างไรก็ตามฉันก็ได้แจ้งความจำนงไปค่ะว่าอยากจะขอให้มีการอ่านบทความไว้อาลัยของเพื่อนในงานค่ำนี้ ซึ่งตอนแรกศาสนาจารย์ก็บอกว่า..วันนี้ส่วนใหญ่ที่มาเป็นคนไทย บทความนี้น่าจะเก็บไว้อ่านอีกวัน (วันไหนก็จำไม่ได้แล้วค่ะ 555555) ที่มีคนต่างชาติเยอะกว่าวันนี้ แต่ฉันปฏิเสธและขอร้องให้มีการอ่านวันนี้ (ก็ไม่รู้ว่าคุณผึ้งจะมาได้อีกเมื่อไร จะขึ้นไปอ่านเองก็น่ะ กลัวโพเดี้ยม 555555) ท่านก็เลยตอบตกลง พร้อมกับขอชื่อคนที่จะขึ้นมาอ่าน ฉันก็ให้ชื่อดร.ฤทัยวรรณ โต๊ะทองไป  เมื่อทุกอย่างตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ยังเหลือเวลาอีกเยอะเลย 5555555 เดินไปรอเพื่อนที่ bts ดีกว่า
เดินไปถึงหน้าโรงแรมเอเชีย ...กรรมล่ะ ทางลงมันเยอะเหลือเกิน มือถือก็ไม่ได้พกมา แล้วจะยืนรอตรงไหนล่ะเนี่ยะ กลับไปรอที่สภาตามเดิม เดินเยอะชักหิวแล้ว 55555555 คราวนี้ไปที่ห้องอาหารพบครูวรรณดีกับครูสาลินีนั่งรับประทานอาหารอยู่ ดีเอ๋ยดีใจ รีบตรงไปสวัสดีครูแล้วตักข้าวมากินทันที ระหว่างกินข้าวก็คุยกับครูไปด้วย ไม่รู้จะคุยอะไรเลยเล่าเรื่องของดี้ให้ครูฟัง ขออำภัยที่เอาเพื่อนมาขายนะจ๊ะ เรื่องมีอยู่ว่า...
นพพร -ครูรู้ใช่ไหมคะว่า...กิริยา 3 ช่องของคำว่า dig ว่ายังไง
ครูวรรณดี -อืมม์รู้..
นพพร –ว่า.... (5555555 ไม่เชื่อว่าครูรู้จริง????)
ครูวรรณดีและครูสาลินี ตอบพร้อมกันเลยค่ะงานนี้...ว่า –dig dug dug
นพพร –ถูกต้องค่ะ เพื่อนหนู ดี้นัฐาน่ะค่ะ ครูจำได้ไหมคะ
ครูวรรณดี –จำได้
นพพร –เขาตอบว่า dig dug dag ค่ะ
ครูวรรณดีและครูสาลินี -555555
นพพร –แล้วครูผินก็เรียกดี้เข้ามาถามว่า...เธอจะแด๊กอะไรยะ?
คราวนี้ครูวรรณดีกับครูสาลินีหัวเราะดังลั่นเลย 55555555 ยังไม่ทันได้ขายเรื่องอื่น ๆ อีก รุ่นน้อง ๆ 107 ก็เดินเข้ามา เลยยุติการขายด้วยประการฉะนี้ 55555555 แต่ฉันเริ่มเครียดนิดหน่อย เพราะยังไม่เห็นเพื่อนเลยสักคน ไม่ว่าจะ 105 หรือ 106แล้วใครจะขึ้นไปอ่านล่ะเนี่ยะ
แต่โชคดีที่เจอผึ้งและเพื่อน ๆ ตอนลงไปชั้น 4 เฮ้อโล่งไปที  ฉันเสนอไอเดียผึ้งกับน้องว่า..ตอนที่อ่านถึงท่อนเพลง daisy ให้น้องเป็นคนร้องนะ น้องพูดสั้น ๆ ว่า “ตลก” แต่ฉันก็ยังแย้งไปว่า....ดีกว่าอ่านบทเพลงเป็นคำพูดนะ นึกซะว่าร้องให้มิสเตอร์กร๊อสส์และฉันผู้ไม่เคยฟังเพลงนี้ได้ฟังก็แล้วกัน แต่น้องก็เงียบ เล่นเอาฉันเซ็งเล็ก ๆ
