วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

ครูภิญโญ ณ นคร..แม่เสือแห่งวัฒนา

ยามอยู่ใกล้ ขอห่างพันลี้.... ตอนนี้ครูอยู่ไกลกว่าพันลี้ กลับอยากหวนไปอยู่ใกล้ชิดด้วย
สมัยเด็ก ๆ ฉันรู้สึกกลัวครู ๆ 3 พี่น้องสกุล ณ นคร มาก จนแอบตั้งตำแหน่ง สามเสือแห่งวัฒนา ให้  โดยผู้ครองตำแหน่งดุสุด เฉียบขาดสุดก็คือครูภิญโญนี่เอง แต่วันนี้ ฉันคิดถึงครูจังค่ะ คิดถึงด้วยความรัก ความรักที่ฉันไม่เคยคิด ไม่เคยเชื่อมาก่อนว่าฉันจะรักครูได้  เพราะช่วงเวลาที่ฉันเป็นนักเรียน ความรู้สึกที่มีให้ครูคือ..กลัว, กลัว และกลัว 555555 เรียกว่าเห็นครูเดินมาทางเหนือ ฉันจะเบี่ยงไปตะวันออกทันที เป็นครูคนเดียวในโรงเรียนที่ฉันขออยู่ห่าง ๆ ไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย  แม้ว่าตอนที่พ้นจากความเป็นนักเรียนใหม่ ๆ ก็ยังกลัวอยู่เลยค่ะ ไม่รู้ว่าทำไม แต่กลัวครูแบบไม่มีเหตุผล กลัวจนเป็นกุ้ง...
แต่วันนี้ วันที่นั่งคิดถึงครูอยู่นี้ กลับมีแต่ความรักความเคารพให้ครูอย่างเหลือล้น     มานั่งนึกขำ ๆ ว่า...ทำไมถึงได้กลัวครูซะขนาดนั้นนะเรา? ทั้ง ๆ ที่ครูไม่เคยทำโทษฉันแม้แต่ครั้งเดียว แค่ตวัดสายตามองมาปราดเดียว...นพพรก็..กุ้ง..แล้วค่ะ ขนาดเวลาครูยิ้มให้ ฉันยังหายใจไม่ปลอดโปร่งเลย แต่ก็น่ะ ครูไม่ค่อยยิ้มให้ฉันเห็นเท่าไรหรอกค่ะ พยายามนึก ๆ ๆ นับไปนับมา ไม่เกิน 1 หนที่เห็นครูยิ้ม จริงจริ๊ง....นี่พูดถึงตอนฉันเป็นนักเรียนนะคะ
ในบล็อก Noppaul’s Dream นี้ ได้เอ่ยถึงครูภิญโญมาหลายครั้งหลายหน ในบทความนี้ฉันอาจจะมีรีเพลย์บางเรื่องราวอีกครั้ง ก็ถือซะว่าคนมันแก่แล้ว เลยย้ำคิดย้ำทำบ้าง ขอให้ถือซะว่า... คนบางคน เรื่องราวบางเรื่องราวก็ทรงคุณค่าเพียงพอให้เราเอ่ยถึงได้ไม่รู้เบื่อ
ก่อนอื่น...ขออนุญาตว่า...สิ่งที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ อาจจะยาวและวกวนไปมาบ้าง นั่นเป็นเพราะฉันอยากพูดถึงครูให้สมกับความคิดถึงที่มี เป็นสิ่งที่ฉันอยากให้ครูได้รับฟัง ฉันเชื่อว่าถ้าวิญญาณมีจริง ครูคงมายืนอ่านอยู่ข้างหลังฉันขณะที่ฉันกำลังพิมพ์อยู่เป็นแน่ ฉันอยากให้ครูรับฟังความรู้สึกของฉันที่มีต่อครู อยากให้ครูรู้ว่า...ครูจากไปก็เพียงร่างกาย แต่ครูไม่เคยอยู่ไกลจากใจฉันเลย ชักน้ำตาซึมแล้วตรู....จะเขียนจบไหมเนี่ย
ฉันไม่ใช่เด็กดี หรือเรียบร้อย แต่สมัยอยู่วัฒนาไม่เคยทำผิดกฎ (โดยไม่จำเป็น) ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะกลัวโดนส่งตัวไปหาครูภิญโญนี่แหละค่ะ  พูดจริง ๆ นะคะ ฉันเคยโดนครูหลายคนทำโทษ แต่ไม่กลัวเท่าครูภิญโญเลย อย่างครูประพิธนี่ก็กลัวค่ะ แต่บางอารมณ์ก็ยังกล้าดื้อ เช่นมีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันอยากกลับบ้านมาก คุณแม่มารับแล้ว แต่ครูประพิธไม่อนุญาตให้กลับ เพราะไม่มีเหตุสมควรที่จะกลับ...