วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

มื้อพลังใจที่สีฟ้า

อิ่มใดไหนจะเท่าอิ่มอกอิ่มใจ

หลังจากที่ได้ไปกราบเยี่ยมคุณป้าประภา ยศสุนทรด้วยกันแล้ว ฉันก็คิดว่าจะลงรถที่หน้าบ้านท่าน แล้วจับรถเมล์กลับบ้าน แต่ท่านผู้หญิงบอกว่าเราไปกินข้าวกันที่ไหนดี ฉันเลยเสนอว่าสีฟ้า เพราะรู้ว่าท่านชอบกินขนมเบื้องญวนของร้านนี้ พอรถเลี้ยวเข้าที่จอดรถ ท่านเกิดนึกได้ว่าทำไมเราถึงไม่ชวนพี่ด้ามาด้วยกัน? ฉันก็เลยส่งมือถือของฉันให้ท่านเพื่อเรียกพี่ด้ามา แต่ท่านก็บอกว่า อย่าเลย เพราะพี่ด้าอาจจะติดธุระก็ได้ มื้อนี้จึงเป็นมื้อแรกที่ได้กินข้าวกับท่านสองคน ฉันรู้สึกตื่นเต้น ไม่รู้ว่าจะประหม่าทำอะไรเปิ่น ๆ หรือเปล่า? ถึงจะเคยกินข้าวกับท่านมาหลายมื้อแล้วก็ตาม แต่ไม่เคยกินข้าวกันตามลำพังมาก่อน

มีโต๊ะให้เลือกไม่มาก เราได้โต๊ะติดถนน ฉันให้ท่านนั่งด้านที่หันหน้าออกถนน เมื่อนั่งแล้ว ท่านก็สั่งขนมเบื้องญวนทันที ส่วนฉันเลือกข้าวผัดปู ระหว่างรออาหารมา ฉันก็หยิบมือถือมาเปิดให้ท่านดูรูปที่ถ่ายที่บ้านคุณป้าประภา

ขอเล่าถึงตอนไปบ้านคุณป้าประภาแป๊บนึงนะคะ ตอนไปถึงบ้านป้าประภา เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องเวลานัดหมาย คือทางบ้านคุณป้าเข้าใจว่าคณะเราจะมาตอนบ่าย แต่จริง ๆ ฉันบอกไปว่าประมาณ 10.30-11.00 น. เราก็เลยต้องนั่งรอคุณป้าประภาเตรียมพร้อม  แต่ก็ไม่นานมากหรอกค่ะ ก่อนหน้านี้คุณลุงดวงก็ออกมาคุยกับท่านผู้หญิง เพราะรู้จักคุ้นเคยกันอยู่ อย่าถามว่าคุยอะไรกันนะคะ รู้ ๆ อยู่ 555555

สิ่งที่ประทับใจคือเมื่อคุณป้าประภาเข้ามาในรถเข็น จัดที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านผู้หญิงก็เข้าไปย่อตัวกราบรุ่นพี่กับอก แล้วจับมือพูดทักทาย ถึงจะไม่ได้ยิน แต่ก็สามารถเดาน้ำเสียงจากกิริยาท่าทางได้ว่าอ่อนโยน อบอุ่นแน่ ๆ คุณป้ายังตื่นไม่เต็มตา ท่านผู้หญิงก็กลับมานั่งคุยกับคุณลุงดวงต่อ พอตอนลากลับคุณป้าประภาตื่นเต็มที่แล้ว ถึงคุณป้าประภาจะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าและแววตาบ่งบอกชัดว่าคุณป้าดีใจที่เห็นท่านผู้หญิงมาเยี่ยม ท่านผู้หญิงได้คุกเข่าลงข้าง ๆ เพื่อถ่ายรูปกับคุณป้าแม้ว่าจะลุกลำบากแต่ท่านก็ทำ แสดงให้เห็นว่าท่านมีความเคารพรุ่นพี่จากน้ำใสใจจริง

กลับไปที่โต๊ะกินข้าวนะคะ พอท่านดูรูปจากมือถือเสร็จ ท่านก็ถามว่าถ่ายยังไง อยากรูปฉัน...โหย ตื่นเต้นมากเลย ไม่รู้จะโพสต์ท่ายังไงให้ตากล้องกิตติมศักดิ์ นั่งซะเรียบร้อยเชียว แต่ท่านผู้หญิงกดผิดซะงั้น 555555 เก้อเลย ต้องสอนกันใหม่ค่ะ คราวนี้ relax แล้ว ถ่ายเสร็จฉันก็ขอถ่ายท่านมั่ง แล้วส่งให้ท่านดู ท่านก็บอกว่าอยากถ่ายฉันหน้าเต็มจอแบบนี้บ้าง ฉันเลยต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ กล้อง โพสต์หน้าแอ๊บแบ๊ว ตอนนี้ไม่เขินแล้ว (ปรับตัวไวเนอะ 5555) รูป 3 รูปที่ถ่ายโดยท่านผู้หญิงนี้ว่าจะไปอัดเก็บไว้เป็นที่ระลึกค่ะ แล้วฉันก็ขอถ่ายรูปท่านบ้าง วัฒเนี่ยนสองรุ่นสลับกันถ่ายรูปเป็นที่เพลิดเพลิน จนกระทั่งท่านเปรยขึ้นมาว่าโบราณเขาถือว่าถ่ายรูปมากอายุสั้น อ่าว...555555 ฉันเก็บกล้องทันที ไม่ใช่กลัวตัวเองอายุสั้นหรอกนะคะ แต่กลัวท่านจะจากไปเร็ว ทุกวันนี้ยังอาวรณ์คิดถึงพี่ลีไม่สร่างซาเลย

พออาหารยกมา ท่านก็แบ่งขนมเบื้องมาให้ฉัน พอฉันจะแบ่งข้าวผัดปูให้ ท่านบอกไม่เอา ฉันขอให้ท่านกินข้าวเยอะ ๆ จะได้มีกำลัง ท่านบอกแก่แล้วกินไปกำลังได้หรือเปล่าไม่รู้ ที่รู้คือได้พุง 555555
เราก็คุยนั่นนี่กันไปเรื่อยค่ะ จากเรื่องนั้นกระโดดไปเรื่องนี้ กระโจนไปเรื่องนู้น จนขนมเบื้องท่านหมด แต่จานฉันข้าวผัดปูยังอยู่ครึ่งจานเลย 55555 ฉันเลยต้องเร่งสปีด เพราะท่านผู้หญิงรอสั่งของหวานพร้อมกัน
เรื่องที่คุยกันก็มีสารพัด สารพันค่ะ ส่วนมากฉันคุยให้ท่านฟัง ท่านคุยกลับมา ทั้ง ๆ ที่ช้าลง และเสียงดังกว่าปกติ เพราะรู้ว่าฉันหูไม่ดี แต่กระนั้น ฉันก็ฟังออกบ้าง ไม่ออกบ้าง ประสาฉันแหละ คุยไปคุยมา มาเรื่องมัสมั่น ท่านบอกว่าชอบกินมาก แต่ที่บ้านไม่ค่อยทำเพราะไม่มีคนกิน ฉันเลยรีบบอกไปว่าวันหลังฉันจะทำไปให้กินค่ะ กลับไปบ้านต้องฝึกปรือฝีมือละ จะได้ทำให้ท่านผู้หญิงกิน

ฉันแปลกใจว่าท่านไม่เคยไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาฯเลย ทั้ง ๆ ที่เข้าวังสระปทุมบ่อย ท่านบอกว่าไปเพื่อเฝ้าสมเด็จพระเทพฯ เท่านั้น ฉันก็เลยชวนทันที งั้นไปกันไหมคะ อ่องชวนท่านผู้หญิงเที่ยวทั่วไทยแล้วมั้งเนี่ย 55555

พอกินขนมเสร็จ ฉันก็ขออนุญาตเลี้ยงอาหารท่าน แต่ท่านบอกว่าไม่อนุญาต ฉันก็เกิดนึกได้ว่าเมื่อเช้าเอากระเป๋าตังค์เล็กมา ใส่แบ้งค์ 500 มาใบเดียวกับเศษเหรียญ แวะตลาดซื้อพวงมาลัย กับส้ม ตอนนี้ไม่รู้เหลือเท่าไร ที่แน่ ๆ ไม่น่าจะพอจ่ายเลยเงียบ แต่มานึกขำตอนท่านผู้หญิงเปิดกระเป๋าแล้วเปรยว่า ไม่รู้ลืมเอากระเป๋าตังค์มาหรือเปล่านี่ซิ ...เอิ่ม...ท่านคะ ถ้าท่านลืมจริง ๆ สงสัยอ่องต้องอยู่ล้างจานที่สีฟ้าแน่เลย

ป๊ากเคยบอกว่าฉันโชคดีที่ผู้ใหญ่มักให้ความเมตตาเป็นพิเศษ  ฉันกลับคิดว่าฉันโชคดีได้อยู่ในแวดวงผู้มีเมตตาธรรมมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นอากง ครูเก่า ๆ และพี่ลีที่ล่วงลับ ตลอดจนผู้ใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนให้ความเมตตาฉันมากกว่าคนอื่น ๆ  สิ่งที่ฉันสนองกลับคือการกตเวทิตาในรูปแบบของฉัน คือการได้ใช้เวลาด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่โอกาสจะเอื้อ ไม่มีอะไรในชีวิตที่ฉันอยากได้ไปยิ่งกว่าการใช้เวลากับบุคคลอันเป็นที่รักแล้ว.




วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เพลินบุปผชาติสวนหลวงร.9 กับท่านผู้หญิงสุมาลี

ความสุขอันเป็นพลังสร้างวันใหม่

คิดว่าจะไม่สามารถกลับมาเขียนอะไร ๆ สนุก ๆ ได้อีกเสียแล้วหลังจากการจากไปโดยไม่คาดฝันของเพื่อนที่รักที่สุดในชีวิต บทความนี้คือบทความแรกที่เขียน เพราะอยากเก็บไว้เป็นความทรงจำอันอบอุ่นให้ได้รำลึกถึงทุกครั้งที่กลับมาอ่านค่ะ
ก่อนอื่นขอชี้แจงว่า การที่นำรูปมาเผยแพร่ก็ดี เขียนเรื่องสู่กันฟังก็ดี ไม่ใช่จะอวดว่าฉันสนิทกับท่านผู้หญิงนะคะ ไม่เคยคิดเช่นนั้นเวลาได้รับความรักความเมตตาจากผู้หลักผู้ใหญ่ เพราะเท่าที่เห็น ท่านก็ให้ความเมตตากับคนอื่น ๆ เฉกเดียวกัน
ที่มาที่ไปว่าทำไมจึงได้ไปเดินเที่ยวสวนหลวง ร.9 กับท่านผู้หญิงนั้น เกิดจากวันหนึ่งคุณแม่กลับจากสวนหลวง ก็เอารูปใน ipad มาอวดค่ะ ฉันไม่ค่อยได้ไปเดินเที่ยวเท่าไร เพราะส่วนมากบ้านเราอากาศร้อน เดินนาน ๆ ก็เมื่อย เหงื่อออก สวนก็ใหญ่ เลย...สั้น ๆ ว่า “ขี้เกียจ” 5555555 แต่ปีนี้เกิดแว้บขึ้นมาว่าน่าจะชวนท่านผู้หญิงไปนะ คุณแม่เองก็คิดถึงท่านผู้หญิงเช่นกันเลยกดมือถือตะเล็บเก้บไปชวนทันที ซึ่งท่านก็ตอบรับมาเกือบจะในทันใด คุณแม่ให้ท่านเป็นผู้กำหนดวัน ท่านก็บอกว่าวันที่ 5  ฉันรีบค้าน เพราะวันที่ 5 คนน่าจะเยอะมาก บางทีเจอคนงานพม่ามาเป็นกลุ่มใหญ่ บางทีเจอคนกินเหล้าเมา เสียงดัง ไม่น่าจะใช่บรรยากาศที่น่าเดินของสวนสาธารณะเท่าไร ท่านเลยเลื่อนเป็นวันที่ 6
วันที่ 4 ฉันเห็นดอกมหาหงส์ที่บ้านออกดอกเยอะเลยตัดไปฝากท่าน เมื่อไปถึงบ้านก็นัดกับท่านอีกทีเรื่องเวลา ว่าเราจะนัดกันที่บ้านท่านแล้วไปพร้อมกัน เพราะถ้าไปเจอกันที่นั่น อาจจะหากันลำบาก ฉันขอให้ท่านใส่รองเท้ากีฬา ท่านก็ว่าจะเดินไหวหรือเปล่าไม่รู้ ฉันบอกว่าไม่เป็นไร ขอให้ใส่รองเท้าเดินสบาย ๆ ไว้ก่อน ยังไงที่นั่นก็มีรถบริการอยู่แล้ว
เช้าวันที่ 6 ฉันให้อู๋พาคุณแม่ไปเจอที่สวนหลวง ส่วนฉันไปบ้านท่านผู้หญิง นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะท่านลืมไปว่าฉันจะไปเจอที่บ้านท่าน ท่านจดลงในสมุดเฉย ๆ ว่ามีนัดกับอ่องไปสวนหลวง พอฉันไปถึง แม่บ้านก็แจ้งว่าท่านออกไปพบฉัน 555555 สีหน้าแม่บ้านงง ๆ เล็กน้อยเพราะคนที่ท่านไปพบยืนอยู่ตรงหน้า ฉันเลยต้องโทรให้น้องรีบติดต่อท่าน ส่วนตัวเองก็รีบนั่งแท็กซี่ตามไป โชคดีที่จราจรค่อนข้างโล่ง จึงใช้เวลาไม่นาน
เมื่อฉันไปถึงก็โทรเข้ามือถือน้อง ถามว่าอยู่ไหน น้องบอกว่าให้รอแถวประตูทางเข้า เดี๋ยวจะเดินไปรับ สักพักใหญ่ ๆ น้องก็เดินมา เล่าให้ฟังว่าท่านผู้หญิงมาก่อนแต่โชคดีที่หากันเจอ ฉันก็นึกว่านี่น้องฉันทิ้งผู้ใหญ่สองคนตามลำพังเหรอ แล้วก็โล่งใจเพราะท่านผู้หญิงมีคนติดตามมาด้วย 1 คน
เดินไปไม่นานก็เจอท่านผู้หญิงกับคุณแม่ จูงมือกันชวนชี้ชมต้นไม้กระหนุงกระหนิงน่ารักราวกับคุ้นเคยกันมาแสนนาน ฉันก็รีบเข้าไปกราบทักทายท่าน ฉันเห็นแดดเริ่มมาก เลยเสนอหมวกให้ ท่านปฏิเสธบอกว่าเดี๋ยวผมเสียทรง 5555555 ท่านคงรู้แระว่าวันนี้โดนฉันถ่ายรูปไว้ลงเฟสบุ้คแน่ แต่วันนี้อากาศดีมาก ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป เหมาะกับการเดินเที่ยวของผู้อาวุโส
ท่านผู้หญิงเดินชมสวนแบบละเมียดละไมมากค่ะ เดินช้า ๆ ค่อย ๆ ดูไปเรื่อย ปากก็คุยนั่นคุยนี่กับคุณแม่ไม่ได้หยุด กรุณาอย่าถามฉันว่าคุยอะไรบ้าง คุณแม่บอกว่าถ้าคุยให้ฉันได้ยิน คนทั้งสวนหลวงก็คงได้ยินไปด้วย 5555555 แต่ฉันเชื่อว่าทั้งสองมีความสุข บทสนทนาต้องสนุก เพราะหัวเราะกันเป็นระยะ ๆ แม้แต่น้องชายที่บ่นปวดหัว ตอนแรกบอกเพราะไซนัส แต่บทสรุปเพราะขาดคาเฟอิน
มาถึงต้นหนึ่ง ซึ่งฉันจำชื่อไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าฉันไม่ใช่นักพฤกษศาสตร์ ปลูกได้ดีแต่มหาหงส์ แต่คุณแม่ชอบปลูกต้นไม้ค่ะ พอเห็นเมล็ดหล่นทั่วไปหมด ก็อยากเก็บเมล็ดไปเพาะ ระหว่างที่คุณแม่เดินหาเมล็ดที่เหมาะสม ท่านผู้หญิงก็ช่วยมองหาด้วย ขอบอกว่าสายตาท่านเป็นเลิศมาก เพราะท่านหยิบขึ้นมาเมล็ดหนึ่ง สีเขียวก็จริง แต่มีต้นอ่อนงอกออกมาแล้ว!
พอเจอซุ้มนิทรรศการ เห็นซุ้มไหนสวยก็หยุดถ่ายรูปกัน เดินมาถึงซุ้มหนึ่ง ท่านผู้หญิงบอกให้เด็กที่ติดตามช่วยถ่าย เอาให้ติดรูปสิงห์สองตัวด้วย จริง ๆ เป็นสิงห์ตัวนึงกับกิเลนค่ะถ่ายรูปเสร็จก็เข้าไปชมให้ละเอียดว่าเขาใช้ต้นอะไรบ้าง ท่านก็บอกว่าน่าจะเป็นซุ้มของบุญรอด เพราะสิงห์น่ะ สิงห์บุญรอดชัด ๆ แต่กลับกลายเป็นซุ้มเมืองไทยประกันชีวิตซะงั้น
เดินไปได้สักพัก น้องชายก็หาที่ขึ้นรถกอล์ฟได้ ก็เลยขึ้นรถนั่งชมไปทั่ว มาลงพักเดินแถวที่ขายต้นไม้ คุณแม่กับน้องช็อปปิ้งดิน และต้นไม้กันตามเคย ส่วนท่านผู้หญิงกับฉันก็เดินดูไปเรื่อย มาถึงดอกไม้ชนิดหนึ่ง หน้าตาเหมือนชื่อ แต่ฉันจำชื่อไม่ได้แล้ว ดอกอะไรลิปสติกสักอย่างเนี่ย ฉันนึกสนุก เอามือปิดป้ายแล้วขอให้ท่านทายว่าดอกอะไร ท่านตอบว่า...ช้าไปแล้ว อ่านชื่อไปเรียบร้อยแล้ว... 55555555
น้องชายหายไปไหนสักพักใหญ่ ฉันคิดว่าคงไปหากาแฟกินแก้ปวดหัว แต่เดินกลับมาพร้อมต้นอะไรสักอย่างห่ออยู่ในหนังสือพิมพ์ สูง 2 เมตร ฉันก็นึก คุณน้องจะไปห้อยตรงไหนในบ้าน? บ้านก็ใช่ว่าจะมีที่ทางมากมายอะไร ปรากฏว่าน้องซื้อให้ท่านผู้หญิงค่ะ น้องบอกภายหลังว่าประทับใจ ท่านเรียบร้อยมาก แล้วภาษาที่พูดก็ใช้คำโบราณ ฉันถามว่าโบราณตรงไหน? ยกตัวอย่างมาดิ๊ สรุปความตามน้องว่า ท่านผู้หญิงน่าจะเป็นแม่พลอยสี่แผ่นดินในยุค 3G
ก่อนกลับ ก็แวะกินอาหารมื้อเช้ากันที่ร้าน s&p ฉันเองตั้งแต่ออกจากบ้าน น้ำสักหยดก็ยังไม่ถึงปากถึงท้อง แต่ไม่รู้สึกหิวหรือกระหาย อาจจะเป็นเพราะอิ่มเอมใจกับช่วงเวลาในเช้านี้ ฉันสั่งกาแฟร้อนราดคาราเมล ในขณะที่ท่านผู้หญิงสั่งเกี๊ยวน้ำ น้ำราสเบอร์รี่ร้อน 1 กา คุณแม่สั่งขนมปังกับกาแฟ น้องชายสั่งกาแฟ ตอนที่ท่านกินเกี๊ยวน้ำ ในนั้นมีต้นหอมซอยเส้นผอม ๆ ไม่กี่เส้น แต่ท่านก็เขี่ยออก ฉันสังเกตมาพักหนึ่งแล้วว่าท่านไม่ค่อยกินผัก วันนี้เลยถามค่ะ  คำตอบที่ได้คือ ไม่อยากยิ้มสีมรกต 55555555
ระหว่างกินข้าวเช้ากัน ท่านผู้หญิงก็เล่าเรื่องชีวิตในวัฒนารุ่นยกหมิ่นให้คุณแม่กับน้องฟัง มีฉันกระตุ้นเป็นระยะ ท่านจำเรื่องราวหนเก่าก่อนได้เป็นอย่างดี ก็เล่ากันไป หัวเราะกันไป น้องเริ่มสีหน้าดีขึ้นหลังจากจิบกาแฟ (ยาแก้ปวดหัว) บรรยากาศชื่นมื่นมากค่ะ
กินเสร็จก็เดินออกมาเพื่อไปขึ้นรถ ท่านผู้หญิงแวะซื้อลูกโป่งฝากเหลนน้อยสองคนด้วย สักพักก็บอกฉันว่าเอ๊ะทำไมเหลือเราสองคน? 55555 แล้วแม่กับน้องของฉันหายไปไหน เด็กของท่านผู้หญิงน่ะกำลังจ่ายเงินค่าลูกโป่งอยู่ข้างหลัง ท่านผู้หญิงสายตาดี ช่างสังเกตเป็นเยี่ยมจริง ๆ ค่ะ เพราะท่านเห็นคุณแม่ก่อนฉัน กำลังซื้อลูกประคำกับของกระจุกกระจิก
เราลากันด้วยการไหว้แบบไทย แถมด้วยการลาแบบสากลฉบับวัฒเนี่ยน คือกอดและหอมแก้ม ช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงนี้จะตราตรึงในความทรงจำของฉันควบคู่กับบันทึกนี้ไปแสนนาน ความรักความเมตตาของท่านผู้หญิงเป็นประหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมหัวใจให้อบอุ่น และมีพลังมากขึ้น ถึงจะยังคิดถึงพี่ลีอยู่ แต่ก็มีความเข้มแข็งพอที่จะเผชิญกับความอาลัยอาวรณ์ให้บรรเทาลงได้ ที่ท่านบอกว่าฉันทำให้ท่านมีความสุข ขอบอกว่าท่านทำให้ฉันมีความสุขยิ่งกว่า ขอกราบด้วยความขอบคุณท่านเป็นที่สุดค่ะ

วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ท่านผู้หญิงสุมาลี จาติกวนิช

งามเอยแสนงาม งามจริงยอดหญิงชาติไทย 



                อารมณ์ดี ร้องเพลงตั้งแต่หัวเรื่องเลยนะ ฮ่า ๆ ๆ เป็นเพราะน้ำชากำลังฮิตเพลงเชย ๆ เพลงนี้  ขออภัยที่เกิดมาตั้งเกือบครึ่งศตวรรษ เพิ่งรู้จักเพลง ๆ นี้ แล้วก็แสนจะหลงใหลในคำร้องอันไพเราะ ทำนองง่าย ๆ แต่เสนาะหู  พอมาจับบทความคราวนี้  ปรึกษากับพินิจธานีแล้ว เห็นพ้องต้องกันว่าน่าจะหยิบมาตั้งชื่อเรื่อง เนื่องจากท่านผู้หญิงสุมาลี เป็นหญิงไทยที่งามจริง ๆ น้ำชาแอบชื่นชมอยู่ห่าง ๆ มาตั้งแต่เด็ก  เพิ่งได้พูดคุยใกล้ชิดกันก็วันนี้เอง แล้วก็พบว่าท่านผู้หญิงนั้น งามทั้งระยะไกล และใกล้ทีเดียว
            เราสามคน สรวรรณ นพพร สรีวิมลมาถึงบ้าน Platinum Sand ก่อนใคร (เหตุที่ไม่เรียกบ้านทรายทองเพราะบ้านสวยหลังนี้ไฮเทคกว่าบ้านทรายทองเยอะเลยค่ะ ไฮเทคยังไงติดตามอ่านไปเรื่อย ๆ นะคะ)  ระหว่างนั่งรอสมาชิกอื่น ๆ ตามมาสมทบ น้ำชาก็เดินถ่ายรูปไปเรื่อย  ถ่ายกระทั่งน้ำลำไยที่แสนอร่อย รองเท้าแตะสำหรับใส่ในบ้าน ฯลฯ  อะไรที่ไม่เตะตาชาวโลก มักจะเตะตานพพร
พี่แดง-ปริศนาตามมาในคราบของพจมานไร้เปีย แล้วสามทายาทคณะราษฎร์ก็จับกลุ่มถกกันถึงบรรพบุรุษของตน คนที่อากงขึ้นเรือมาจากจีนก็ถ่ายรูปต่อไป พี่กาญจนามาก่อนหน้าพี่ลานทิพย์และครูวรรณดีไม่นาน พอครบคณะถึงเดินเข้าไปในตัวบ้านค่ะ ท่านผู้หญิงเข้ามาต้อนรับด้วยชุดสีแดงสดใส ท่านบ่นว่าเพราะพิษการเมืองช่วงนี้ ทำให้ไม่ได้ใส่เสื้อสีแดงมานาน วันนี้วัฒนามาเยี่ยมถึงบ้าน จึงได้โอกาสใส่เพราะเป็นสีของโรงเรียน
                ห้องรับแขกมีกระจกโต๊ะเครื่องแป้งของคุณหญิงมณี..เอ่อ..ท่านผู้หญิงสุมาลีตั้งเด่นเป็นสง่า ปัจจุบันท่านเจ้าของคงไม่ได้ใช้งานแล้ว จึงเอามาตั้งอวดในห้องรับแขก มีดอกไม้ประดิษฐ์ใส่แจกันใบโตตั้งเบื้องหน้า สงสัยเพื่อป้องกันไม่ให้กระจกดูดย้อนกลับไปอดีตภพ  อย่างไรก็ตามพวกเราก็ถ่ายภาพหมู่กันหน้ากระจกทวิภพ เรียกว่าถ้ามันจะดูด ก็ดูดไปทั้งคณะแหละ  
            บ้าน Platinum Sand กว้างขวางมาก ท่านเจ้าของบ้านเล่าว่ามีรางรถไฟด้วย เนื่องจากคุณพ่อผู้สร้างบ้านชื่นชอบรถไฟมาก ตอนแรกที่ฟัง น้ำชานึกว่าสมัยแรก ๆ มีรถไฟมาวิ่งอยู่ในบ้านด้วย ฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียดซะเพี้ยนหลุดโลกไปเลย  ที่ฮือฮากันทั้งคณะ (พี่หน่อยกับพี่แดงอดดูเพราะกลับไปก่อน) ไม่ใช่ลิฟต์ในบ้าน แต่เป็นหลังคาบ้าน...เปิดได้ค่ะ ในยามที่อากาศดี ๆ ท้องฟ้ามีดวงดาราแต่งแต้ม ก็คงเปิดหลังคาแล้วนั่งชมดาวในบ้านได้สบาย ๆ  แม้ว่าจะมีเครื่องประดับบ้านมากมาย แต่ทุกอย่างก็ถูกจัดวางไว้ถูกที่ถูกทาง ถึงขนาดว่ามีคนพูดว่า ของในบ้านพี่(ท่านผู้หญิง)เข้าแถวทุกอย่าง ซึ่งท่านผู้หญิงได้ยกประโยชน์ให้กับคุณครูตลับ ที่ปลูกฝังความเป็นระเบียบให้เป็นอย่างดี แต่คงจะได้กับรุ่นเก่า ๆ รุ่นหลัง ๆ ไม่ได้เรียนกับครูตลับแล้ว จึงไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยแบบเก่า ๆ โดยเฉพาะตัวน้ำชาเอง ห่างไกลจากความเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนโลกกับพระจันทร์
            เมื่อใดที่ชาววัฒนาจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องเก่า ๆ สิ่งหนึ่งที่มักจะเป็นหัวข้อสนทนา ...ห้องน้ำห้องส้วม.. ครั้งก่อนคุณป้าจีรวัสส์เล่าให้ฟังเรื่องส้วม  วันนี้ท่านผู้หญิงสุมาลีเล่าให้ฟังเรื่องห้องอาบน้ำ..เป็นครั้งแรกที่เราได้ฟังว่าสมัยก่อน เด็กเล็ก (ป.4) เขาแก้ผ้าเดินเข้าแถวเพื่อจะเข้าไปอาบน้ำกัน  แถมห้องอาบน้ำตั้งขนานไปกับซอยร่วมใจ มีเพียงรั้วสังกะสีที่คนสามารถปีนมาแอบดูได้  โอ้จอร์จ ดีจังที่เกิดช้า ฮ่า ๆ
                ใคร ๆ คงจะทราบกันดีว่าท่านผู้หญิงสุมาลีนั้นเป็นสตรีนักบริหารชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของเมืองไทย ท่านมีพรสวรรค์มาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ โดยเฉพาะเรื่องการพูด โดยได้เคย เทศน์ ในห้องประชุมด้วย 1 ครั้ง ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจ ท่านเล่าว่าตอนนั้นท่านมีจุดเด่นคือกระโปรงนักเรียนของท่านสั้น กระโปรงมี 3 กลีบข้างหน้า 3 กลีบข้างหลัง ความที่ก้นท่านงอน จึงมีเพื่อนแซวว่า  " แหมเธอเดินก้นปัดขึ้นไปบนเวทีสง่ามาก" เมื่อขึ้นไปถึงแท่น ก็เกิดปัญหาอีกว่า แท่นโพเดี้ยมสูงไป เพราะท่านตัวเล็ก "อ้าว...หนูพูดไม่ได้..มองไม่เห็น"  ครูก็เลยเอาเก้าอี้มาแล้วก็ให้คุกเข่าพูดบนเก้าอี้ เป็นประสบการณ์พูดหน้าโพเดี้ยมครั้งแรกที่ไม่น่าประทับใจเพราะเจ็บหัวเข่ามาก แต่ก็ทำให้ท่านค้นพบความสามารถของตนเอง โดยปัจจุบันก็ได้ใช้พรสวรรค์นี้ระดมเงินเพื่อการกุศลอยู่เนือง ๆ
