วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เพราะเราดี เขาจึงรักเรา หรือเพราะเขารักเรา เราจึงดี?

อำลานายกเจน

วิถีชีวิตของคนเรามักจะมีเรื่องชวนฉงนฉงาย บางเรื่องก็มีความลี้ลับ บางเรื่องแม้จะไม่ลี้ลับอะไร แต่ก็ไม่น่าจะเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ เช่นกรณีที่ฉันได้ไปร่วมงานเลี้ยงส่งนายกสวว.เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เป็นอะไรที่ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะมีสิทธิ์มีเสียงได้โผล่หน้าไปในงานแบบนี้มาก่อน เนื่องจากได้ยินมาว่าเป็นงานเลี้ยงภายใน มาทราบภายหลังว่าพี่จ๋อได้เสนอพี่โอ๊ะให้ชวนฉันไปเซอร์ไพร้ส์พี่เจน พี่โอ๊ะก็เห็นดีเห็นงามไปตามทรามวัย เลยส่งเมลมาชวนฉันไป เมลพี่โอ๊ะใช้คำที่ทางการซะจนฉันออกจะไหวหวั่น 55555 เลยต้องถามให้แน่ก่อนว่าจะให้ฉันไปทำอิหยัง ใครที่รู้จักฉันดีจริง ๆ จะรู้ว่าฉันเป็นคนแพ้ spotlight อย่างแรง แต่หลังจากได้เมลอีกฉบับที่พี่โอ๊ะกรุณาตอบอย่างละเอียด ก็ค่อยเบาใจลงเล็กน้อยว่าคงไม่มีอะไรอย่างที่หวาดหวั่นไว้ แต่ก็ยังอุตส่าห์ไปดักคอกิ๊กจ๋อไว้ล่วงหน้าว่าห้ามสัมภาษณ์ข้าพเจ้ายาวนะ เพราะเป็นคนขาดความมั่นใจจริง ๆ ค่ะ   เรื่องให้พูดต่อหน้าฝูงชนเป็นอะไรที่.......นพพรไม่เคยยินยอมพร้อมใจ... แต่ดู ๆ รายการที่พี่ ๆ เขาเตรียมไว้ ก็เห็นจะต้องยอมตกเป็นเป้าสายตาเล็กน้อย  เอาน่า...มันก็แค่ช่วงสั้น ๆ เท่านั้นเอง นางเอกของรายการน่ะคือพี่เจน ยังไงเสียคนก็ต้องโฟกัสที่นางเอกมากกว่าตัวประกอบอยู่แล้ว

ฉันต้องขอบคุณพี่โอ๊ะที่เชิญมางานดี ๆ อย่างนี้ตามคำยุยงของพี่จ๋อ ก่อนหน้าฉันได้ยินเรื่องราวความขัดแย้ง การปีนเกลียวระหว่างพี่ ๆ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนชุดกรรมการบริหาร แต่ได้ยินพี่จ๋อพูดกับพี่เจนว่า...งานนี้พี่โอ๊ะตั้งใจจัด-ขึ้นเพื่อให้พี่ ๆ น้อง ๆ ที่มีเรื่องกระทบกระทั่งกันได้ realize ว่า...แท้ที่สุดแล้วทุกคนก็รักโรงเรียน ที่ทำงานกันอยู่ก็เพื่อโรงเรียนอันเป็นที่รักนี่เอง  ไอ้พวกเปลือก ๆ ทั้งหลายหรือจะมีความหมายเท่ากับแกนใน? - จริงอยู่ว่าเปลือกมันสำคัญ เพราะมันแลเห็นได้ง่าย ไม่ต้องคิดอะไรก็มองเห็นแล้ว แต่มันไม่ใช่ของแท้ 

นัดพี่จ๋อไว้ 11 โมงที่ล็อบบี้โรงแรม ฉันก็ไปถึงตรงเวลา เพียงแต่ว่าล็อบบี้โรงแรมเนี่ยะ มันเป็นบูมเมอแรง แล้วพี่จ๋อนัดไว้ตรงไหนเนี่ยะ เดินหาอยู่รอบนึงไม่เจอ ก็เลยโทรเข้ามือถือแจ้งพี่จ๋อ แล้วเข้าห้องน้ำ ออกมาก็เห็นพี่จ๋อกำลังเดินหา 5555 พี่จ๋อพาขึ้นไปบนชั้นที่...เท่าไรหว่า? จำบ่ได้แล้ว....เป็นห้องอาหารจีนชื่อ Summer Palace ค่ะ พี่ ๆ บางคนมาถึงก่อนแล้วเช่นพี่โอ๊ะ  พี่เอ๊ะ   พี่บุษ     พี่กุ้ง กำลังเตรียมติดตั้งจอ projector ก็มีโต๊ะกลม 3 โต๊ะ ฉันยืนดูพี่ ๆ เขาทำงานกันอยู่ พี่บุษก็มาสะกิดว่าเดี๋ยวอ่องนั่งโต๊ะนี้นะ ...โต๊ะที่พี่บุษบอกมันคือโต๊ะกลางค่ะ คาดว่าพี่เจนคงนั่งโต๊ะนี้ ฉันก็รับคำไป แต่คิดว่าถึงเวลาจริง ๆ จะไปนั่งโต๊ะอื่น เนื่องจากว่าเราเด็กสุด และอีกอย่างนั่งใกล้พรรคพวกจ๋อไว้ก่อนน่าจะดีกว่า 5555555

ระหว่างนี้พี่ ๆ ก็ทยอยกันเดินเข้ามาเรื่อย ๆ ฟังได้ไม่ครบว่าพี่ ๆ ชื่ออะไรกันมั่ง ฉันคิดว่าอินเตอร์เน็ตมีส่วนทำให้เรากลายเป็นโรคสมาธิและความจำสั้น (ทำไมไม่ยอมรับความจริงว่าแก่เลี้ยวก็หลงลืมงี้แหละ 555555)  ฉะนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ก็ขอข้ามขั้นตอนชื่อไปเลยนะคะ

ห้องเลี้ยงดูดี มีกระจกรอบ เวลาถ่ายฉากหนึ่งจะเก็บอีกฉากได้ ...เจ๋งค่ะ แต่ที่ไม่ค่อยชอบคือแสงน้อยไปหน่อย เพราะฉันเป็นคนที่ถ่ายรูปไม่ชอบใช้ flash เมื่อแสงน้อย..เราก็ต้องทำมือให้นิ่ง รวมทั้งคนที่ถูกถ่ายภาพก็ต้องนิ่งด้วย  งานนี้พี่จ๋อไม่ได้เอากล้องใหญ่มา สงสัยจะแพคกล้องเข้ากระเป๋าเตรียมตัวไปพม่าแล้วล่ะมั้ง หรือไม่ก็...ขี้เกียจหิ้วมา....เพราะกล้องใหญ่ก็หนักอยู่

เผลอแป๊บเดียวก็นั่งกันเต็มห้องแล้ว โต๊ะที่คนน้อยสุดคือโต๊ะหน้าจอ Projector ค่ะ ฉันกับพี่จ๋อเลยตกลงใจนั่งโต๊ะนี้แหละ ตอนนี้พี่ ๆ ก็คุยกันมั่ง นั่งดูอัลบั้มที่พี่จ๋อทำมาให้พี่เจนมั่ง ซ้อมเพลงเธอคนนี้คือคนพิเศษ กับ That’s what friends are for มั่ง  เรียกว่าใครใคร่ทำอะไรก็ทำ ฉันใคร่จะกินแล้ว แต่อาหารยังไม่มา 55555 เลยจิบน้ำเก๊กฮวยก่อน ในที่สุด นายกเจนก็ปรากฏกายค่ะ พร้อมกันนั้นอาหารก็เริ่มยกเข้ามาตั้ง แต่เราชาววัฒนายังกินไม่ได้...ต้องร้องเพลงโมทนาอาหารประจำวันกันก่อน

หลังจากนั้นก็เริ่มกินอาหาร กินไปได้สักพัก พี่ ๆ ที่มีหน้าที่ดำเนินรายการ คือพี่แดงพงษ์ทิพย์ พี่ด้าชลลกา ก็เริ่มดำเนินรายการ ต้องขออภัยที่ฟังไม่รู้เรื่องเลยค่ะ เพราะจุดที่พี่ ๆ เขายืนคือระหว่างโต๊ะที่ฉันไม่ได้นั่ง ...เฮ้อ...เกิดมาพร้อมหูที่เอาไว้หายใจ...กินต่อไปดีกว่า 5555 พี่พจน์สามีพี่จ๋อย้ายมานั่งข้าง ๆ บอกว่าเดี๋ยวจะพากย์ให้ แต่พอเอาเข้าจริง กลับเปลี่ยนใจไม่พากย์ซะงั้น แฮ่มมมมม