ฉันยั้วะมากค่ะ ร้องไห้ประท้วงอยู่หน้าบ้านนั่นแหละ จนเวลากินข้าวก็ยังไม่ยอมไปไหน ต่อยาวจนถึงเวลาอาบน้ำด้วยเอ้า...จำความรู้สึกตัวเองตอนนั้นได้ดีเลยว่า...จะเอาชนะให้ได้ แต่พอเวลาผ่านไป ๆ มีไหวหวั่นแล้วค่ะ เนื่องจากคุณแม่กลับบ้านไปนานแล้ว ช่างไม่ห่วงลูกเล้ย....นพพรยังนั่งร้องไห้อยู่นั่นแหละ ครูที่ใจดีมาชวนให้ไปกินข้าวก็ทำสะบัดสะบิ้งโวยวายไม่ยอมไป แต่แวบเล็ก ๆ ในใจ...แอบกลัวว่าครูภิญโญจะเดินออกมาจากห้องทำงาน แล้วจะทำยังไงเนี่ยะ...คิดไม่ออกค่ะ 55555 ระหว่างครูยังไม่ปรากฏตัวขอประท้วงก่อน ครูประพิธคงขึ้นไปพักผ่อนแล้วมั้งคะ แบบว่าพอใจแล้วที่นพพรไม่ได้กลับบ้าน ครูอื่น ๆ ทั้งดุทั้งไม่ดุเดินมาพูดกับฉันหลายคน แต่ไม่ได้ผลสักคน นพพรปักหลักดื้อจนมืด ตอนนี้หัวใจเล็ก ๆ ชักกลัวแล้ว...ฉานยังไม่ได้กินข้าว+อาบน้ำเลย...55555555 จำได้ว่าในที่สุดครูผินเดินมาค่ะ คงได้ข่าวจากใครมั้งคะ มาถึงก็เรียก...นพพรมานี่มา... ตอนเด็ก ๆ ฉันรักครูผินมาก ๆ ก็เดินไป ฮือ ๆ ไป ครูผินให้นั่งตัก แล้วก็พูดว่า เอ้า..ฉันให้หอมแก้มทีนึง ฉันก็หอมแก้มครู พอครูหัวเราะ ฉันก็หัวเราะด้วย หายเศร้าเลย ครูหลาย ๆ คนที่เป็นห่วงอยู่พลอยหัวเราะไปด้วย จบด้วยครูวรรณดีจูงมือไปกินข้าว แล้วครูเวรพาไปอาบน้ำ...ไม่มีแม้แต่เงาของครูภิญโญ
เอาอีกฉากจะได้เห็นว่าครูภิญโญนั้น เป็นความน่ากลัวเด็ดขาดของฉันจริง ๆ คือพอขึ้นนอนแล้ว ฉันก็ร้องไห้ต่อ ครูเวรมาปลอบแล้วก็ไม่ยอมเงียบ เลยจูงมือไปส่งห้องนางพญา....5555555....เหมือนทีวีเปลี่ยนช่องเลย จากหนังโศก ไปเป็นหนังสยองขวัญ...น้ำตาเหือดแห้ง อารมณ์คิดถึงบ้านหายวับเป็นปลิดทิ้ง แต่พอเจอครู...ครูกลับไม่ดุสักคำ ไม่ถามอะไรด้วย นอกจากให้นั่งดูทีวี แล้วครูก็ชงไมโลให้กินกับขนมปังเค็ม...ฟังดูใจดีนะคะ แต่นพพรขอแค่ครั้งเดียวพอ 5555555 นับจากนั้นไม่กล้าร้องไห้บนตึกนอนอีกเลย กลัวครูเวรจูงไปหาครูภิญโญอีก
ฉันเป็นคนชอบโต้เถียง แต่เว้นไว้กับครูภิญโญ ไม่เคยได้อ้าปากสักแอะ...ต่อให้ครูดุทั้ง ๆ ที่ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันก็ก้มหน้านิ่งเงียบโดยดุษฎี ซึ่งมีไม่กี่ครั้งหรอกค่ะ ถ้าเป็นครูอื่น ลองมาดุแล้วฉันไม่ผิด หรือไม่ยอมรับว่าผิดซิ...นพพรเถียงตลอดค่ะ 5555555 แต่ไม่ได้ก้าวร้าวนะคะ แค่ถามว่าทำไมทำงั้นไม่ได้ ทำงี้ไม่ได้ หรือหนูไม่ได้ทำ ฯลฯ แต่กับครูภิญโญ..นพพรบำเพ็ญตบะเป็นเตมีย์ใบ้อย่างเดียวค่ะ เช่น..เวลาที่อยู่ในแถว แล้วโดนครูดุมาว่าฉันคุย ทั้ง ๆ ที่ฉันไม่ได้คุย ไม่ได้แม้แต่ฟังเพื่อนคุยด้วย...ครูเข้าใจผิดน่ะค่ะ แต่ฉันหรือจะกล้าเถียง? ได้แต่บ่นตัวเองอยู่ในใจว่าทำไมวันนี้ซวยจริง?