            ช่วงสงครามโลกที่วัฒนาย้ายไปที่ยกหมิ่น ก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย เพราะพื้นที่ไม่พอที่จะเขียนถึงทั้งหมด แต่มีเรื่องตลกแนวโรมานซ์เรื่องหนึ่งที่น้ำชาชอบ ฮ่า ๆ (ถ้าคนเขียนไม่ชอบ คนอ่านก็อดฟัง) คือในตอนนั้นด้านหลังของโรงเรียนเป็นรั้วสังกะสี  แล้วเป็นตรอกชาวบ้านห้องแถว วันหนึ่ง มีคนปีนหน้าต่างเข้ามา ห้องเรียนซึ่งอยู่ติดกับรั้วค่ะ ทีนี้มีเพื่อนคนหนึ่งเขาสวยที่สุดในชั้น เขาชื่อประจง ทีนี้เราก็กำลังเรียนภาษาอังกฤษ เขาก็ใช้หนังสือของคุณอาเขา เป็นหนังสือภาคภาษาอังกฤษ มีภาษาไทยอยู่ตัวเดียวเขียนว่า " จินตมัย" ซึ่งเป็นชื่อของอาเขา เราก็นั่งเรียนกันอยู่ ทีนี้ไอ้คนที่ปีนรั้วขึ้นมา เราก็เห็นกัน ครูก็สังเกตนักเรียนหันบ่อยๆ ก็เห็นมันแล้ว มันก็มองมา มองทีละคนเลย จนถึงประจงนี่ มันก็ตะโกนขึ้นมา "จินตมัยจ๋า..ฉันรักเธอ" เราก็หัวเราะกันครืนเลยวัยรุ่นซ่ากันทุกสมัยเลยนะ
                แม้ว่าท่านผู้หญิงจะเป็นเด็กเรียนดี  แต่ท่านก็มีจุดอ่อนที่กีฬา ท่านเล่าว่า  ในสมัยนั้นมีแหม่มคนหนึ่งชื่อ แหม่ม Box เรียกกันว่ายมบาล (ท่าจะดุได้โล่) เวลาเรียกมาเข้าแถว..ต้องยืนตรง..เอามือขึ้นไว้ที่หน้าอก แล้วเอามือวิดกางออกไป  เราทำไม่เข้มแข็งท่านก็ให้ทำใหม่ ยังเถียงแหม่มอีกว่า "ถ้าทำแรงเดี๋ยวแขนหนูหลุด"...แหม่มคงเกลียดหน้าเรามาก ว่าเราเป็นพวกอ่อนแอ...ทีนี้มาวันหนึ่ง แหม่มก็ให้เราปีนต้นไม้ ต้นจามจุรีริมสระน้ำเล็กๆหน้าตึกเรียน...มันก็จะมีกิ่งที่มันโน้มลงมา แหม่มก็ให้เราปีนแล้วก็ให้เดินไปที่ปลายแล้วก็กระโดดลงมา...เราก็เข้าแถวกัน ก็คิดว่า...โอ้ย คุณแม่เราไม่อนุญาตให้ปีนอะไรเลยนะ มีแต่นั่งพับเพียบ แต่ก็เดินตามคนอื่นเขาขึ้นไป...ทีนี้ตอนเวลาที่จะกระโดด ก็ร้อง"หนูลงไม่ได้ ๆ" ครูก็บอกว่า "ไม่ได้ก็อยู่ไป.." คนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลังเราเขาก็กระโดดลงไปจนหมดเหลือเราอยู่คนเดียว ต้องรอให้ครูไปแล้ว เพื่อนจึงขึ้นไปช่วยท่านลงจากต้นไม้ 
อีกครั้งนึง แหม่มก็ได้ให้กระโดดข้ามท้องร่อง (สมัยนั้น วัฒนายังมีลักษณะเป็นสวน มีท้องร่องค่ะ)  เราก็สไตล์เดิม "หนูกระโดดไม่ได้ค่ะ"  แหม่มก็เหมือนเดิม คือกระโดดไม่ได้ก็อยู่ตรงท้องร่องนั่นแหละ ท่านจึงจำใจกระโดด แล้วก็เป็นเด็กคนเดียวที่ตกลงไปในน้ำ เพราะข้ามไม่พ้น  แหม่ม Box คงเป็นเค้าโครงของหนังเรื่องครูไหวใจร้ายใช่ไหมคะท่านผู้หญิง? 
                เรื่องที่น้ำชาชอบที่สุด คือท่านบอกว่าท่านเคยได้คะแนนศูนย์ในวิชาวาดเขียนซึ่งเป็นวิชาที่ไม่น่าจะมีใครได้ศูนย์ (เป็นเพื่อนกับน้ำชาผู้สอบตกในวิชาขับร้องเลย) สาเหตุที่ได้ศูนย์เป็นเพราะครั้งนั้น ครูสอนให้วาดจากวัตถุจริง คือให้วาดแจกัน โดยสอนให้เหยียดแขนสุดแล้วใช้ดินสอในมือเล็งแจกัน แล้วจุดลงบนกระดาษร่างเป็นเค้าโครง เป็นพื้นฐานศิลปะที่ทุกคนน่าจะได้เคยผ่านมา  แต่ท่านผู้หญิงของพวกเราผ่านมาอย่างเจ๋งที่สุดค่ะ ฮ่า ๆ ๆ (ขออนุญาตขำนะคะ) ก็ในเวลา 1 คาบวิชา คนอื่นเขาวาดเป็นแจกันส่งครูได้หมด มีแต่ของเด็กหญิงสุมาลีที่ดูไม่ออกว่าเป็นอะไร  ต่อให้ปิกัสโซ่ก็ยังไม่ cubism เท่าเลยค่ะ ตอนแรกที่ฟังท่านผู้หญิงเล่า ยังนึกภาพไม่ออก แต่น้ำชานึกตำหนิครูวาดเขียนแล้วว่าใจร้ายจัง  พอได้เห็นตัวอย่างที่ท่านวาดให้ดูแล้ว ชักเห็นใจครูขึ้นครามครัน  ตั้งชั่วโมงวาดได้แค่นี้น่ะนะ  มันคือ Sumalee’s Code หรือเปล่าคะ?
                พอการสัมภาษณ์เสร็จสิ้นลง พี่กาญจนากับพี่ปริศนาก็ขอตัวกลับก่อน เนื่องจากนัดเพื่อน ๆ ไว้ น้ำชาจึงกินขนมจีนซาวน้ำ 2 จาน โดยอ้างว่ากินเผื่อพี่ ๆ  แต่ไม่ค่อยมีคนเชื่อ ฮ่า ๆ ที่จริงขอสารภาพว่าปกติกินขนมจีนซาวน้ำไม่เป็นนะคะ  แต่ที่กิน 2 จานเพราะอร่อยและเขาจัดได้น่ากินมาก ๆ ค่ะ  นอกจากขนมจีนซาวน้ำแล้ว ก็มีปอเปี๊ยะทอดแสนอร่อย อร่อยจนอยากขอห่อกลับบ้าน ฮ่า ๆ ๆ ของหวานเป็นผลไม้รวมมิตร และไอติมรสแปลก ๆ ขิง กระท้อน และลูกหว้าค่ะ  น้ำชาชอบไอติมกระท้อนที่สุด รสขิง กับลูกหว้าแปลกลิ้นเกินไป แต่สรีวิมลชอบมาก บอกว่าของมีประโยชน์ น้ำชาเลยยกให้เธอกินของมีประโยชน์ เราเลือกของอร่อยไว้ก่อน จะมีหรือไม่มีประโยชน์ก็ช่าง