ระหว่างนั่งรอคิว ผึ้งก็นั่งอ่านโพยไปเงียบ ๆ เป็นระยะ ๆ จนฉันแซวว่าจะท่องจำไปปากเปล่าเหรอไง หารู้ไม่ว่าเลยว่าผึ้งได้ทำการ modify ในใจ และผึ้งก็ทำได้ดีมากเสียด้วย ฉันขึ้นไปเก็บรูปผึ้ง จึงได้เห็นสีหน้าคนทั้งห้อง ทุกคนตั้งใจฟังด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง และที่เซอร์ไพร้ส์ที่สุดคือผึ้งได้เรียก 105-107 ขึ้นไปร้องเพลง daisy !   โอ้ดร.ผึ้ง...หล่อนแน่มาก 55555555 แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นการประกาศที่ทุกคนไม่รู้ตัวมาก่อน ทุกคนก็ทยอยกันเดินไปด้านหน้า ที่ฉันประทับใจคือครูสาลินีก็ไปร่วมร้องด้วยค่ะ
ทันทีที่พิธีเสร็จ ก็มีคนเข้ามาพูดคุยกับดร.ผึ้งของพวกเราผู้โด่งดังในชั่วพริบตาเลยค่ะ ผึ้งบอกว่ามีคนมาขอไฟล์บทความของดี้ด้วย งานนี้ทั้งผึ้งทั้งดี้แจ้งเกิด ฉันก็พลอยได้หน้าเพราะเป็นคนที่มาขอคิว ทำน้อยที่สุด แต่ได้หน้ามากสุดอีกแล้วนพพร 555555 อยากให้ทุกคนได้เข้าไปดู คลิปกันค่ะ ที่นี่ค่ะ
ต้องขอบคุณน้องปัด กฤตยา ล่ำซำที่บันทึกวิดีโอนี้ไว้ให้พี่ ๆ มันเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่พวกเราได้ทำสิ่งเล็ก ๆ ง่าย ๆ แต่งดงามเพราะความกตัญญู มันจะเป็นหนึ่งในความทรงจำน่าประทับใจร่วมกันของเราหลาย ๆ คน
งานวันอังคารฉันไม่ได้ไป แต่วันพุธซึ่งเป็นวันเผา ฉันได้ไปพร้อมกับนิดสุ 105 น้องปุ้ม 109 และเพื่อน ๆ 106 หลายคน สองวันที่ฉันไป มันทำให้ฉันเชื่ออยู่อย่างหนึ่งถึงแม้จะจดจำสิ่งที่มิสเตอร์กร๊อสส์สอนไม่ได้ เพราะไม่ได้ก่อวีรกรรมเหมือนเพื่อน ๆ บางคนโดยเฉพาะรุ่น 105 ก็ได้ยินมาว่าเยอะอยู่ 555555 แต่ฉันเชื่อว่า “ตาก๊อก”** เป็นที่เคารพของเพื่อน ๆ ในวันนี้ เป็นที่ระลึกถึงด้วยความสำนึกเสียใจที่เคยสร้างปัญหาให้ และด้วยความขอบคุณที่ครูได้อดทน อดกลั้น และทุ่มเทสติปัญญาในการสอน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะให้ความรู้กับพวกเราอย่างเต็มที่ ฉันเชื่อว่าท่านเป็นครูคนหนึ่งที่มีจิตวิญญาณของความเป็นครูอยู่เต็มเปี่ยม