แต่พี่โอ๊ะใจดีกว่า เมลมาเล่าให้ฟังถึงบรรยากาศตอนที่ฉันกับพี่จ๋อโดนเนรเทศไปแปลงกายนอกห้อง ว่าพี่เจนได้เล่าให้ฟังถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ประสบมา 14 ปีที่ทำงานกับสวว. มีไฮไลท์คือการเลียนคาแรคเตอร์ของสวว.หลายคน เช่นพี่จุ๋มอรุณี พี่เต่า ตลอดจนจุดเด่นของทุกคนที่กอดคอทำงานร่วมกันมาเช่น พี่กุ้งมาณวิกาจะเป็นลักษณะเสี่ยสั่งลุย พี่โอ๊ะพี่เอ๊ะก็...เจอพี่ต้องเจอน้อง ตัวติดกันประมาณแฝดสยาม พี่แดงปริศนา..พี่สั่งมาน้องทำให้ทู้กอย่าง พอ ๆ กับพี่แดงพงษ์ทิพย์ อยากได้อะไรขอให้บอก เดี๋ยวแดงจัดให้ สรุปว่าพี่เจนสมพงษ์กับสีแดงอันเป็นสีของโรงเรียนเรา อิอิ พิธีกรได้สรุปจุดเด่นของนายกลานทิพย์ว่า 1.มีความอดทน อันนี้จริงที่สุดค่ะ ถึงฉันจะได้เข้ามาสัมผัสพี่เจนในปีสุดท้าย ฉันก็มองเห็นว่าพี่เจนต้องอดทนมากเพียงไหน ไม่เท่านั้นยังสอนให้ฉันอดทนด้วย แต่ฉันทำไม่ดีเท่า 2.มีความสามารถเลียนแบบทุกคน

เรื่องที่พี่เจนฝากอีกเรื่องถึงนายกฯท่านใหม่ว่านอกจากจะทำงานในหน้าที่แล้ว ต้องประสานกับองค์กรอื่นๆ เช่นชมรมรู้คุณแผ่นดิน และมีภาษีสังคมค่อนข้างมากที่ต้องเตรียมไว้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นคือความรัก...โอ้เย่....555555 ฉันล่ะชอบความรักซะจริง ๆ

ตัดฉากไปนอกห้อง พี่จ๋อกับฉันกำลังปรึกษากันว่าเราจะรำเซิ้งเข้าไปดีไหม ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ยืนเป็นอีก้อสองคน เฝ้าประตูยังกับยักษ์หน้าวัดโพธิ์ 55555  พี่จ๋อบอกว่าเดี๋ยวจะถามว่าฉันรักพี่เจนไหม ทำไมถึงรัก ฉันต่อรองว่า....เอาคำถามเดียวได้ไหม แค่ว่ารักพี่เจนไหม...เพราะไอ้ทำไมถึงรักเนี่ยะ...คำตอบมันยาวเกิน อีกอย่างพี่จ๋อก็ตั้งใจจะอ่านบทความที่ฉันเขียนอยู่แล้วนิ อันนั้นเป็นคำตอบเลยแหละ ก็เลยตกลงตามนั้นว่าจะเหลือคำถามเดียว  ระหว่างรอเวลา ฉันก็บอกพี่จ๋อว่า ไปฉี่แป๊บ...พี่จ๋อร้องเฮ่ย..อย่าเพิ่งดิ รอให้เสร็จก่อน ฉันบอกไม่เอาอ่ะ เกิดนานล่ะ เดี๋ยวกระเรี่ยกระราด แล้วก็วิ่งไปห้องน้ำท่ามกลางการลุ้นระทึกของพี่จ๋อว่าฉันจะกลับมาทันไหม? จริง ๆ แล้วฉันแอบไปทำใจ 55555 เพราะคิดว่าไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วทำให้พี่เจนสนุกสนานดีกว่า ออกจากห้องน้ำพร้อมแผน...วิ่งกลับมาบอกพี่จ๋อ ระหว่างทางเจอฝรั่งที่มากินข้าว ...เขาร้องว้าว เลย 555555 คงนึกไม่ถึงว่าจะเจออีก้อในโรงแรมกลางกรุง ดีที่ไม่ค่อยมีแขกมากินข้าวกันเท่าไร
ฉันบอกพี่จ๋อว่า...เดี๋ยวตอนส่งดอกไม้ให้พี่เจนเนี่ยะ ทำแบบหนุ่มขอความรักจากสาวดีมะ พี่จ๋อก็บอกดี ๆ แล้วตอนที่พี่จ๋อถามว่ารักพี่เจนไหม? ฉันก็จะบอกพี่เจนว่า...Look into my eyes…555555 พี่จ๋อบอกโห...คิดได้นะ แต่ฉันน่ะในใจนึก...คิดน่ะคิดได้ แต่จะกล้าทำหรือเปล่านี่ดิ ตอนที่พี่โอ๊ะออกมาเรียก แอบสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เรียกพลังลมปราณ 555555
ความรู้สึกตอนที่เดินหอบช่อดอกไม้เข้าไปในห้อง เส้นทางจากประตูไปถึงพี่เจนเนี่ย ไม่กี่เมตร แต่ประหนึ่งระยะทางพันไมล์ 555555 เว่อร์ไปละ แต่จริง ๆ น่ะ ตอนที่กวาดตามองตาพี่ ๆ ที่มองมา มีสายตาที่พิศวง สายตาที่มีคำถาม...ต๊าย-อารายเนี่ย สายตาที่ยิ้มขัน และสายตาอื่น ๆ อีกมากมาย เกือบทำให้ทรุดแล้ว 555555ดีที่มีสติ ดึงความสนใจกลับไปโฟกัสที่พี่เจนคนเดียวดีกว่า เห็นพี่เจนตาโต ประมาณว่านึกไม่ถึง ...ความเครียดเลยค่อย ๆ มลายหายไป ระยะทางพันลี้ ก็เหลือเพียงนิ้วเดียว (ถึงแล้ว 55555)  สูดลมหายใจเข้าเร็ว ๆ อีก 1 ฮึดใหญ่ ๆ ให้เต็มปอดแล้วคุกเข่าลงยื่นดอกไม้ให้ 555555 ทำไปจนได้นะเรา ก็น่ะ..ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว คงไม่มีอะไรจะมากไปกว่านี้
ฉันคุกเข่านั่งข้าง ๆ พี่เจน เพราะยืนแล้วเป็นเป้าสายตาชัดเกินไป 555555 นั่งลงดีกว่า ระหว่างนี้พี่จ๋อก็ถามว่าฉันรักพี่เจนไหม ฉันก็กลั้นใจแสดงคาเฟ่ที่เตรียมตัวมาด้วยกันชี้ไปที่ตาแล้วบอกพี่เจนว่า พี่เจน look into my eyes…” ที่จริงจะดีกว่านี้ถ้าฉันกล้าร้องเพลง 555555 แต่แค่นี้ก็มือเย็นเจี๊ยบแล้ว 555555 ดีที่พี่เจนรับมุกด้วยการทำท่าจ้องประสานตากัน ก็เฮฮากันประสาชาวสุโค่ยไป แล้วพี่จ๋อก็ขออ่านบทความที่ฉันเขียนลงบล็อกวันก่อน  บทความนี้ฉันตั้งใจจะให้เป็นความในใจของฉัน พี่จ๋อและป๊าก ถึงนายกในดวงใจของพวกเรา แต่พี่จ๋อได้อ่านแล้วชอบ เลยขออนุญาตฉันเอามาอ่านในวันนี้ ฉันก็อนุญาตแต่ขอให้พี่จ๋อตัดข้ามข้อความบางตอน เช่นเรื่องของพี่เต่า เพราะมันจะผิดคอนเซ็ปส์งานของพี่โอ๊ะที่ตั้งใจจะจัดเพื่อความสมัครสมานสามัคคีของพี่ ๆ น้อง ๆ 
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อจบงาน ฉันคิดว่าพี่ ๆ น้อง ๆ คงจะมีความเข้าใจพี่เจนมากขึ้น เพราะดูจากสีหน้าส่วนใหญ่ก็ยิ้มแย้ม โอภาปราศรัยกันดี เว้นพี่จี๋ที่ต้องรีบกลับไปประชุมก่อน นอกจากเรื่องร้องไห้ด้วยความตื้นตันแล้ว พี่เจนยังหอมแก้มพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ซะจนสีลิปสติกหายหมด
วันนี้เราได้นายกคนใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาจจะตรงใจใครบางคน และไม่ตรงใจใครบางคน แต่อย่างที่พี่เจนได้พูดไว้...ความรัก การให้อภัย และความสามัคคีปรองดอง...เป็นสิ่งสำคัญ 
สำหรับฉัน..จริงอยู่ว่า ทุกสิ่งในชีวิตล้วนผ่านมา เพื่อจะผ่านไป.. แต่มันผ่านไปเพียงรูปธรรม เหมือนสสารที่แปรรูปจากเหตุการณ์ ไปเป็นความทรงจำ  สิ่งที่ดึงพวกเราทุกคนเข้ามาทำงานในสวว. นั้นแท้ที่จริงแล้วคือ...ความทรงจำดี ๆ เกี่ยวกับโรงเรียนที่ทำให้เรารักและผูกพันกันจนเกิดจิตกตัญญู  อยากจะทำอะไรเพื่อเป็นการกตเวทิตาต่อโรงเรียนบ้าง ฉันคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไป ที่เคยมีเรื่องไม่ถูกใจกัน ก็จะค่อย ๆ คลายความตึงเครียดลงเองด้วยการสมานแผลจากกาลเวลา และเราทุกคนก็จะกลับมาพูดคุยกันได้ฉันพี่ฉันน้อง ขอเพียงทุกคนไม่ลืมหัวใจของวัฒนา พระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่ฉันชื่นชอบคือ ...ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ ที่สุด – 1 โครินธ์ 13:13