                ก่อนจะจากลากัน ท่านผู้หญิงได้ทิ้งท้ายไว้อย่างคมคายว่า ในโรงเรียนวัฒนานั้น เราถูกอบรมมาว่าให้มีการ"ให้"กัน ซึ่งการให้ต้องตั้งต้นด้วยความรัก  เราต้องรักกันก่อนแล้วจึงให้ซึ่งกันและกัน พี่ก็รักน้อง น้องก็รักพี่ พอเกิดการให้ด้วยความมีน้ำใจ..ก็จะนำไปสู่ความรักแล้วก็ทำงานร่วมกัน ดังเพลงลำธารเล็กๆ  ....โอ้จงให้โอ้จงให้.....ซึ่งเมื่อลำธารเล็กๆ มารวมกันก็จะเป็นลำคลอง ลำคลองมารวมกันก็เป็นแม่น้ำ แม่น้ำก็ไหลลงสู่มหาสมุทรที่กว้างดังใจของเรา  หากเพลงเหล่านี้ที่เราเคยร้อง...เมื่อเด็ก ๆ เราก็ร้องไปอย่างนั้นเอง...แต่เมื่อเรามีอายุมากขึ้นเราก็จะแปลความหมายเหล่านั้นได้
            พวกเราได้เห็นความงามอีกรูปแบบหนึ่งของท่านผู้หญิง คือความประพฤติงามต่อสังคม ผ่านกิจกรรมหลากหลายอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมที่ท่านผู้หญิงได้บำเพ็ญมาตลอดจนทุกวันนี้  เราอยากจะบอกว่าท่านเป็นลำธารเล็ก ๆ ที่งดงามและยิ่งใหญ่ลำธารหนึ่งค่ะ.

               
               
               
           
               


วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Bike@กระเพาะหมู กทม.

ผู้อ่านอาจจะคิดว่าฉันชวนไปกินกระเพาะหมูเจ้าเด็ด ไม่ใช่หรอกค่ะ ชวนไปขี่จักรยานต่างหาก ที่สวนบางกะเจ้า พระประแดง หรือที่หลาย ๆ คนเรียกว่ากระเพาะหมูเพราะรูปทรงพื้นที่
สวนนี้มีพื้นที่มากทีเดียว แล้วอยู่ไม่ไกลจากกทม. นักท่องเที่ยวต่างชาติรู้จักดีค่ะ โดยเฉพาะนักปั่นจักรยานเที่ยว พวกเขาได้ยกย่องให้เป็น
urban OASIS เลยทีเดียว
ฉันเองเป็นคนชอบขี่จักรยานเที่ยวอยู่แล้ว ถึงขี่แบบสะเปะสะปะ แต่ก็ชอบน่ะนะ แล้วเพราะความที่ขี่สะเปะสะปะเลยไม่ได้ขี่ในเมือง เนื่องจากเกรงใจผู้ใช้ถนนร่วมกันรายอื่น ๆ พออ่านเจอกระเพาะหมู...ก็สนใจ อยากจะไป ได้น้องชายใจดีเป็นไกด์พาไปครั้งแรก
นัดกับน้องชายที่ BTS บางนา 9 โมงเช้าค่ะ เช้าวันนี้ฝนตกตั้งแต่ 6 โมง อุณหภูมิเลยไม่สูงเหมือนหลายวันที่ผ่านมา เรานั่ง taxi จากฺ Bts ไปท่าน้ำบางนา ไปทางถนนสรรพาวุธ เพื่อขึ้นเรือข้ามฟากไปบางกะเจ้า นับว่าใกล้ทีเดียว แต่ถ้าไปทางรถยนต์จากบ้านก็ไกลมากค่ะ
เรือข้ามฟากนี้มีมอเตอร์ไซด์ข้ามด้วย เขาก็จัดระเบียบให้คนขึ้น-ลงก่อน แล้วรถตามทีหลังค่ะ ค่าข้ามฟากคนละ 4 บาท ส่วนรถไม่ได้ถาม ชาตินี้คงไม่ได้ขี่รถข้ามฟากเจ้าพระยา เลยไม่รู้จะถามไปเพื่อ?
พอลงจากเรือก็เจอที่ให้เช่าจักรยานเลยค่ะ จำอัตราเช่าไม่ค่อยได้แล้วค่ะ ไม่แพงหรอกค่ะ จักรยานก็มีสภาพโอเค ขี่ได้ปลอดภัย เบรกดี หัวไวมาก 555555 ทีแรกน้องชายบอกให้เอาคันโต ขี่ ๆ ไปต้องย้อนมาขอเปลี่ยนที่ร้าน คะเนดูแล้วไม่น่าจะรอด ดีที่เปลี่ยน แต่กระนั้นก็ยังไม่รอด...
แรกเริ่มก็ขี่ไปตามทางเล็ก ๆ กว้างไม่เกิน 1 เมตร ทีแรกคิดว่าทางแบบนี้คงระยะสั้น แต่ที่ไหนได้... เป็นทางวิบาก(สำหรับฉัน)ที่ทอดยาวไกลไม่รู้จักจบจักสิ้น โอ้ว..ถนนเป็นแบบนี้ทั้งบางกะเจ้าเหรอไงเนี่ยะ? ขี่ไปบ่นไปค่ะ
พื้นแผ่นซีเมนต์ยกสูงจากน้ำไม่ต่ำกว่าเมตร แต่ตัวแผ่นซีเมนต์ดันกว้างไม่เกินเมตร ตลอดทางมีรั้วเหล็ก 1 ด้านค่ะ อีกด้านเปิดโล่งตลอดล่อให้คนขี่จักรยานอย่างฉันตกหรือไงเนี่ยะ ขอบอกว่าขี่ด้วยความเครียดจริง ๆ ค่ะ ขี่ไปจูงไป 55555
แต่พอขี่ไปได้สักพักใหญ่ ๆ (มาก ๆ) จากความเครียดก็กลายเป็นความเคยชิน เลยพอจะขี่ได้บ้าง ขี่ไปก็พักถ่ายรูปไป ขี้เกียจจอดหยิบกล้องจากกระเป๋าเป้บ่อย ๆ เลยเอากล้องแขวนไว้หน้ารถ เนื่องจากจักรยานเล็กไม่มีตะกร้าไว้ของ
เจอคนขายล็อตตารี่ เอ้า..อุดหนุนสักหน่อย มีเลขท้ายที่ต้องการด้วยค่ะ ตามทางที่ขี่ไปก็จะมีสวนบ้าง บ้านคนบ้าง บางบ้านก็สวย เก๋กระทั่งประตูบ้าน มีบ้านหนึ่งเลขที่บ้านตรงกับเลขท้ายล็อตตารี่เลยแหละค่ะ ประตูบ้านสวยมาก
ไกด์นำทางมั่วสุด ๆ เจอทางตันบ่อยมากค่ะ บางทีก็ลุ้นระทึกเนื่องจากมีหมามาเห่าต้อนรับ ไม่ได้มาตัวเดียวนะเออ อีนี้ไม่รู้จะเลือกโดนหมาฟัดหรือว่ายอมลงน้ำดี? จะบ้าตาย... พอเจอทางตันที ก็ต้องกลับรถทีใช่ไหมคะ ทาง 1 เมตรนี่เอาจักรยานมาวางขวางยังไม่ได้เลย กลับรถทีก็ต้องลง แล้วค่อย ๆ ยกจักรยานให้กลับหลังหัน เห็นความลำบากของทางวิบากหรือยังคะ?
ไม่นับความจริงอีกอย่างหนึ่งว่าถึงฉันจะเป็นคนชอบขี่จักรยาน แต่ฉันนั้นเป็นนักขี่เจ้าถนนอ่ะค่ะ คือชอบที่กว้าง ๆ จะได้สะเปะสะปะได้สบาย ๆ นี่อะไร..มาขี่บนทางแคบ ๆ บางช่วงก็แคบลงไปอีกประมาณครึ่งเมตรมั้งคะ อย่าถามว่าแล้วขี่เข้าไปทำไม? ก็คุณไกด์นำไปยังไง ก็ต้องตามไปยังงั้นอ่ะค่ะ จะกลับไปเองก็จำทางไม่ได้แล้ว
พอมาเจอถนน (ในที่สุด) ก็เกิดความลิงโลด ขี่ด้วยความสุขสำราญเป็นที่ยิ่งจนน้องชายต้องตีรถคู่มาบอกว่า...ขี่ชิดในหน่อยเจ๊ แล้วยังบอกว่าจะกลับไปทางเดิมดีกว่า แต่หัวเด็ดตีนขาด ฉันไม่ยอมกลับไปใช้ทางเล็ก ๆ นั้นอีกแล้ว ถ้าจะต้องตาย ขอตายบนถนนกว้าง ๆ นี่ดีกว่าตายเพราะตกถนนแคบ ๆ
ขี่มาด้วยความสำราญสักพักเพิ่งรู้ตัว...จ๊ากกล้องถ่ายรูปที่หน้ารถจักรยานหายไปไหนเนี่ยะ ตะโกนบอกน้องชาย แล้วสองศรีพี่น้องก็ปั่นย้อนทางกลับไปหากล้อง น้องปั่นเร็วมากค่ะ แป๊บเดียวหายไปไหนไม่รู้ ไอ้เราก็เลยต้องรีบปั่นไปด้วย ปั่นไปมองหากล้องตามถนนไป รู้ตัวอีกที...ลงไปนอนบนฟูกธรรมชาติเรียบร้อยแล้ว
ขอบคุณเจ้าวัชพืชที่ขึ้นหนาแน่นตรงจุดนั้นพอดี ถ้าไม่มีเจ้า..ลงได้ลงอาบน้ำในคูแน่ ๆ ค่ะ แต่ไหน ๆ เจ้าจะมาช่วยแล้วทำไมต้องเป็นพันธุ์ที่โดนแล้วคันด้วย???? เหลียวมองไปรอบ ๆ โอ้วววว นี่ฉันเป็นดารานำในเรื่อง home alone หรือไงเนี่ยะ? ไม่มีผู้คนเลย? ตะเกียกตะกายลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ไม่ใช่ตัวคนเดียว แต่กับอีก 1 คันรถต้องพากลับขึ้นมาบนถนน โชคดีนักหนาที่ไม่มีบาดแผล กระดูกกระเดี้ยวไม่แตกหัก แต่..แต่..คันโครต ๆ อ่ะ แล้วฉันจะเอาน้ำที่ไหนล้างตัวล่ะเนี่ยะ?
ขี่ ๆ ไปสักพักเจอบ้านค่ะ เหมือน ๆ จะเป็นร้านอาหารรึเปล่า? เข้าไปกะจะขอเขาใช้น้ำประปาล้างตัวหน่อยนึง แต่ไม่มีผู้ใดอยู่เลย จำต้องถือวิสาสะเปิดน้ำ (อยู่หน้าบ้านค่ะ) พอได้ล้างจนหมดความคันแล้วก็ไปต่อค่ะ ออกมาถึงทางแยก เอ๊ะ..ซ้ายหรือขวาหว่า? ตัดสินใจเลี้ยวซ้าย เพราะจิมมี่ เหลี่ยวบอกว่าผู้หญิงต้องเลี้ยวซ้าย (ผู้ชายเลี้ยวขวา) ได้เรื่องซิคะ เลี้ยวผิด พอดีน้องชายกลับพอดี รีบปั่นตามพี่สาวที่เลี้ยวผิด 55555
สรุปว่าหากล้องไม่เจอค่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอกเนอะ ถ้ากล้องยังอยู่กับรถก็เสียหายตอนที่ตกคูอยู่ดี คิดบวกค่ะ คิดบวก แล้วพี่น้องก็ขี่เที่ยวต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผ่านตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง แต่ไม่ได้แวะเพราะเคยมาแล้ว อาหารไม่อร่อยค่ะ
ขี่ได้สักพักหนึ่งก็วนกลับมาที่ท่าเรือแล้ว เป็นการจบทริปผจญภัยครั้งนี้ ถามว่าปอดได้สูญโอโซนบริสุทธิ์รู้สึกอย่างไรบ้าง ตอบไม่ได้ แต่ช่วงขี่จักรยาน 3 ชั่วโมงเป็นช่วงเวลาที่ได้ปลด-ปล่อยและวางทุกเรื่อง เพราะต้องมาโฟกัสกับเส้นทางแทน เป็นความประทับใจค่ะ ถ้ามีโอกาสก็คงกลับไปขี่รถเล่นอีก แต่คงไม่ไปทางแคบ ๆ นั่นแล้วค่ะ เครียดจริงไรจริง เหอ ๆ แล้วก็คงไม่แขวนกล้องไว้กับหน้ารถจักรยานอีก บทเรียนมีไว้ให้หลากจำ จำไว้ ๆ