เหนืออื่นใด มิสเตอร์กร๊อสส์ช่วยยืนยันความเชื่อของฉันอีกเรื่องหนึ่ง...ความดีนั้น หากทำออกมาจากใจ ไม่มีทางสูญหายไปไหน วันหนึ่งต้องมีคนมองเห็นแน่นอน
Once again, thank you very much, Mr.Gross for what you had done for all of us. Please rest in peace.

**ขอชี้แจงค่ะ เนื่องจากมีผู้ติงมา...การที่ใช้ฉายา "ตาก๊อก" ที่พวกเราเคยเรียกท่านตอนเด็ก ๆ นั้น ไม่ได้เป็นการล้อเลียน แต่เพื่อให้บทความมีความสมบูรณ์ในการเชื่อมใจลูกศิษย์กับมิสเตอร์กร๊อสส์ เพื่อให้ความทรงจำที่เคยคุ้นกลับมาในขณะที่ทุกคนกำลังอ่านค่ะ ในวันเก่า ๆ นั้นเด็ก ๆ เรียกด้วยความคะนองไปตามวัย แต่ในวันนี้หัวใจเราทุกคนมีแต่ความเคารพมอบให้ มิเช่นนั้นแล้ว บทความนี้คงไม่เกิดขึ้นค่ะ**

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

In Memory of Mr.Gross

เป็นครั้งแรกที่ฉันนำผลงานของเพื่อนมาเก็บไว้ในบล็อกส่วนตัว เพราะเป็นผลงานที่ดีเกินกว่าจะปล่อยให้หายไปกับกาลเวลา ใครอยากจะชื่นชมผลงานนี้ ก็ขอให้ส่งตรงไปที่คุณดี้เธอเองเลยนะคะ


Among the many strengths Wattana has is English. The reason for this is that our school has had good English teachers, both Thais and foreigners. And Mr. Gross was certainly one of them.

Mr. Gross came from Australia. He was quite a short guy for a farang (ฝรั่ง) -- a little stout, and looking like a typical conservative English teacher with spectacles. He always wore a white short-sleeved shirt, tucked nicely into his trousers, a leather belt, dusty leather shoes with shoe laces, and he carried a heavy, old-looking brown leather satchel that was never closed properly. Wow! So many details, what a memory I have! Well, because that was his uniform; he wore the same clothes every day when he came to class. Back then, I probably paid attention to everything about him except his lessons.

If I remember correctly, Mr. Gross taught us from grade 7-12 (ป.7-ม.ศ.5). I don’t think Mr. Gross could speak Thai, so his lessons were all in English. I’ve never been a studious student, ever since I was little. Rather, I was quite a nuisance. I often talked during class, but Mr. Gross was quite patient and often gave me warnings to be quiet. However, one day he reached his limit. He looked at me, pointed to the door and clearly spelled out, “O-U-T”. I was puzzled for a second and didn’t move. After all, I thought the “door,” which he was pointing at, was spelled “D-O-O-R.” He repeated himself but I still didn’t get it. I must have made his blood pressure soar because his face and head started to turn red. The third or fourth time, I finally realized he wanted me out of the class. After that, when I talked too much again, he didn’t have to say anything, he just pointed to the door. I would get his message right away. That’s one thing I remember so well from his class.

Another thing that reminds me of Mr. Gross is a song called “Daisy.” I remember asking him to teach us a song, to distract him from his usual lesson. I don’t know if anyone else remembers this. Although it has been almost 40 years, I still remember it well, and of course, I recall all the lyrics. Here’s how it goes:

Daisy Daisy, give me your answer do,
I’m half crazy all for the love of you,
It won’t be a stylish marriage,
I can’t afford a carriage,
But you’ll look sweet upon a seat,
On a bicycle built for two...

Mr. Gross was very serious and wanted the best out of us. He would come to class with a full load of lesson plans. He was the only teacher who used both the front and rear blackboards, and sometimes went back to the front one again. During the tests, he made us copy everything down, including the questions. We also had to answer his questions in full sentences, not just a simple short “yes, I do” or “no, I don’t.” I think he probably wanted us to learn and understand proper English. He sometimes tricked us with his negative interrogative questions. During 6 years with Mr. Gross, I don’t remember his ever missing a single class. He taught and gave us as much as we could take. And because of him, I was not afraid to speak English to farangs even though I was just a little kid. I was not a good student, but I have no doubt that Mr. Gross was a wonderful and kind teacher. At that time it must have been hard for him to live far away from home and to teach naughty girls like us (especially me). But he never gave up on us.

On behalf of WWA 105, I would like to express our deep sorrow for this great loss of our beloved teacher. We are all grateful to you, Mr. Gross. Please rest in peace. You will always be remembered, especially by me when I hear the Daisy song. Thank you very much, Mr. Gross, for everything you have done for us.