รูปเพิ่มเติมดูได้ที่นี่ค่ะ http://www.facebook.com/profile.php?id=587560548#!/album.php?aid=2085649&id=1014205787&page=4

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

พี่เจน นายกผู้สอนให้ฉันรักพี่น้องวัฒนา

จากใจน้อง ๆ Gang of Sukoy Girls

ตลอดเวลา 1 ปีที่ได้รู้จัก และได้ติดตามพี่เจนไปตามบ้านศิษย์เก่าวัฒนา เป็นช่วงเวลาดี ๆ น่าประทับใจช่วงหนึ่งในชีวิต ฉันยังจดจำเรื่องราวความเป็นมาของความสัมพันธ์ระหว่างพี่เจน กับน้องอ่องน้องจ๋อน้องป๊ากได้ทุก ๆ ฉาก  ฉากแรก ๆ อาจจะน่าเบะปากสักหน่อย แต่ฉากต่อ ๆ มาเป็นสิ่งที่จุดรอยยิ้มที่มุมปากได้ทุกครั้งที่นึกถึง
โดยพื้นฐานแล้ว ฉันจัดว่าเป็นคนที่รักและผูกพันกับโรงเรียนคนหนึ่ง แต่เมื่อได้มารู้จักพี่เจน ฉันว่าไอ้ความรักที่ฉันมีต่อวัฒนานี่..เด็ก ๆ ไปเลย เนื่องจากเพราะพี่เจนทั้งรักทั้งผูกพันทั้งทุ่มเทให้กับวัฒนาจริง ๆ ในโอกาสที่พี่เจนหมดวาระจากตำแหน่งนายกสวว. ฉันจึงอยากรำลึกถึงพี่สาวที่น่ารัก น่าเคารพศรัทธาคนนี้ในบล็อกเป็นการส่วนตัวสักหน่อย แล้วก็ถือโอกาสบันทึกเรื่องราวดี ๆ ระหว่างเราไว้เป็นความทรงจำถึงวันวานอันแสนหวาน
ฉันรู้จักผมสีม่วงของพี่ลานทิพย์มานานแล้ว นอกจากว่าความรู้สึกว่าพี่คนนี้ช่างกล้าไว้ผมสีประหลาดแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรกับรุ่นพี่คนนี้อีก จนกระทั่งวันหนึ่งที่เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ดึงฉันเข้ามาพัวพันในภารกิจเป็นไปไม่ได้ แล้วฉันก็โวยวายเสียงดัง จนร้อนไปถึงอาสน์นายกสวว. ตอนนั้นฉันจึงเริ่มรู้จักพี่เจนผ่านอีเมล เราติดต่อกันในบรรยากาศร้อนระอุอยู่พักใหญ่ ในตอนนั้นฉันยอมรับว่าไม่เข้าใจ และไม่ยอมรับว่าการวินิจฉัยของพี่เจนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แม้ว่าพี่เจนจะเพียรชี้แจงมา ถึงจะไม่เข้าใจในเหตุผลของพี่เจน แต่ฉันก็ให้ความเชื่อฟังและเคารพการตัดสินใจของพี่เจนในฐานะที่พี่เขาเป็นผู้ใหญ่ และเป็นนายก
สิ่งที่พี่เจนพูดย้ำในตอนนั้น ถึงตอนนี้...คือ ความสามัคคีปรองดองในหมู่พี่ ๆ น้อง ๆ ซึ่งแม้ว่าคู่กรณีของฉันเขาจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแนวคิด แม้จนทุกวันนี้ก็ยังทำสิ่งที่ขัดหูขัดตาฉันหลายประการ แต่ฉันก็อยู่นิ่งได้เพราะพี่เจนคอยสอนอยู่ตลอด ว่าการให้ความรักและอภัยเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการทำงานกับสวว.  ฉันทำได้คือการให้อภัย แต่เรื่องความรักนี่...5555555 ขอสงวนไว้เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคลนะคะคุณพี่นายกเจน ฉันพยายามยึดหลักปฏิบัติว่าให้เราทำงานให้โรงเรียน ไม่ใช่ให้ตัวบุคคล แต่ถ้าไม่ใช่เพราะความอดทนและพยายามโน้มน้าวของพี่เจน ฉันก็คงกราบลาบ๊ายบายงานโรงเรียนไปตั้งแต่ครั้งกระโน้นแล้ว
ครั้งแรกที่ได้เริ่มงาน ติดตาม นายกไปเที่ยวคือเมื่อครั้งที่ไปเยี่ยมบ้านป้าจีรวัสส์ค่ะ จำได้ว่าตอนแรกที่มีการนัดหมายกัน ฉันอยู่ในภาวะสองจิตสองใจ จะไปดีไม่ดีหว่า เพราะไม่รู้ว่าพี่เขาเรียกให้ไปทำอะไร แต่เดาไว้ก่อนว่าคงจะให้เราไปดึงเอาบรรยากาศมาเล่าสู่กันฟังในวารสารเจ้าปัญหาเสียกระมัง ความที่เขาเป็นนายก ฉันก็รู้สึกเกรงใจไม่กล้าปฏิเสธ ประกอบกับความชอบการเมือง พอรู้ว่าป้าจีรวัสส์เป็นธิดาของจอมพลป. ก็นึกอยากเจอตัวจริงอย่างใกล้ชิด ในครั้งนั้นฉันแทบจะไม่ได้คุยอะไรกับพี่เจนเลย เจอและจากกันที่บ้านป้าจี ไม่ได้แม้แต่รับประทานอาหารด้วยกัน ฉันค่อนข้างจะได้คุยกับพี่หน่อยมากกว่า เนื่องจากพี่หน่อยเป็นตัวแทนนายกมาประชุมในทีมวารสาร แล้วหลังจากนั้นฉันก็ประกาศแตกหักไม่ยอมร่วมงานกับสาราณียกร 