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ลูกโป่ง

ฉันเดินไปตามถนนสายชีวิต มีผู้ส่งลูกโป่งให้มากมาย
ฉันมีความสุข และเพลิดเพลินกับลูกโป่งลูกแล้วลูกเล่า
ลูกโป่งบางลูก...หลุดลอยไปเมื่อตอนเผลอ
ฉันร้องไห้เสียดายไปเท่าไร มันก็ไม่กลับมา
เมื่อเดินไปได้สักพัก ก็สร่างความโศกเศร้า
ลูกโป่งลูกใหม่ถูกเสนอเข้ามา
บางลูกก็ค่อย ๆ แฟบลมคามือฉัน
ฉันวางทิ้งไว้ข้างทาง
บางลูกก็แตกโพล๊ะไปซะงั้น

...
ทุกครั้งที่ลูกโปงแต่ละลูกมีอันเป็นไป
รอยยิ้มได้จากไปจากใบหน้าของฉัน
ริ้วรอยแห่งการรับรู้ความทุกข์ของชีวิตก็เพิ่มขึ้น

ฉันไม่ตื่นเต้นกับลูกโป่งใบใหม่ ๆ อีกต่อไป

แต่ก็ยังคงรับลูกโป่งใบใหม่ ๆ ตามรายทาง
ด้วยความรู้สึกที่เฉยชากว่าเดิม
ไม่ยึดติดเมื่อมันหลุดลอย หรือมีอันเป็นไป

จนเมื่อไม่นานมานี่ ณ ที่เกือบสุดถนน
ฉันรับลูกโป่งมาใบหนึ่ง
ลูกโป่งที่แสนธรรมดา ไม่แตกต่างจากลูกโป่งที่แล้ว ๆ มา

แต่เพราะความเหนื่อยล้า ฉันจึงเดินช้าลง
และเล่นกับลูกโป่งในมือมากขึ้น
โดยไม่รู้ตัว ลูกโป่งใบนั้นกลายเป็นลูกโป่งแสนสวย
กลายเป็นลูกโป่งที่สร้างความสนุกให้กับชีวิตอย่างมากมาย

หลายครั้งที่มีลมพัดแรง
มีของมีคมปลิวมากับพายุนั่น
ฉันจะพันด้ายลูกโป่งไว้กับมือหลายทบเพื่อยึดไว้ให้มั่น
ฉันจะหันหลังรับสิ่งต่าง ๆ
กอดถนอมลูกโป่งนั้นไว้ในอ้อมแขน
ไม่ยอมให้มันแตกไปได้

วันที่ฉันจะปล่อยลูกโป่งลูกนี้
จะเป็นวันที่ฉันถึงสุดถนนสายนี้
ฉันจึงพร้อมจะปล่อยมัน....
พร้อม ๆ กับลมหายใจของฉัน

นิทานดอกจำปาลาว

เป็นนิทานที่แต่งสด ๆ สมัยที่พี่ลียังอยู่ คุยไปแต่งไปสด ๆ  ตอนนี้เอามาเก็บไว้เพื่อระลึกถึงเพื่อนผู้เป็นที่รักยิ่ง T^T

มีคน ๆ หนึ่งอาศัยอยู่ตามลำพังในกระท่อมเล็กอยู่ตามลำพังจากวันเป็นเดือนเป็นปีแต่เขาไม่ได้หม่นหมองเศร้าสร้อย  เพราะจริง ๆ แล้ว เขาไม่ได้อยู่คนเดียว เขามีความสุขกับสิ่งที่เขามี
เป็นต้นไม้เล็ก ๆ ต้นหนึ่ง ที่ส่งกลิ่นหอมซาบซ่านใจ เขารดน้ำ พรวนดิน ให้ปุ๋ย และมีความสุขกับการเฝ้ามองต้นไม้นี้ออกดอก  ดอกโตแล้วก็ร่วง ดอกแล้วดอกเล่า เขาเล่าเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตของเขาให้ต้นไม้ฟังและเขาก็ฟังต้นไม้เล่าถึงเรื่องต่าง ๆ ที่ต้นไม้รู้เหมือนกัน