Natta Phisphumvidhi
WWA 105
22nd August, 2011
 

ป.ล. ตอนบอกให้เขียน ไม่แน่ใจว่าให้เขียนไทยหรือฝรั่ง แต่ที่เขียนฝรั่งนี่ไม่ได้ดัดจริตนะ เผื่อ Mr. Gross จะเอาไปอ่านบนสวรรค์นะ จะได้เข้าใจ ส่วนพวกเราเด็กวัฒนาอ่านภาษาอังกฤษกันออกทุกคนอยู่แล้ว ก็เพราะใครหละ... หนึ่งในนั้นก็คือ Mr. Gross ไงหละ

วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

105 กับป้านัน

Meaningful meeting
วัฒนารุ่นอื่น ๆ จะเป็นยังไงไม่รู้ แต่รุ่น 105 เป็นรุ่นที่ชอบเกาะกลุ่มกัน ประมาณหมู่เฮาไปไหนไปด้วยกัน ถ้าไม่ไปก็ไม่ไปเลย เวลาบ่นพวกนี้ก็จะบอกว่า...เอาน่า หล่อนก็เป็นตัวแทนรุ่นไปละกัน แล้วมักจะไม่ค่อยชอบนัดหมายเป็นกิจจะลักษณะ แต่จะชอบซุ่มนัด แล้วโผล่มาเซอร์ไพร้ส์ในนาทีสุดท้าย เช่นงานโฮมคัมมิ่งที่ผ่านมา เขาให้จอง แต่ไม่มีผู้ใดจองเลยแม้แต่ 1 คน (ถ้าไม่นับ”ค้างคาวอ่อง”) แต่พอถึงวันก็โผล่มาตั้ง 15 คน
การไปเยี่ยมป้านันก็เช่นกัน ทั้งสองครั้งก็มีแต่ “ดูก่อนนะ” แต่แล้วก็มากันล้นบ้านป้านัน ทำเอาครูสดชื่นทันตาเห็น ครั้งแรกที่ฉันไปคือวันอาทิตย์ที่ 24 กค ตอนแรกที่ไปถึงก็มีแค่ ฉัน-ป๊าก (รุ่น 106) ผึ้งและอ้อย นั่ง ๆ คุยกันอยู่ เล็ก โอ๋ นิดก็ตามมาสมทบ ป้านันทีแรกก็นั่งเนือย ๆ คงจะประมาณว่าชั้นอุตส่าห์แต่งตัวซะสวย นั่งรอพวกเธอ มากันแค่ 4 คนเนี่ยะนะ พอมากันเพิ่มอีก 3 คน โดยเฉพาะนางรำโอ๋ ที่คุยเก่ง หัวเราะก็เก่ง ป้านันก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะ ดูภาพประกอบได้ที่นี่ค่ะ  http://www.facebook.com/media/set/?set=a.10150321643880549.385611.587560548 
เพื่อน ๆ ซื้ออาหารเข้าไปนั่งกินกับป้านัน ฉันบอกให้ป๊ากไปนั่งติดกับกับป้านันเพื่อป้อนข้าวให้ เพราะแขนป้านันไม่มีแรง ปกติคงจะให้ไหมผู้ดูแลเป็นผู้ป้อน แต่วันนี้ขอให้ศิษย์ทั้งหลายได้มีโอกาสกตเวทิตากันบ้าง ซึ่งเพื่อน ๆ ทำหน้าที่กันดีมาก ไหมแทบไม่ต้องทำอะไรเลย
ระหว่างกินข้าว เพื่อน ๆ ก็ชวนป้านันคุยมั่ง คุยกันเองมั่ง ฉันคงเล่าไม่ได้ว่าคุยอะไรกันมั่ง รู้แต่ว่าโอ๋สิริวิมลหยอดมุกให้เพื่อน ๆ หัวเราะกันตลอด ป้านันสีหน้าดีขึ้นทุกนาทีที่พวกเราอยู่ด้วย ตอนที่พวกเราไปถึงใหม่ ๆ แม้ป้านันจะดูดีใจ แต่เพราะพวกเราเอาแต่ถามว่า “หนูชื่ออะไรคะ” กี่คน ๆ มาถึงก็ถามคำถามยอดฮิตนี้ ป้านันคงจะมึน ฉันว่าถ้าเป็นสมัยก่อน ป้านันคงจะย้อนเข้าให้ว่า...”ตัวเองชื่ออะไรยังไม่รู้เหรอ?” 5555555