เหตุการณ์ก็ล่วงไปเรื่อยจนวันที่ 19 กพ. พี่เจนก็โทรให้ฉันกับป๊ากตามไปเยี่ยมครูผกายที่บ้านพักคนชรา ตอนนั้นฉันก็...อะไรว้า...ไม่เห็นอยากไปเลย ครูผกายเป็นใครไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อด้วยซ้ำ แต่ก็น่ะ เกรงใจเลยต้องไป 55555 ยังจำได้ดี ในรถพี่จ๋อก็คุยเรื่องปัญหาต่าง ๆ ที่พวกเราประสบมาและรู้สึกย่ำแย่แค่ไหน แน่นอนว่าในรถตู้คันไม่ใหญ่โต การจะพูดให้ฉันได้ยินคนเดียว ทุกคนย่อมยิ่งกว่าได้ยิน 5555555 ครูวรรณดีสรุปสั้น ๆ กับฉันเป็นการส่วนตัวว่า...นพพร เราต้องอดทนนะ... ฉันก็หน้าบูดรับฟังคำ แต่ไม่ได้พูดอะไร ไม่ว่าจะแย้งหรือรับ  จนเมื่อได้เยี่ยมครูผกายและบรรยากาศวันนั้นสนุกสนานดีค่ะ ครูผกายตลกโดยไม่ได้ตั้งใจในเรื่องของพี่จ๋อ ทำให้ฉันอารมณ์ดีมาก มาดีขึ้นมาก ๆ ก็อีตอนที่พี่แดงได้ติดต่อพี่ตุ้มให้ ตอนนี้อารมณ์เบิกบานประมาณฝรั่งเจอแสงอาทิตย์แรกหลังฤดูหนาวอันยาวนาน แล้วพี่เจนก็ส่งเสียงมาจากหัวรถตู้ ถึงฉันซึ่งนั่งอยู่ท้ายรถตู้  อ่องจ๋า เขียนเรื่องวันนี้ด้วยนะจ๊ะ  อ่ะนะพี่เจน.....ถึงฉันจะเป็นคนดื้อรั้น แต่จะให้ฉันปฏิเสธข้ามศีรษะครู ๆ 3 ท่านไป มันก็ไม่ใช่ อีกอย่างครูวรรณดีก็เพิ่งจับมือขอให้อดทนไปเมื่อตะกี้ ฉันก็แอบเซ็งนิดหน่อยที่เหมือนจะแพ้...แต่มาคิดอีกทีในวันนี้ มันไม่ใช่ความพ่ายแพ้เลย ตรงข้ามมันเป็นการเอาชนะใจตัวเองด้วยซ้ำ การฝืนทำในสิ่งที่ตนไม่ชอบก็คือการฝึกฝนจิตให้มีสติ...สติมา ปัญญาเกิด...
จากนั้น พี่เจนได้ดึงฉันกับป๊ากเข้าไปร่วมงานต่าง ๆ มากขึ้น อาทิ งานระลึกถึงอาจารย์อายะดา พาไปบ้านท่านผู้หญิงสุมาลี, อจ.คุณหญิงมาลัยวัลย์, พี่ผ่องลักษณ์ หรือแม้แต่บ้านพี่เจนเอง ... จนฉันเริ่มคุ้นเคยกับพี่เจนมากขึ้น ๆ
พี่เจนเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจค่ะ เพราะพี่เจนเป็นคนสนุกสนาน มองโลกในแง่ดี ฉันไม่เคยได้ยินพี่เจนพูดถึงใคร ๆ ในทางลบ หลายครั้งที่ฉันเม้าพี่บางคน เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่เขาทำ แต่พี่เจนก็มักจะพูดให้ฉันฟังในด้านดี ๆ แก้ไขความคิดในแง่ลบนั้นเสมอ ๆ  พี่เจนจะไม่บังคับให้ฉันต้องเขียนในสิ่งที่ฉันไม่อยากเขียน หรือคิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไรด้วยความเข้าใจในอารมณ์ศิลปินของน้อง...มันทำให้นับวันที่ฉันรู้จักพี่เจน ฉันก็มีแต่เพิ่มความรักความเคารพพี่สาวผมสีม่วงคนนี้จริง ๆ  พี่เจนมีคำว่ารักใคร่ปรองดองเป็นหัวใจ และพยายามหล่อหลอมน้อง ๆโดยเฉพาะอ่องตัวปัญหาให้เข้าใจและยอมรับในหลักการ หลายครั้งที่ฉันกับพี่จ๋อจิกกันแซวกันแรง ๆ ใน FB พี่เจนก็เข้ามาไกล่เกลี่ยเหมือนทนไม่ได้ที่น้องสองคนนี้กัดกัน ถึงจะแค่เจ็บ ๆ คัน ๆ ไม่ถึงขั้นแผลเหวอะหวะก็ตามที แต่กระนั้นก็เถอะ ระหว่างฉันกับพี่จ๋อก็ยังคงมีจิก ๆ กัด ๆ กันประจำเป็นยาชูชีวิต เป็นยาแก้เบื่อ 5555555
วันหนึ่งพี่เจนก็บอกฉันว่าเรามาตั้งชื่อแก๊งค์กันดีกว่า พี่เจนคงไม่รู้หรอกว่าฉันดีใจและภูมิใจมากแค่ไหนที่พี่เจนให้เกียรติพวกเราขนาดนี้ เป็นปลื้มอย่างมากค่ะ แต่ฉันไม่ถนัดเรื่องตั้งชื่อแก๊งค์ ประมาณว่าเป็นเด็กดีมาตลอดชีวิต ...เหรอ??? 5555555 ในที่สุดพี่เจนก็ตั้งชื่อแก๊งค์เองว่า แก๊งค์สุโค่ย ไอ้ฉันก็ไม่รู้ว่ามันแปลว่าอิหยัง พี่เจนแปลจากไทย (ญี่ปุ่น?) เป็นอังกฤษว่า cool  ตั้งแต่นั้นมาเราชาวสุโค่ยก็เจอกันบ่อยขึ้น พอห่าง ๆ ไปไม่นานพี่เจนก็มักจะเมลมานัดรวมพลไม่ใช่เพื่อทำงานอย่างเดียวอีกแล้ว หลาย ๆ ครั้งเราก็เพียงแต่เจอกันให้หายคิดถึง เฮฮากันให้หายเครียด
เพราะพี่เจนทำให้ฉันมีความกล้าที่จะเข้าไปสัมผัสพี่ ๆ รุ่นต่าง ๆ ด้วยความมั่นใจมากขึ้น และก็รู้สึกดี และอบอุ่นอยู่ในสายสัมพันธ์ ความรักความผูกพันแห่งชาววัฒนา หลายครั้งหลายหนที่ฉันทำในสิ่งที่ฉันไม่เคยทำมาก่อน ในความเป็นจริงแล้วฉันค่อนข้างขี้อาย ไม่ค่อยกล้าเข้าไปทักพี่ ๆ ก่อน แต่วันดีคืนดีก็ได้ติดตามพี่ ๆ รุ่น 100 ไปทอดกฐินและช่วยซับน้ำตาผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ลพบุรี วันดีคืนดีฉันก็ชวนป๊ากไปแจกบัตรเชิญแกมตื้ออ้อนป้าจีให้มาฟังคอนเสิร์ตนักร้อง หรือแม้แต่เข้าไปกราบทักทายท่านผู้หญิงสุมาลี และหลาย ๆ วันจันทร์ฉันก็สนุกสนานกับการทักทายพี่ ๆ น้อง ๆ ที่มาซ้อมเพลงทุก ๆ วันจันทร์ ทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยทำมาก่อน  แต่การที่ได้ใกล้ชิดพี่เจน ได้พูดคุยและเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากนายกคนนี้ มันทำให้ฉันเปลี่ยนไปมากในชั่วเวลาเพียง 1 ปี
คงไม่มีคำขอบคุณใด ๆ ที่มากพอสำหรับสิ่งที่พี่เจนได้มอบให้กับฉัน จนวันนี้ฉันอยากจะบอกพี่เจนว่า... I love you because you make me love wattanians in the way it should be…true and tender.