บ้านเขามักปิดเงียบเขาไม่ได้ออกจากบ้านหลังนี้ไปนานเท่าไรแล้วไม่มีใครรู้แต่ก็นานทีเดียว จนกระทั่งเพื่อนบ้านผู้หวังดีเข้ามาเยี่ยมเยียน
นี่แก...จะไม่คิดออกไปเที่ยวมั่งเหรอไง ทุ่งดอกกระเจียวกำลังเบ่งบานทางทิศตะวันออก ทุ่งทานตะวันก็กำลังเบ่งบานทางทิศตะวันตก แกจะมัวนั่งดูดอกไม้ไม่กี่ดอกนี่ทำไม ไป .. ข้าไปเป็นเพื่อนแกก็ได้

เขาจะปฏิเสธ แต่ก็เกรงใจเพื่อนบ้านผู้หวังดีนั้น เมื่อเขาจะต้องออกจากห้องไปเพื่อไปเที่ยวทุ่งกระเจียวและทานตะวัน เขาก็มองต้นไม้ของเขาด้วยสายตาละห้อย แต่ที่สุด เขาก็ตัดใจปิดประตูแล้วออกเดินทางไป

ยิ่งห่างจากบ้านหลังเล็ก ใจของเขากลับยิ่งชิดใกล้ เขาฟังเพื่อนบ้านคุยแทบไม่รู้เรื่อง ในโสตประสาทของเขามีแต่เสียงของต้นไม้ที่บ้าน และเมื่อเขามาถึงทุ่งกระเจียว ภาพของดอกไม้สีม่วงนับไม่ถ้วนดอก เป็นทุ่งอลังการอันน่าตื่นตา สายลมอ่อนที่พัดพาดอกกระเจียวเอนลู่ มันได้หอบกลิ่นแปลกปลอมมาด้วย เขารู้สึกแปลกที่ขึ้นมาในบัดดลแทบจะทนยืนต่อไปไม่ไหว
  
กลับเหอะ...เขาบอกเพื่อน
เฮ่ย เพิ่งมาถึง
ข้าไม่ชอบสีม่วง  มันให้ความรู้สึกหดหู่
  อ้ะ ไม่ชอบดอกไม้อารมณ์เกย์นี่เอง งั้นไปทิศตะวันตกละกัน ไปดูดอกทานตะวัน รับรองแกต้องชอบแน่

ทั้ง ๆ ที่เขาอยากกลับบ้าน แต่ด้วยความเกรงใจ เขาจึงเดินทางไปชมทุ่งทานตะวัน ใช้เวลาหลายวันทีเดียว มาถึงทุ่งสีเหลืองในยามเช้า เขาได้เห็นตั้งแต่ดอกไม้หน้าใหญ่ที่ก้มหน้าลง ค่อย ๆ เงยรับแสงตะวัน และเบ่งบานไปเต็มที่ สีเหลืองอร่ามเหมือนโลกนี้ทาด้วยทอง
  
ในชั่วโมงแรก ๆ เขาตกอยู่ในมนต์มหัศจรรย์ จนถึงกับเดินเข้าไปในดงดอกไม้ใหญ่ กางแขน หมุนตัวไปรอบ ๆ หลับตาซึมซับอารมณ์ทานตะวัน

  เป็นไงเพื่อน ชอบชิมิเพื่อนบ้านถาม
  
เขาไม่ได้ตอบ แต่ภาพดอกไม้สีเหลืองในตาของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนไป สีขาวสะอาดค่อย ๆ ตีวงล้อมนำพาสีเหลืองทองมากระจุกจาง ๆ กลางดอก...
  
เขาอมยิ้ม ไม่พูดอะไร  เพื่อนเขาถามว่าที่ทิศเหนือยังมีทุ่งดอกป๊อปปี้นะ
เขาโอบกอดเพื่อนไว้ แล้วบอกเพื่อนว่า เพื่อนเอ๋ย  ขอบใจนะ แต่ข้าเกรงใจแก ต้องมาเสียเวลาทำมาหากิน พาข้าชมดอกไม้ เอางี้เพื่อนบอกทางมา เดี๋ยวข้าไปเองละกัน  
เพื่อนบ้านก็รีบบอกทางไปชมทุ่งป๊อปปี้ที่ทิศเหนือ  และยังแถมทุ่งทิวลิปที่ทิศใต้อีก สองเกลอก็แยกย้ายกันไป

เขานั่งพัก เหนื่อย พอเพื่อนคล้อยหลังไป เขาก็รีบวิ่งไปทันที แต่เขาไม่ได้วิ่งไปทิศเหนือ และไม่ได้วิ่งไปทิศใต้ เขาวิ่งกลับไปที่กระท่อมของเขา เมื่อเขาเปิดประตูออกมา  ก็ถลา ไปดูต้นไม้ของเขาทันที
  
น้ำตาเขาไหล ต้นไม้ไม่มีคนรดน้ำหลายวัน  ดอกไม้ร่วงหล่นรอบ ใบและลำต้นก็หงอย เขากอดต้นไม้นั้น ร้องไห้ด้วยความคิดถึงเป็นล้นพ้น เขาไม่เคยลืมต้นไม้ของเขาเลย จะลืมได้อย่างไรในเมื่อกลิ่นหอมเย็นของต้นไม้เขาลอยไปถึงทุ่งกระเจียว และสีขาวของดอกไม้ก็ผ่านไปละลายสีเหลืองของดอกทานตะวันจนเหลือมากระจุกตรงกลาง

เพราะน้ำตาเขาช่างมากมาย ในไม่ช้า ต้นไม้ก็เริ่มตั้งตรง  ใบไม้ก็เริ่มชูช่อ   
ดอกไม้ก็ค่อย ๆ แย้มออก เป็นแบบนี้….

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

เที่ยวจตุจักรกับป้าจี

What a fun trip!