สมัยป้านันยังเป็นเด็กวัฒนา ป้านันดังมากค่ะ ครูชัชว์เล่าให้ฟังว่า เวลามีการทำโทษทีไร ต้องมีอนันตภาเอี่ยวอยู่ด้วย งานไหนไม่มีอนันตภา คนจะฮือฮาเป็นเรื่องแปลกประหลาดไป ป้านันชอบแกล้งเพื่อนที่ไม่ถือสา อาทิเช่นครูชัชว์เอง โดนป้านันแกล้งบ่อย ๆ เพราะป้านันชอบคุยตอนนอน พอครูเวรมาเปิดไฟ ป้านันก็ไปปลุกครูชัชว์ที่หลับปุ๋ยไปนานแล้ว..รายงานครูเวรว่าคนนี้พูด... มีเพื่อนอีกคนชื่อคุณจำรูญ เป็นคนตัวสูง เรียบร้อย และไม่เคยฟ้องครู ป้านันก็ชอบแกล้งมาก เช่นว่าหน้าร้อน ป้านันจะไปหยิบผ้าห่มจากเตียงเพื่อน ๆ หลาย ๆ คน มาห่มให้ พอหน้าหนาวก็ชอบไปดึงผ้าห่มเขาออก เป็นต้น
ถึงป้านันจะซุกซน แต่กลับเป็นเด็กที่เรียนเก่งมากค่ะ ตอนที่ไปเรียนเตรียม ได้ยินมาว่าครูที่ต้องสอนชั้นป้านันกลัวเด็กวัฒนาไม่ยอมสอน ร้อนถึงโรงเรียนต้องหาครูที่เคยจบจากวัฒนามาสอน เพราะเด็กวัฒนานอกจากภาษาดีแล้ว ยังกล้าถามต้อนครู 5555555
ตอนป้านันเป็นครู ฉันจำไม่ค่อยได้ รู้แต่ว่าป้านันใจดี เข้าใจว่าไม่เคยมีใครเรียกป้านันว่า “ครู” เลยซักคน ป้านันเป็นป้านันของเด็กวัฒนาทุกคน ถึงฉันจะไม่ค่อยตั้งใจเรียน และคะแนนในสมุดพกก็เป็นสีแดง แต่แปลกมากที่พอออกไปอยู่ที่อื่น เรื่อง verb 3 ช่องกลับชัดเจนในหัวได้ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน มันทำให้ฉันกลายเป็นปราชญ์ภาษาอังกฤษของห้องไป ไม่ว่าจะเรียนที่ YWCA หรือที่ Pittsburgh ทุกครั้งที่เพื่อน ๆ ชม ฉันมักจะคุยโตว่า “เนี่ยะ...ฉันน่ะที่โหล่ของห้องแล้วนะ ลองพวกเธอได้เจอคนที่ได้ที่ 1 ซิ” แล้วก็ดูเพื่อนใหม่ปากอ้า ตาโตด้วยความทึ่ง 55555555
ฉันรู้ว่าป้านันจำฉันได้ ครูวัฒนาส่วนมากจะจำฉันได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม...ไม่รู้จริงเหรอ? 555555555 แต่ฉันไม่เคยคิดว่าป้านันจะจำได้ว่าฉันชอบเขียนนิยายในห้องเรียนของป้านันด้วย อืม...นอกจากวิชาเลขแล้ว ฉันยังนั่งเขียนนิยายในวิชาภาษาอังกฤษอีก? สงสัยจะเขียนมันทุกวิชาที่ครูใจดี 55555555 หัวเราะแบบไม่ได้สำนึกผิดเลยนะนพพร ก็....555555555