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แกงเผ็ดเป็ดย่าง

เมนูแพงขึ้นทุกวัน..สำหรับแม่ครัวฝึกหัด
หลังทำอาหารมาหลายอย่าง ส่วนมากเป็นพวกสารพัดแกง เพราะอุปกรณ์มีแค่นั้น จะทำอย่างอื่นก็ไม่เอื้อ  ก็เริ่มชำนาญ และมั่นใจขึ้นเรื่อย ๆ ตอนหลังก็รู้จักพลิกแพลงใส่อะไรแปลก ๆ ที่อาจารย์ลีไม่ได้สอน เช่นแกงส้มดอกไม้จีนสดเป็นต้น เป็นหนึ่งในเมนูที่ทำบ่อยสุดตอนนี้ เนื่องจากปกติก็ชอบกินแกงส้มเหลือเกินอยู่แล้ว พอทำเองเป็น ก็ทำกินบ่อย จนเริ่มทำท่าจะเบื่อแกงส้มไปอีก 10 เดือน 55555  ยังไม่ได้เขียนเรื่องแกงส้มเลย จริง ๆ แล้วเขียนแล้วล่ะ แต่มันไม่ค่อยสนุก เลยยังเขียนไม่จบสักที
ทำให้คิดว่าต้องเขียนสด ๆ ประมาณว่าเขียนไปทำไปดีกว่า มันถึงจะเร้าใจ (ทำไมเธอถึงต้องเร้าใจแม้กระทั่งเขียนตำราอาหาร?) ก็งี้แหละค่ะ คนที่ทำอะไรด้วยหัวใจ มักจะมีนิสัยที่ประหลาดเช่นนี้แล
เมื่อวานไปช็อปปิ้งเมนูไฮโซที่ห้างไฮโซ (เข้ากันมากเลยเนอะ) ได้เป็ดย่างเอ็มเคมา 1 กล่องเล็ก ร้อยกว่าบาท แกงถ้วยนี้ราคาแพงมาก 55555 ขนาดแค่เริ่มด้วยเป็ดก็ร้อยกว่าบาทแล้ว.... พี่ลีบอกว่าให้ใส่องุ่นเขียวด้วย ไม่รู้องุ่นนอกหรือองุ่นใน เดินไปวิลล่า เจอองุ่นเขียวนอกสวยมาก เลยคิดว่าถ้าเอามาถ่ายรูป คงทำให้แกงดูน่ากินขึ้น แต่มันแพงเหลือเกิน 55555 ถามพนักงานว่าซื้อเศษ ๆ นี่พอได้ไหม? หยิบพวงขาด ๆ มีประมาณ 10 ลูก เขาบอกว่าได้ ก็เลยส่งให้ชั่ง เชื่อไหม องุ่นแค่นั้นก็ 60 กว่าบาทแล้ว วันก่อนไปซื้อองุ่นแดงที่เจเจมา กก.ละ 60 เลยกะว่าใส่มันทั้งสองหงุ่น จะได้สวยจัดจ้าน เอารูปสวยประเดิมชัยไว้ก่อนว่างั้น
หยิบน้ำพริกแกงเผ็ดมา 1 ซอง พี่ลีบอกว่าน้ำพริกแกงแดง แต่ไม่เห็นมี มีแต่แกงเผ็ดสีแดง คิดว่าน่าจะใช่นะ  เพราะภาษาอังกฤษเขียนกำกับไว้ว่า “red curry paste” แล้วก็ซื้อน้ำกะทิกล่องใหญ่หน่อย เพราะเมื่อ 2 วันก่อนทำมัสมั่น ซื้อไก่มาเยอะไป ปรากฏว่ากะทิไม่พอ ต้องให้คนวิ่งไปซื้อเป็นที่ฉุกละหุกอย่างยิ่ง เลยคิดว่าเหลือก็ไม่เป็นไร เอาไว้ทำต้มข่าได้ เพราะไปเจอเห็ดออริจินหน้าตาน่ารักดี เลยอยากลองเอามาต้มข่าดู
เลือกพริกแดงกับเขียวมาด้วย ส่วนใบมะกรูดมีมาในเซ็ทของต้มข่าอยู่แล้ว ไม่ได้เอาโพยมา ยืนนึก ๆ มันขาดอะไรอีกหว่า? เลยถามคนขาย คนขายบอกว่าไม่ขาดแล้ว ก็กลับบ้าน มาถึงบ้านเห็นโพยที่จดไว้ที่โต๊ะ...ว่าแล้วเชียวว่าต้องขาดอะไรสักอย่าง ..ใบโหระพา!!!!! เลยลงไปคุยกับแม่ ว่าแกงเผ็ดไม่ใส่โหระพาจะอร่อยไหม?
คุณแม่ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่าไม่อร่อย เพราะไม่หอม  เลยขอให้คุณแม่ซื้อมาให้ด้วยพรุ่งนี้เช้า 
เช้านี้ใบโหระพาสวย 1 ช่อแถมพริกแดงยักษ์ด้วย  เออใหญ่ดีแฮะ น่าจะถ่ายรูปสวย 555555 แทนที่จะคิดว่าทำไงให้แกงอร่อย กลับคิดเรื่องถ่ายรูป ตกลงจะทำสตูดิโอหรือว่าทำครัวกันแน่?  แต่พี่ลีเคยบอกว่าอาหารที่ดีต้องอร่อยตา อร่อยปาก จนถึงอร่อยใจ 55555 พี่ลีไม่ได้ใช้สำนวนนักเขียนขนาดนี้หรอก นี่มันสำนวนฉันเอง อิอิ
ปกติแล้ว พอตื่นมาฉันต้องล้างหน้าแปรงฟัน ดื่มนม กาแฟ และกินขนมปังก่อนจะทำอะไรอื่น แต่เช้านี้บ้าเห่อเล็กน้อย เลยหยิบกล้องมาถ่ายรูปวัตถุดิบทั้งหมด แล้วก็ล้างผักผลไม้ที่จะใส่ในแกง แอบชิมองุ่น...มันไม่เปรี้ยวอ่ะ จำได้ว่าพี่ลีบอกให้ใส่องุ่นเปรี้ยว เง้อออ แล้วจะเอาไงดี?กับความเปรี้ยว? เอาองุ่นไปแช่มะนาว? หรือมะขามเปียก? หรือน้ำส้มสายชูดี?  พี่ลีหายไปหลายวันแล้ว ป่านนี้ไปช็อปปิ้งปร๋อที่ฮ่องกงแล้วล่ะม้าง  แกงเผ็ดราคาแพงของฉันจะกินได้ไหมเนี่ย? ลงทุนไปหลายร้อยแล้วกับแกงถ้วยเดียว ราคานี้ซื้อหูฉลามได้เชียวนะ 555555
เปิดคอมเร่งด่วน  หาวิธีทำ...โชคดีที่มีคนทำแกงเผ็ดเป็ดย่างเป็นเยอะ 55555 มีสูตรเพียบ แต่ฉันแค่อยากรู้ว่ามันจะเปรี้ยวได้ยังไง เลยไม่ได้อ่านสูตร ไล่ตาหาแต่ของเปรี้ยว ...เจอแล้ว! มะขามเปียกนี่เอง 
เอาล่ะของทุกอย่างครบ แต่เพิ่งจะ 9 โมงเช้าเอง  รอสัก 10 โมงค่อยทำก็ได้ ฉันกับคุณแม่เป็นคนกินข้าวไวค่ะ ข้าวเช้านี่ลืมตาก็กินเลย 555555 ข้าวเที่ยงจะกินราว ๆ 11 โมง  ส่วนข้าวเย็นจะ 4-5 โมง บางทีก็ 3 โมงกว่าค่ะ แล้วแต่อารมณ์ หลายคนบอกฉันกินข้าวเย็นเร็วมาก มืด ๆ ไม่หิวเหรอ?  ที่จริงแล้วถ้าอยู่บ้าน ฉันจะกินทั้งวันเลย เดี๋ยว ๆก็ไปเปิดตู้เย็นหานั่น หานี่มากิน แต่หลัง 6 โมงมักจะไม่ค่อยกินอะไรนอกจากไมโล กับบ๊วย  ไม่ได้กินด้วยกันนะ 5555555 หมายถึงต่างเวลาต่างวาระตะหาก เดี๋ยวมีคนอยากลองกินไมโลใส่บ๊วย 5555555
เด็ดใบโหระพา ซอยพริกแดงเม็ดใหญ่ 1 เม็ด อีก 1 เม็ดและพริกเขียว 3 เม็ดแค่ทุบก็พอ เดี๋ยวจะเผ็ดเกินไป และหั่นใบมะกรูดด้วย หอมเชียวเจ้ามะกรูดเนี่ย กลิ่นติดนิ้วมาถึงคีย์บอร์ด 5555 ถูกแล้วค่ะ ทำไปก็แวะมาพิมพ์ไป สนุกดี ^___^  ตอนนี้ยังไม่ได้ฤกษ์เลยค่ะ ขอท่องไปในโลกจินตนาการไร้จำกัดสักพักก่อนก็แล้วกัน รอสัก 10โมงค่อยลุกไปเริ่มทำ  วันนี้ลงไปเอาหม้อหุงข้าวจากข้างล่างขึ้นมาใช้ จะได้ไม่ล้นหม้ออีก เพราะดูจากเป็ด พริกเม็ดใหญ่ องุ่น 2 สี มะเขือเทศลูกจิ๋ว ๆ แล้วน่าจะล้นหม้อ ยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
พอได้เวลาก็จัดแจงเทกะทิลงในหม้อ...โอ้ว หม้อใหญ่เวิ้งว้าง 555555 ไม่ชินอ่ะ เทลงไปนิดหน่อยก่อนค่ะ รอให้กะทิแตกมัน เดือดปุด ๆ ก็ตักเครื่องแกงลงไปละลาย เหยาะเกลือลงนิดหน่อย พอเครื่องแกงละลายกับกะทิหมดแล้วก็เอาเป็ดลงไปรวน ๆ ไม่ต้องนานมากเพราะเป็ดมันสุกอยู่แล้ว จากนั้นก็เทกะทิเพิ่มลงไป จะกินแค่ไหนก็เทแค่นั้นค่ะ แล้วก็รอให้เดือด พอเดือดก็ระดมวัตถุดิบที่เหลือใส่ลงไปค่ะ ได้แก่องุ่น มะเขือเทศ พริกแดง พริกแดงนี่ฉันซอยบ้าง ทุบทั้งเม็ดบ้าง เพื่อเวลาถ่ายรูป เห็นพริกเป็นเม็ดมันดูจี๊ดจ๊าดดี ใบโหระพา ใบมะกรูดซอย หรือฉีกก็ได้แล้วแต่ความพอใจ ชิมดู ขาดเค็มก็เทน้ำปลา กับเกลือ ขาดหวานก็เติมน้ำตาล ขาดเปรี้ยวก็มะขามเปียก ตามแต่ใจจะไขว่ขว้ากัน  เมื่อได้รสชาติแล้วก็ปิดไฟค่ะ ทิ้งไว้สัก 10 นาทีให้รสแกงมันเข้าเนื้อ ค่อยยกเสิร์ฟ
คุณแม่บอกว่าอร่อยมากค่ะ ที่จริงคิดว่ามันจะเก็บไว้กินได้ 3 มื้ออย่างน้อย แต่มื้อเดียวนี้ก็เกือบหมดแล้ว.
ภาพประกอบดูที่นี่ค่ะ  http://www.facebook.com/profile.php?id=587560548#!/album.php?aid=295609&id=587560548&notif_t=like 


วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ดอกท้อสีทอง

เรื่องสั้น 1 ใน 10 รางวัลสุภาว์เทวกุล เมื่อ...นมนานกาเลมาแล้ว
เรื่องสั้นนี้เขียนมานานมากแล้วค่ะ น่าจะ 10 กว่าปีแล้ว จำไม่ได้จริง ๆ ว่าเมื่อไร สำนวนโวหารห่างไกลจากความเป็น นพพร ในวันนี้อย่างกับกทม-ลอนดอน ตอนที่เขียนเรื่องนี้เสร็จส่งเข้าประกวดแล้ว ก็ส่งสำเนาไปให้ครูภิญโญอ่าน ครูก็โทรมาพูดถึงเรื่องสั้นเรื่องนี้ว่า... อ่านไม่รู้เรื่อง 5555555 ตอนนั้นแอบจิตตก โห ขนาดครูภาษาไทยอ่านไม่รู้เรื่อง จะได้เข้ารอบไหมนั่น
แต่แล้วก็ surprise มากค่ะ ในเวลาไม่นาน ก็เห็นเรื่องสั้นของเราถูกตีพิมพ์ในสกุลไทยในฐานะเป็นเรื่องที่ 2 ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารอบ แต่ก็คิดว่าน่าจะได้แค่นั้นแหละ ไม่เคยคิดว่าท้ายสุดแล้วจะได้รางวัล  เหมือนฝันไป....เมื่อคืน มีพี่ ๆ อยากอ่าน ก็เลยไปค้นมา แล้วลองอ่านดู อืมม์...55555555 อะไรมันจะเคร่งขรึมขนาดนี้เนี่ยะ  เชิญอ่านกันดูนะคะ ถ้าไม่เฮฮา ก็อย่าสะออนนะค้า 55555
โต๊ะหินขัดสีขาวใต้ซุ้มการเวกไม่ร้อนเกินไปในเวลาเกือบ 4 โมงเย็น แม้ว่าแดดวันนี้จะเปรี้ยงเป็นพิเศษ แต่ลมก็พัดอยู่จนใบไม้แลไหว ๆ กลิ่นหอมละมุนของดอกไม้สีเหลืองครอบคลุมบริเวณ นับว่าเหมาะสมยิ่งนักที่เจ้าของบ้านมักจะใช้เป็นที่รับแขกของเตี่ยโดยเฉพาะ
เตี่ยเป็นชายจีนอายุประมาณ 65 ปี ตลอดชีวิตได้ต่อสู้ทำมาหากินสร้างครอบครัวมา-ไม่ถึงกับร่ำรวยเป็นปึกแผ่น แต่ธุรกิจประกอบรถจักรยานในย่านจรัญสนิทวงศ์และหน้าร้าน 2 คูหาริมถนนวรจักรนี้ก็ได้เลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวร่วม 20 กว่าชีวิตให้ได้มีข้าวกิน มีที่นอน มีเสื้อใส่ มีอีกหลายต่อหลายอย่างที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอยู่ของคนกรุงเทพฯในยุควัตถุนิยม
แต่ทว่า ผู้สร้าง มากับมือกลับเป็นคนสมถะ หลังจากที่วางมือในกิจการโดยเด็ดขาดเมื่อ 2 ปีก่อน เตี่ยก็ใช้พื้นที่บนชั้นดาดฟ้าของหน้าร้านที่วรจักรนี้ปลูกต้นไม้ เตี่ยเป็นคนปลูกต้นไม้ได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นไม้บอนไซที่มีการจัดฉากสวยงาม 3-4 กระถาง อันเป็นสุดหวงถึงกับเมื่อมีคนมาขอซื้อด้วยราคาสูงลิ่วเท่าไรก็ไม่ปรากฏว่าเตี่ยจะยอมขาย
ต้นชวนชม ดอกไม้สีชมพูสวยสะแต่เต็มไปด้วยพิษสง เตี่ยก็มีอยู่นับเกือบ 10 ต้น แต่ละต้นได้ถูกบังคับเลี้ยงให้ท่วงท่าของลำต้นมีลีลาอ่อนช้อยสวยงาม เคยมีคนมาขอซื้อไปเช่นกัน แต่เตี่ยก็ปฏิเสธ
ที่มีอยู่มากมายที่สุดคือเกือบ 30 ต้น วางเรียงรายเต็มชั้นดาดฟ้านั้นคือไม้ประดับยอดนิยมของชาวจีน-โป๊ยเซียน ซึ่งเตี่ยเพิ่งเล่นไม่นานมานี่เอง แต่ละต้นจึงยังไม่โต และดอกก็มีสีสันที่หลากหลายคละกันไปเกือบจะไม่ซ้ำกัน ต้นโป๊ยเซียนนี้มีคนมาขอซื้อเช่นกัน และก็เหมือนกับทุก ๆ ต้น เตี่ยจะไม่ยอมขาย แต่ถ้าเป็นคนถูกคอกันมากพอ เตี่ยก็ยกให้ฟรี ๆ ไปพร้อมกระถางราคาแพงเลยทีเดียว
อาแหมะจากเตี่ยไปเกือบ 14 ปี ขณะที่ลูกชายคนเล็กยังกระเตาะกระแตะอยู่ เตี่ยกับอาแหมะมีลูกด้วยกัน 12 คน เป็นลูกสาวเรียงมาเลย 4 คนโต และลูกชายต่อคิวเป็นจำนวนถึง 8 คน ลูกสาวคนโตเมื่ออาแหมะเสียชีวิตอายุได้ 34 ปีก็เป็นแม่บ้านดูแลบ้านและเลี้ยงน้องเล็ก ๆ ในขณะที่เตี่ยก็ทำงานและฝึกลูก ๆ ขึ้นมาช่วยกันในการงานตลอดมาโดยไม่ได้แต่งงานใหม่แต่อย่างไร ครอบครัวใหญ่ขนาดนี้เตี่ยไม่เคยพบกับคำว่าเหงาพอ ๆ กับคำว่าสงบ เพราะพอลูกรุ่นเล็กเริ่มโตเกินกว่าที่จะกระจองอแง ลูกรุ่นโตก็แต่งงานออกหลานวัยกระจองอแงออกมาแทนอย่างต่อเนื่องถึงทุกวันนี้ หากจะถามเตี่ย ถึงจะไม่พึงพอใจกับความวุ่นวายที่เด็กเล็ก ๆ อยู่ในบ้าน แต่ก็ไม่ถึงกับรำคาญ
มันคงเป็นความเคยชินเสียมากกว่า เตี่ยรักความเคยชินของชีวิต เมื่อมีการไปซื้อที่หลายไร่ย่านฝั่งธนฯไว้เป็นส่วนผลิต เตี่ยก็ไม่ได้คิดจะย้ายไปอยู่ แม้ว่าลูก ๆ จะสนับสนุนเพราะที่นั่นกว้างขวางกว่า อากาศก็ดีกว่า แต่เตี่ยก็ยังยืนกรานจะอยู่ที่นี่ เพราะนอกจากจะเป็นสถานที่เคยคุ้นแล้ว เกือบทุกวันเตี่ยมักจะมีเพื่อนมานั่งคุย นั่งเล่นหมากรุกจีน หรือบางทีก็จิบน้ำชาร้อน ๆ คุยปรับทุกข์สุขร่วมกัน ถ้าไม่มีเรื่องส่วนตัวมาเล่าสู่กันฟังก็อาจจะวิจารณ์ความเป็นไปของสังคมในเวลานั้น ๆ
เมื่อครู่ใหญ่ ๆ ลูกสาวคนโตก็ได้ขึ้นมาแจ้งว่านายห้างลี้เพิ่งโทรศัพท์มาบอกว่าเดี๋ยวจะแวะมาเล่นหมากรุกจีนด้วย เตี่ยจึงได้สั่งให้ลูกไปซื้อขนมเปี๊ยะมาไว้กินกับน้ำชาซึ่งเตี่ยสั่งให้เตรียมชาจุ้ยเซียงไว้สำหรับสหายคนนี้
ขณะที่เตี่ยกำลังนั่งมองต้นไม้ฝ่าเปลวแดดเปรี้ยงอยู่ เสียงทักทายก่อนการปรากฏตัวก็ดังขึ้น