ก่อนหน้าวันนัด 1 วันให้จิ๋มโทรหาป้าจี เผื่อเปลี่ยนใจ เพราะว่ามันร้อนมาก แต่ป้าจีก็ยืนยันว่าจะไปตามกำหนดเดิม บอกให้ไปที่บ้าน จะส่งรถไปรับไปเจอกันที่สปอร์ตคลับเพื่อไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน ทีแรกพี่ชาติเอารถคันเก่าออก แต่ให้ตายเหอะซาตาน...มันร้อนมากเพราะแอร์เสีย ถามพี่ชาติว่าทำไมเอารถคันนี้ พี่ชาติบอกว่าป้าจีสั่ง แล้วป้าจีไม่รู้เหรอว่าแอร์มันเสีย? พี่ชาติบอกว่ารู้ แต่ก็ยังยืนยัน นั่งไป รถก็ติดสาหัส ยิ่งรู้สึกเหมือนอยู่ในเตาอบ ฉันเลยพูดว่า..ป้าจีจะเป็นลมไหมเนี่ย พี่ชาติตัดสินใจเลี้ยวรถกลับบ้านไปเปลี่ยนรถทันที 555555
เพราะต้องเลี้ยวรถกลับไปเปลี่ยน แล้วกว่าจะย้ายสมบัติได้หมด ก็เลยไปถึงช้าหน่อย ป้าจีนั่งรออยู่แล้วค่ะ ทันทีที่เห็นรถ ป้าจีถามว่าจะเอาต้นไม้ไว้ในรถได้หรือ? พี่ชาติตอบว่าได้ไม่มีปัญหา แต่ฉันว่าป้าจีกลัวรถเลอะมากกว่า ขับออกมาผ่านสยามพารากอน ป้าจีบอกว่าไปกินข้าวกันก่อนไหม ใจจริงฉันอยากบอกว่าอย่ากินที่นี่เลยค่ะ กลัวอดไปเที่ยวจตุจักร แต่คิดว่าป้าจีอาจจะหิว แล้วถ้าไปนั่งกินที่ไม่มีแอร์ อาจจะป่วยได้ เลยตอบตกลง ความที่ฉันไปเดินพารากอนน้อยมาก ส่วนมากก็เดินแบบฉาบฉวยเลยไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ตรงไหน คนก็เยอะเต็มเกือบทุกร้าน มาเจอร้านว่าง ๆ เป็นร้านอิตาเลี่ยน เลยเข้าไปนั่งกินพิซซ่ากันคนละชิ้น พิซซ่าเขาแป้งบาง อร่อยมากค่ะ ป้าจีบอกว่ารู้งี้น่าจะสั่งมา 1 ถาดเลย ฉันกิน 1 ชิ้นก็อิ่มพอดี แต่ป้าจียังไม่อิ่ม เลยเดินไปซื้อไส้กรอก aunty ann’s แล้วก็ออกไปรอรถ พี่ชาติบอกว่าจะไปเอารถมารับ
ฉันนับถือพี่ชาติจริง ๆ หาป้าจีเก่งมากค่ะ พี่ชาติบอกว่าลืมเอามือถือมา น่าจะลืมไว้ในรถคันที่เปลี่ยน ออกมาหน้าประตูไม่มีที่นั่ง และเป็นฝั่งขาเข้า ป้าจีเลยบอกว่าเราเดินข้ามถนนไปที่เกาะดีกว่า รอไปสักพัก ป้าจีบอกว่าหรือว่าชาติจะมารับฝั่งโน้น? 55555555 ใช่จริง ๆ ด้วยค่ะ อีกสักพักใหญ่เห็นรถมาทางฝั่งโน้นจริง ๆ เลยต้องจูงป้าจีเดินกลับไป ยังไม่ทันถึงจตุจักรเลย เดินเยอะแล้ววววว
รถติดมากค่ะ นึกดีใจที่พี่ชาติเปลี่ยนรถ ไม่งั้นป้าจีอาจจะเปลี่ยนใจกลับบ้านเพราะรถคันนู้นร้อนมาก พอไปถึงเราก็เข้าไปที่เขาขายต้นไม้ ตามรอยพี่เก็จเลย ทำให้คิดถึงพี่เก็จมาก วันนี้ฉันไม่ได้ใส่หมวกมา ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ใส่มา อาจจะเพราะคิดว่าป้าจีอาจจะเปลี่ยนใจไม่เดินจตุจักรเอานาทีสุดท้าย เนื่องจากอากาศร้อน แม่ฉันเปลี่ยนใจบ่อย ๆ ค่ะ เดินลงจากรถ พร้อมอุปกรณ์รถเข็นแล้วก็พร้อมลุยละ พี่ชาติเอารถไปจอด ฉันก็เดินใกล้ ๆ ป้าจีแบบประกบติด แต่กระนั้นก็ยังถ่ายรูปไปด้วย มันไม่เกิดขึ้นง่ายนักกับการมาเที่ยวเจเจกับผู้สูงอายุขนาดนี้ (อีกไม่กี่ปีก็แตะศตวรรษแล้ว) ฉันต้องทนุถนอม และระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุใด ๆ ยิ่งตอนนี้อยู่กันสองคน ความรับผิดชอบก็ยิ่งสูง แต่เดินไปสักพักก็ไม่รู้สึกเป็นภาระหนักใจอะไรเลย เพราะป้าจีเดินดูต้นไม้ไปเรื่อย เมื่อยก็นั่งพัก ทุกจุดที่นั่งพักจะทักทายแม่ค้าพ่อค้า บางทีก็ซื้อค่ะ เมื่อซื้อของได้ พี่ชาติจะโผล่มาราวกับใช้ประตูวิเศษโดเรมอนเพื่อเอาของไปเก็บที่รถ
“อ่องจะซื้ออะไร?” ป้าจีถาม ฉันตอบว่ารอส่งป้าจีกลับบ้านก่อนแล้วฉันถึงซื้อค่ะ “ไม่เอา พาป้าไปด้วยซิ” 5555555555 ไม่เอาอ่ะค่ะ อ่องเลือกนานด้วย แล้วร้านอยู่ในตรอก อีกต่างหาก ป้าจีก็เดินไปเรื่อย เหมือนพี่เก็จ ตาดูต้นไม้ต่าง ๆ อย่างเพลิดเพลิน แวะบ่อยหน่อย แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร ดูแลง่ายกว่าที่คิดเยอะเลยค่ะ


ตอนแรกที่มา ป้าจีบอกว่าจะมาหาซื้อต้นเฟื่องฟ้า แต่กลับไม่ได้เฟื่องฟ้าสักต้น ไปได้ต้นมะกรูด ส้มโอมือ และอะไรอีกต้นก็ลืมแล้ว เป็นพืชสวนครัวทั้งสิ้น แดดร้อนมากกกกก ฉันล่ะนับถือความทรหดของป้าจีจริง ๆ ค่ะ เดินเหมือนชิล ๆ ในพารากอน แต่ฉันต้องคอยระวังรถราให้บ้าง ใครที่เคยไปซื้อต้นไม้ในจตุจักรคงจะรู้นะคะว่าถนนสองฟากจะมีต้นไม้วางขาย แล้วตรงกลางที่เหลืออยู่นิดหน่อยเป็นที่ๆ คนกับรถใช้ถนนร่วมกัน ...แต่กระนั้นก็ยังมีอารมณ์ถ่ายรูป 55555555
เมื่อซื้อต้นไม้เสร็จ ป้าจีคงเหนื่อยแล้ว ยังต้องเดินทะลุตรอกไปขึ้นรถอีก แต่ข้างในร้านปิดหมด คนเลยไม่ค่อยมี เดินง่ายหน่อยค่ะ พอขึ้นรถแล้วฉันก็บอกว่าเดี๋ยวฉันจะลงเลย เพราะจะไปซื้อของต่อ ของตัวเองยังไมได้ซื้อ ป้าจีบอกว่าป้าไปด้วย ฉันไม่โอเค ป้าจีเลยบอกว่างั้นไปอตก.กัน อะนะ ป้าจียังไมเหนื่อยเหรอคะ
ก็เลยตกลงไปอตก.กับป้าจีก่อน ไปถึงปุ๊บป้าจีก็นั่งที่ร้านเจ้าประจำ คุยนู่นนี่กับแม่ค้า เขาบอกว่ามะพร้าวคั่วที่ป้าจีจะซื้ออยู่สุดตลาดนู่น ป้าจีบอกว่าจะขึ้นรถให้พี่ชาติขับไปดีกว่า ดูแล้วไกล๊ไกล 55555555 พี่ชาติบอกข้างหน้าหาที่จอดยาก ทีแรกฉันจะอาสาไปซื้อให้ แต่กลับบอกป้าจีว่าเดินไปกันเถอะค่ะ แวะนั่งไปเรื่อย ๆ ป้าจีก็...เอ้า ไปก็ไป ฮึบ ๆ สู้ว้อย (คำหลังฉันเติมเอง 55555)
ป้าจีแวะนั่งทุก ๆ 4 ร้าน แล้วก็ซื้อของทุก ๆ ป้ายที่หยุด 5555555 ป้าจีแซวตัวเองว่า shopping ทุกป้ายเลย ในที่สุดก็ถึงปลายตลาด ป้าชวนว่ากินก๋วยเตี๋ยวกันไหม ฉันลังเล เพราะกลัวว่าไม่สะอาด แล้วตอนนี้อากาศก็ร้อนมาก เกิดป้าจีไม่สบายจะไม่คุ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ป้าจีคงคิดเหมือนกัน เลยเดินไปจนถึงร้านเมี่ยงคำ ซื้อของด่านสุดท้าย
พอขึ้นรถ ฉันก็บอกพี่ชาติว่าเดี๋ยวฉันจะลงทันทีที่ถึงถนนใหญ่นะ ป้าจีบอกว่าจะไปไหน ฉันบอกว่าจะไปซื้อของที่เจเจมอลล์ค่ะ ป้าจีเลยให้รถวนไปส่ง ทั้ง ๆ ที่ฉันบอกว่าเดินไปเองได้ค่ะ ป้าจีเป็นห่วงว่าข้ามถนนจะไม่ปลอดภัย ฉันบอกว่าฉันไม่ข้ามถนน แต่ลงใต้ดินทะลุไปได้ แต่ป้าจีก็ยังยืนยันว่าจะไปส่ง บนรถก็ได้คุยกันหน่อยนึง เรื่องอะไรก็จำไม่ได้แล้ว แต่ประโยคหนึ่งป้าจีบอกว่าป้าไม่อยู่กลุ่มใครหรอก...แล้วเงียบไปพักนึง...ป้าอยู่กลุ่มอ่อง 5555555 ป้าจีขา ขอบคุณที่ป้าจีให้ความเมตตาเอ็นดูขนาดนี้นะคะ
รถใกล้ถึงเดอะมอลล์ ป้าจียังว่า..ป้าไปซื้อของด้วยคน ป้าจีขา...ยังไม่เหนื่อยอีกเหรอคะ? 55555555 จริง ๆ ฉันจะไปร้านบางไทร แต่ขอลงมอลล์เพื่อเข้าไปกักความเย็นไว้ในตัวสักพักน่ะค่ะ แล้วจากจุดนี้ไปบางไทร เดินไกลพอตัว ไม่มีทางที่ฉันจะยอมให้ป้าจีไปด้วยแน่ ๆ
กว่าจะไปถึงร้าน กว่าจะเลือกกระดาษเสร็จ จนเวลาปิดร้านของเขาเลย เป็นครั้งแรกเลยที่เดินจตุจักรจนเขาปิด 5555555 ขากลับนั่งรถเมล์กลับบ้าน เห็นพระจันทร์ดวงโตมาก คว้ากล้องมาถ่าย กลับถึงบ้านเอาขึ้นคอม โอววววว แม้แต่พระจันทร์ก็ยังรักฉัน? 5555555555 มีความสุขจัง