อีก 2 อาทิตย์ต่อมา รุ่น 105 ก็รวมพลกันทำบุญที่รพ.สงฆ์ได้ถึง 31-32 คน ที่ฉันซาบซึ้งคือ ใครไม่รู้เป็นคนต้นคิดเขียนชื่อครูที่เสียชีวิตทั้งหมด และเพื่อนของเรา...เอ๋พิมพ์กมล เพื่อทำการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ มันทำให้ฉันรักและภูมิใจในเพื่อน ๆ รุ่น 105 มากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องสารภาพว่าฉันไม่ค่อยได้สังสรรค์กับเพื่อน ๆ เท่าไร เพราะความที่หูไม่ได้ยิน และไม่มีรายได้ จะให้เพื่อน ๆ เลี้ยงบ่อย ๆ ก็น่ะ  โดยมากแล้วฉันจะเจอกับกลุ่มจิ๊บบ่อยหน่อย เพราะสนิทกับจิ๊บมาตั้งแต่จำความได้ เพื่อน ๆ กลุ่มใหญ่นาน ๆ จะเจอกัน ยิ่งพวกที่เข้ามาหลังจากที่ฉันหล่นไปรุ่น 106 ก็ยิ่งแทบไม่รู้จัก
คงต้องขอบคุณ facebook – skype ที่ทำให้ฉันได้ทำความมักคุ้นกับหลาย ๆ คน โดยเฉพาะพวกห้องก.เก่ง 555555555
เพราะรูปที่ลงในครั้งแรก ทำให้เพื่อน ๆ หลายคนเกิดความคิดถึงป้านันกัน ในวันที่รวมตัวกันทำบุญ จึงได้มีบางส่วนยกขบวนขันหมากไปบ้านป้ากัน มากันเต็มบ้าน จนป้านันต้องถามว่ามันกันกี่คน แล้วไอ้ที่มา ๆ เนี่ยะ มาถึงก็...”สวัสดีค่ะ ป้านันจำหนูได้ไหมค้า?” 555555555 แต่ป้านันก็จะมองหน้าคนถาม แล้วตอบไป ใครจำได้ไม่ได้บ้างฉันไม่รู้ เพราะฉันก็มึนไม่แพ้ป้านันหรอกค่ะ วันนี้ป้านันแต่งตัวสวยกว่าวันก่อนอีก ใส่กระโปรงสีแดงเลือดหมูแสดงความเป็นวัฒนาเข้มข้น และยังมีสายสร้อยมุกที่ดี้ณัฐาถามว่า “สร้อยนี้สวยจัง ใครให้คะ”  ป้านันตอบกลับมาสั้น ๆ แต่เรียกเสียงฮาได้ยาวนานว่า...”ผัวให้” 5555555555555
ฉันเองก็เอากับเขาด้วย เข้าไปถามมั่ง “ป้านันขา คนนี้ใครคะ”  ป้านันตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ “คนนี้นักเขียน” .... โอ๊ะโอ๋....ป้านันอ่ะ 555555555 ไม่เอาค่ะ เอาชื่อค่ะ หนูชื่ออะไร  ป้านันส่งสายตาค้อน ๆ เล็ก ๆ ประมาณว่ามาทดสอบอะไรฉันยะ แล้วก็ตอบว่า “อ่อง” อืมม์ ป้านันจำได้จริง ๆ ด้วย 55555555 มันเลยทำให้ฉันดีอกดีใจ แล้วก็ไปทำหน้าที่ตากล้องเก็บภาพต่อ ให้เพื่อน ๆ เข้าไปฉอเลาะกับป้านันกันอย่างทั่วถึง แต่ที่ ๆ ป้านันนั่งรอ แสงน้อย ถ่ายรูปไม่สวย ฉันก็เลยบอกให้ทุกคนย้ายไปห้องกินข้าว  เพื่อนหลายคนเอ็ด “ป้านันเดินไม่ค่อยไหว ถ่ายตรงนี้แหละ” ..((อย่าเรื่องมาก)) 555555555 ฉันก็ถ่ายไปบ่นไป เดี๋ยว ๆ เอาอีกละ ...ไปถ่ายห้องโน้นเหอะ “เอ๊ นังอ่องนี่...” 5555555555 ฉันเลยอ้อนป้านันว่า “ป้านันขา ไปห้องนู้นดีกว่านะคะ จะได้ถ่ายรูปได้สวย ๆ” ป้านันก็พยักหน้าหงึกหงัก ท่ามกลางสายตาหมั่นไส้จากเพื่อน ๆ ที่ส่งมาพิฆาตฉัน 555555555 บางคนก็อาจจะจึ๊กจั๊กว่า...ทำไมป้านันต้องตามใจยัยนี่ด้วยนะ ก็น่ะ...เกิดมามีบุญ มีคนตามใจเยอะ 555555555