นายห้างลี้เป็นชายจีนร่างเล็ก อายุ 70 กว่าแต่กิริยายังคงกระฉับกระเฉง แต่งเสื้อเชิ้ตบางสีขาวสอดชายเข้ากางเกงสีเทาดำใส่เข็มขัดเรียบร้อย ผิดกับเตี่ยที่ชอบใส่เพียงเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงสามส่วนก๊วยสีกรมท่า ถ้าอากาศเย็นหน่อยก็จะมีเสื้อแจ๊คเก็ตสีแดงสวมโดยไม่ติดกระดุม นาน ๆ ทีจะเห็นเตี่ยใส่กางเกงขายาว เพราะเตี่ยนั้นจะออกไปข้างนอกน้อยมาก
หลังจากเล่นหมากรุกจีนจบไปเพียง 1 กระดาน นายห้างลี้ก็พูดขึ้นว่า
วันนี้เล่นกระดานเดียวพอแล้ว รู้สึกใจคอไม่ค่อยมีสมาธิ
เตี่ยมองเห็นแต่แรกแล้วว่าวันนี้นายห้างลี้มีเรื่องบางอย่างรบกวนจิตใจอยู่ ทั้งสองคบกันเป็นเพื่อนมาช้านานแล้ว ระยะหลังที่เตี่ยเกษียณตัวเองจากกิจการต่าง ๆ ก็มีการพบปะกับนายห้างลี้โดยสม่ำเสมอประมาณอาทิตย์ละครั้ง การที่นายห้างลี้มาพบในวันนี้ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานเพิ่งมาก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าคงมีปัญหาอะไรบางอย่างที่นายห้างลี้ต้องการปรึกษาใครสักคน
ลูกสาวลื้อที่แต่งงานไปหลายคนนั้น...มีความสุขดีไหม? นายห้างลี้ถามขึ้นก่อนจะออกตัวว่า ที่ถามนี่ไม่ใช่ว่าจะยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวหรอกนะ
มีคนมาขอลูกสาวอีกซิท่า เตี่ยเดายิ้ม ๆ เฮียไม่เห็นต้องถามอะไรอั๊วเลย ลองมองดูสะใภ้ที่เข้ามาอยู่ในบ้านเราก็ได้ พวกเขาก็เป็นลูกสาวบ้านอื่นมาเหมือนกัน
จะเหมือนกันได้อย่างไร คนละบ้านกัน นายห้างลี้เถียง อั๊วมันเป็นคนไม่ก้าวก่ายเรื่องลูกสะใภ้ พวกเขาก็อยู่อย่างสงบพอสมควร ทีนี้ที่ถามลื้อนี่เผื่อจะรู้ว่าคนอื่นเป็นแบบไหนบ้างเท่านั้นเอง
เตี่ยหยิบพัดใบตาลขึ้นโบกช้า ๆ ไม่ใช่ว่าร้อน แต่เวลาใช้ความคิด การทำอะไรสักอย่างเป็นจังหวะจะโคนจะช่วยให้ความคิดแล่นได้ นายห้างลี้มีลูกสาวหลายคน และทุกคนล้วนแต่เคยมีบุรุษมาหมายปองทั้งสิ้น เคยมีการทาบทามขอลูกสาวที่บ้านนี้ไม่ต่ำกว่า 10 หนแน่นอนนับแต่วันที่ลูกสาวคนโตเข้าสู่วันดรุณี แต่นายห้างลี้ไม่เคยนำมาปรึกษาเพื่อน ไม่เคยแม้แต่มาเล่าสู่กันฟัง กระนั้นเตี่ยก็ได้ยินมาจากที่อื่นว่าจวบจนบัดนี้ บ้านของนายห้างลี้ยังไม่เคยต้อนรับขบวนขันหมากเลยแม้สักครั้งเดียว จนเป็นที่พูดกันไปทั่วว่าบ้านนายห้างลี้นั้นหวงลูกสาวไม่แพ้งูจงอางหวงไข่เลยทีเดียว
ลูกผู้หญิงแต่งงานไปมักเสียเปรียบผู้ชาย นายห้างลี้เปรย ตอนที่ได้อุ้มลูกสาวคนแรกในอ้อมแขนนะ ลื้อเชื่อไหม ความรักที่มีต่อลูกแล่นไปทั่วตัวและหัวใจเลย นิ่งได้เฝ้าดูพวกเขาเติบโตขึ้นมา ก็ยิ่งหลงใหล ยิ่งเสน่หา พ่อคนอื่นจะเป็นยังไง อั๊วไม่รู้หรอกนะ สำหรับอั๊ว ลูกชายเป็นความภาคภูมิใจแต่ลูกสาวนั้นเป็นความชื่นใจ
ก็เลยหวง อยากเก็บความชื่นใจไว้กับตัวตลอดชีวิตหรือไง
ไม่ใช่หวงหรอก เป็นห่วงมากกว่า กลัวว่าจะไปตกระกำลำบาก กลัวว่าผัวมันจะไม่รักลูกเราอย่างที่เรารัก
ของมันแหงอยู่แล้วล่ะ ผัวที่ไหนจะรักเมียอย่างพ่อรักลูกสาว เตี่ยแหย่สหายเล่น พ่อแม่น่ะรักลูก ห่วงใยลูกทุกคนแหละ แต่ว่าบางทีคนเป็นพ่อแม่ก็ต้องควบคุมอารมณ์ไว้บ้าง อย่าให้ห่วงเสียจนไม้เอกหายกลายเป็นหวงไป
แล้วมันเสียหายตรงไหนถ้าอั๊วจะหวงลูกสาวอั๊ว
แน่ะ ยอมรับแล้วไหมล่ะ เตี่ยหัวเราะชอบใจ ทำให้นายห้างลี้พลอยเห็นขำไปด้วยที่ตนตกหลุมพรางของเพื่อน เตี่ยชงน้ำชาใหม่ รินใส่ถ้วยชาใบเล็ก ๆ เชื้อเชิญเพื่อนให้จิบพลางยกขึ้นจิบเองถ้วยหนึ่ง
จู่ ๆ แดดก็ร่มลงในทันใด เมฆทะมึนเคลื่อนตัวมาทำให้ท้องฟ้ามืดครึ้มลงอย่างรวดเร็ว ลมก็กรรโชกแรง มองดูคล้ายกับพายุฝนตั้งเค้าจะเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก แต่ในเวลาอันสั้นเหลือเชื่อ ไม่ทันที่ชายชราทั้งสองจะตัดสินใจทำอย่างไร กระแสลมก็เบาลงในขณะที่ก้อนเมฆดำนั้นเคลื่อนผ่านไป ฟ้าก็ค่อยขาวขึ้นจนกลายเป็นเหลืองจ้าแวบตาดังเดิม โดยไม่มีหยาดฝนตกลงมาแม้สักหยด
ลูกสาวคนไหนล่ะคราวนี้ เตี่ยถาม
คนเล็ก
อ้าว..หัวแก้วหัวแหวนนี่ เตี่ยร้องพร้อมกับหัวเราะหึ ๆ อย่างนึกขัน
ลูกทองของแม่เขา นายห้างลี้แก้
เตี่ยชวนนายห้างลี้ลุกขึ้นเดินชมต้นไม้เมื่อแดดได้ร่มลงแล้ว นายห้างลี้เป็นคนชอบศิลปะ ดังนั้นจึงออกจะนิยมบรรดาบอนไซของเตี่ยอยู่ครามครัน แต่ถึงจะมีความสนิทสนมมากเพียงไหนก็ไม่เคยเอ่ยปากขอของรักของเพื่อนแต่อย่างไร ด้วยเกรงว่าเอาไปปลูกดูแลเองถ้าไม่มีเวลาก็อาจจะเฉาตายให้เป็นที่เสียดายประการหนึ่ง เกรงว่าเตี่ยอาจจะปฏิเสธให้เสียความรู้สึกอีกประการหนึ่ง
การเลี้ยงให้ต้นไม้ใหญ่มากลายเป็นต้นไม้แคระแต่คงสภาพให้ดูเหมือนของดั้งเดิมต้นฉบับ หรือพูดง่าย ๆ ว่าจำลองภาพของจริงของป่ามาสู่กระถางขนาดไม่เกิน 2-3 ฟุต นั้นไม่ใช่เรื่องยากก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่เรื่องของการปอกกล้วยเข้าปาก นอกจากความรู้ความเชี่ยวชาญแล้ว ต้องอาศัยการเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ และความอดทนสูงพอสมควร ถ้าเป็นคนใจร้อนล่ะก็ลืมได้เลยกับการเลี้ยงบอนไซ โดยเฉพาะเตี่ยปลูกบอนไซแบบสร้างตำนานในแต่ละกระถาง ไม่ใช่มีเพียงต้นไม้แคระเท่านั้น แต่จะมีการจัดฉากตามแต่จินตนาการจะพาไป และเจ้าต้นไม้แคระจะให้ความร่วมมือ
เตี่ยหยิบกรรไกรมาตัดแต่งต้นหนึ่งที่เห็นว่าบางส่วนได้โผล่แหร็มออกมาตามธรรมชาติของการเติบโต หากแต่ถ้าปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ มันก็คงไม่สวยดังใจของเจ้าของ มือทำไป ปากก็ชวนคุยไป
ใครล่ะ ว่าที่ลูกเขย
จะเรียกว่าที่ได้อย่างไร ยังไม่ได้ตกลงยกให้ซะหน่อย นายห้างลี้อดแก้ไม่ได้ ไอ้หนุ่มนี่มันเป็นเพื่อนสมัยเรียนหนังสือ
เตี่ยหันมามองหน้านายห้างลี้พร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก
ดูท่าทางลื้อจะไม่ค่อยยอมรับเขาสักเท่าไรนะ
ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า เขาก็เป็นคนดี แต่อั๊วว่าลูกเรายังไม่รู้จักผู้ชายมากพอที่จะตกลงใจร่วมชีวิตด้วย นายห้างลี้ถอนใจเฮือกใหญ่ เด็กสมัยนี้มันทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ให้เป็นเรื่องเล็กขนาดจูงมือไปซื้อยาสีฟันได้
อายุเท่าไรแล้วอาหมวยน่ะ
31
ตอนเราอายุขนาดนี้ก็มีลูกเกือบครึ่งโหลกันแล้วนะ เตี่ยตบบ่าเพื่อนเบา ๆ เชิงหยอกล้อ มีรอยขันกระจายทั่วตาคู่ฝ้าฟาง อั๊วว่าลูกสาวลื้อคงจะคิดรอบคอบน่า เพราะอายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แถมความรู้ก็สูง คงจะศึกษาฝ่ายชายดีพอหรอก
ศึกษาอะไร ถามกี่ข้อ ๆ บอกอยู่อย่างเดียว หนูไม่รู้ ๆ อั๊วอยากจะคลั่งตายนัก นายห้างลี้ทำท่าฮึดฮัด ช่างไม่รู้เลยหรือว่าพ่อเป็นห่วง พ่อรักขนาดไหน กับเรื่องสำคัญของชีวิตยังมาทำเป็นเรื่องเล่น
เอ้า ใจเย็นหน่อยเถอะ อั๊วว่าที่ลูกเขาบอกไม่รู้นี่อาจจะแปลได้ว่าไม่บอกก็ได้นี่นา เฮียลี้..ลูกสาวลื้อนะที่จะแต่งงาน ไม่ใช่ตัวลื้อ ถ้าลูกเขาพอใจ ลื้อก็น่าจะยินดีสนับสนุน ภาษิตไทยเขาว่าปลูกเรือนตามใจผู้อยู่จะปลูกอู่ก็ต้องตามใจผู้นอน ไม่ใช่ตามใจคนปลูก เพราะจะสุขจะสบายก็ต้องอยู่ที่ผู้อยู่ผู้นอนถูกใจมากน้อยแค่ไหน เตียงตัวนี้ลื้ออาจจะเห็นว่ามันนิ่มเกินไป นอนแล้วจะปวดหลัง แต่คนนอนเขาอาจจะชอบนิ่ม ๆ ถ้าเขานอนแล้วหลับฝันดีได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นจะไปกลัวว่าเขาจะตื่นขึ้นมาแล้วปวดหลัง
แต่อั๊วกลัวลูกจะไปตกระกำลำบาก
พ่อแม่รักลูกได้ ปกป้องลูกได้ก็ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นแหละ เราอายุกันปูนนี้แล้ว อีกไม่นานก็ต้องกลับบ้านเก่า หรือว่าลื้อจะหอบลูกกลับบ้านเก่าด้วย
พูดบ้า ๆ นายห้างลี้บ่นฮึมฮัม
เตียหัวเราะ
อั๊วรู้ นายห้างลี้พูดอย่างครุ่นคิด รู้ยิ่งกว่ารู้อีกว่าวัฏจักรวงจรชีวิตนั้นมีสุขกับทุกข์เป็นเครื่องปรุงแต่ง แต่คงจะเป็นเพราะความรักที่มีต่อลูกมั้ง ยังไงก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นลูกเป็นทุกข์
ไม่คิดบ้างหรือว่าถ้าไม่ให้แต่ง ลูกก็อาจจะเสียใจ
รอยหม่นระคนคลางแคลงปรากฏขึ้นบนสีหน้าของนายห้างลี้ เตี่ยลอบส่ายหน้า ตัวเตี่ยเองก็เป็นคนรักลูก แต่เห็นจะไม่ถึงครึ่งของสหายคนนี้
อย่าด่วนตีตนไปก่อนไข้เลย เตี่ยปลอบ ฟ้ามืดบางครั้งก็ไม่ได้แปลว่าพายุฝนจะกระหน่ำเสียเมื่อไรกัน
นายห้างลี้มองไกลออกไป ตอนนี้ท้องฟ้ากำลังอยู่ในสภาพสบายสายตาที่สุด เมฆดำลอยอยู่ไกลลิบ..มันผ่านไปแล้ส คงไม่ย้อนกลับมาอีก แต่พายุลูกใหม่อาจจะกำลังก่อตัวอยู่เงียบ ๆ ที่ไหนสักแห่ง สายตาผู้เฒ่ากลับมามองสิ่งใกล้ตัว เพื่อนรักเดินทอดน่องชมต้นไม้ของตนอย่างสบายอารมณ์ เห็นใบไม้ไหนเหลืองก็จัดการปลิดเด็ดออกจากต้น เห็นหนอนกินใบไม้ก็คีบทิ้งไป ไม่ต่างจากความเป็นพ่อของนายห้างลี้เลยสักนิด..
สองมือของพ่อได้ทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูลูก ๆ สองมือเดียวกันนี้ได้โอบอุ้มคุ้มครองลูก ๆ ให้รู้สึกอบอุ่นปลอดภัย และสองมือที่ทำหน้าที่ล้อมกันลูกไม่ให้ออกไปจากปราการความรักของพ่อ..เพราะเชื่อมั่นว่าไม่มีที่ใดที่จะดีไปกว่านี้อีกแล้ว
ต้นไม้มีชีวิต คนก็มีชีวิต
คนมีจิตใจ แต่ต้นไม้ไม่มี
เฮ้อ...นายห้างลี้ถอนหายใจ คงจะถึงเวลาแล้วใช่ไหมที่ต้นท้อในสวนพ่อจะไปออกดอกเบ่งบานให้บ้านอื่นได้ชื่นใจบ้าง
จะเป็นไรไปล่ะเพื่อนรัก...ยังไงก็ยังเหลือดอกท้ออยู่หลายกระถางไม่ใช่หรือ?
สายตาสองคู่ประสานกัน แล้วต่อมาเสียงหัวเราะดังลั่นก็ได้ยินไปทั่วสวนของเตี่ย
ไป เราไปเล่นหมากรุกกันอีกสักหลายกระดานเถอะ

ท้องฟ้ามืดแล้ว แต่ใต้ซุ้มการเวกยังมีชายชราสองคนนั่งเล่นหมากรุกจีนภายใต้แสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุ เตี่ยโบกพัดไปมาไล่ยุงขณะที่ดวงตาจดจ่อความสนใจไปยังกระดานตรงหน้า เวลาอยู่กับเพื่อนเช่นนี้เป็นสิ่งที่เตี่ยรับรู้มาตลอดชีวิตหลายสิบปีว่ามีค่า จะเอาอะไรมาแลกเตี่ยเป็นไม่ยอม