แล้วเพื่อน ๆ ก็ช่วยกันประคองซ้ายประคองขวาป้านันอย่างขมีขมัน พาป้านันมาสตูดิโอเพื่อการถ่ายภาพของ”นักเขียน” ผู้นอกจากถ่ายรูปตลอดเวลาแล้ว ยังจะจูบแก้มป้านันหลายสิบฟอดจนด๊อกเตอร์ผึ้งตั้งฉายาให้ใหม่ว่า “นักจูบบันลือโลก” ไปแล้ว มาเจอป้านัน 2 วันจูบเยอะกว่าผึ้งที่มาเจอป้านันบ่อย ๆ อีก 555555555 ได้ยินเสียงใครไม่รู้แซวว่า...”แก้มป้านันเป็นสิวแน่” ฉันก็ยังลอยหน้าลอยตาตอบกลับไปว่า...ดีซิ แปลว่าป้านันยังสาว....น่าน...ยังไม่รู้ตัว 55555555
ถึงแม้ว่าเสียงจะดังเจ๊าะแจ๊ะจอแจในบ้านที่เคยสงบเงียบ แต่ป้านันก็ไม่ได้มีความรำคาญ หรือเหนื่อยหน่าย แต่สีหน้าแววตากลับตื่นตัว สนอกสนใจต่อเด็ก ๆ 105  ฉันเองไม่ได้ฟังที่เพื่อน ๆ คุยกัน คนหูดี ๆ มาอยู่ในกลุ่มวัฒนาก็ยังหูชา แล้วหูที่ชาอยู่แล้วอย่างฉันจะเหลือเหรอ? แต่ฉันก็ใช้”ตา”ดู ดูสีหน้าของป้านันที่ดูกระปรี้กระเปร่ายิ่งกว่าครั้งก่อน ป้านันได้ร่วมวงพูดคุยด้วยกันเป็นระยะ ๆ ได้หัวเราะกับพวกเราก็หลายหน สมองป้านันแจ่มใสขึ้น ถึงขั้นพูด proverb ให้ฟังได้หลาย ๆ คำ ถึงขั้นเขียนชื่อฉันได้
ฉันรู้สึกดีใจกับป้านัน เพราะ 2 วันนี้ ป้านันได้พบหน้าศิษย์รุ่น 105 ที่มาจาก around the world อาทิเล็กมาจากเมกา แตนจากอังกฤษ ดี้จากแคนนาดา เช้งจากภูเก็ต แสดงว่าป้านันเป็นที่รักของเด็ก ๆ 105 น่าดู 2 วัน 4 ชั่วโมง เป็นช่วงเวลาดี ๆ ของฉันกับเพื่อนวัฒนาอีกช่วงหนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่ป้านันได้อิ่มใจกับการกตัญญูของเด็ก ๆ (ที่เริ่มแก่กันแล้ว) และเด็ก ๆ ก็อิ่มบุญจากการได้โอกาสกตเวทิตา ด้วยการเอาอกเอาใจ ป้อนน้ำ ป้อนข้าว เอาขนมมากินต่อหน้าป้านัน (เพราะป้านันเบาหวานขึ้น กินไม่ได้) ด้วยการประคบประหงมจูงประคองป้านันเดิน ด้วยการพูดคุยปลุกป้านันจากโลกเงียบเหงา สู่โลกอึกทึกวุ่นวายด้วยเสียงเจ๊าะแจ๊ะไม่ได้หยุดแม้แต่ 1 วินาที ด้วยเสียงหัวเราะลั่นบ้าน ก่อนพวกเรากลับ ฉันถามป้านันว่า Are you happy today? ป้านันตอบด้วยเสียงสดใสว่า Yes! I am very happy.  แล้วยังมีการบอกด้วยว่า...มากันอีกนะ...ค่ะป้านัน พวกหนูจะไปกราบป้านันกันใหม่ เพราะวันนี้ไม่ใช่แต่ป้านันที่มีความสุข แต่พวกหนูรุ่น 105 ก็กลับไปพร้อมกับรอยยิ้มบนสีหน้า รอยปิติบนหัวใจเช่นกัน
มันเป็น 1 ในมีตติ้งรุ่น 105 ที่วิเศษที่สุด. เชิญชมภาพประกอบวันไปเยี่ยมป้านันหนที่ 2 ได้ที่ http://www.facebook.com/media/set/?set=a.10150332436645549.388846.587560548