ทั้งหลายทั้งปวง...ฉันไม่เคยคิดว่าจะเข้าไปใกล้ชิดครูภิญโญเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งได้รู้จักครูชัชว์ ครูชัชว์เป็นครูที่ไม่เคยสอน แต่ทำไมสนิทกับฉันได้ก็ยังงง ๆ อยู่ 5555555  ครูชัชว์มักจะบอกฉันตอนที่ฉันจบจากโรงเรียนแล้ว ฉันไปหาครูจินตาบ่อย ๆ แล้วได้เจอครูชัชว์บ้าง ครูชัชว์บอกว่า...นพพร ครูภิญโญน่ะรักเธอมากรู้ไหม? ชมเธอให้ครูฟังตลอด...ฉันจำไม่ได้แล้วว่าครูชัชว์เล่าว่าครูภิญโญชมอะไรฉัน แต่ออกจะงงค่ะว่าฉันมีอะไรให้ครูภิญโญรัก และนำไปคุยกับคนอื่นด้วยเหรอ?  พี่ตุ้มก็เล่าเมื่อไม่กี่วันมานี้ ว่าพี่ตุ้มเองก็รู้ว่าครูภิญโญรักฉัน เพราะครูพูดกับพี่ตุ้มถึงฉัน...ทำให้พี่ตุ้มไปรับฉันแล้วพาไปเที่ยวสวนสนุกหลังจากที่พี่ตุ้มจบไปแล้ว  พี่ตุ้มเองก็รักครู และได้รับความรักจากครูเป็นพิเศษเช่นกัน  พี่ตุ้มเล่าให้ฟังเมื่อวันที่ฉันไปนอนเล่นบ้านพี่ตุ้มว่า ครูภิญโญเคยไปพักบ้านพี่ตุ้มตอนไปเที่ยวสิงคโปร์ แล้วฝากพี่ตุ้มแลกเงินสิงคโปร์ให้ 200 เหรียญ ซึ่งพี่ตุ้มเห็นว่านิดหน่อยแค่นั้น จึงได้เอาเงินสิงคโปร์ให้ครูตามที่ครูต้องการ โดยไม่ยอมรับเงินไทย แต่ก่อนที่ครูจะกลับเมืองไทย ครูได้วางซองสีขาวไว้ พี่ตุ้มก็รู้ค่ะว่าเป็นเงินไทยแน่ ๆ แต่ไม่ได้เปิดซอง เก็บเข้าตู้เซฟ แล้วลืมมันไปเลย จนกระทั่งครูเสียชีวิต พี่ตุ้มจึงนึกได้ มาเปิดซองดูเผื่อจะมีจดหมายอะไรจากครู แต่สิ่งที่อยู่ในซองไม่ใช่จดหมาย ตอนที่พี่ตุ้มเล่าได้หยิบซองออกมาเปิดให้ฉันดูด้วยค่ะ...เป็นแบ้งค์สมัยเก่า (รุ่นที่ใบใหญ่ ๆ ) แต่ใบเอี่ยมแถมเรียงเบอร์อีกต่างหาก !  ฉันเองยังขนลุกด้วยความซาบซึ้ง ไม่ต้องพูดถึงตัวพี่ตุ้มจะรู้สึกมากกว่าฉันแค่ไหน
ครูไม่เคยแสวงหาสิ่งใด ๆ จากศิษย์คนไหน ๆ ทั้งสิ้น เคยมีเพื่อน (จำไม่ได้แล้วว่าใคร) เอาเงินให้ครู รู้สึกว่าจะเป็นวันเกิด ครูก็บอกว่าได้ส่งเงินที่ให้มานั้นบริจาคไปกับโบสถ์ หรือมูลนิธิอะไรสักอย่าง ...จำไม่ได้อีกเหมือนกัน...เอาเป็นว่าเงินที่ศิษย์ให้ ครูไม่ได้นำมาใช้ แต่นำไปทำบุญต่อ เพื่อให้ผลบุญตกอยู่กับตัวศิษย์นั้น ๆ ครูบอกค่ะว่าครูไม่ต้องใช้เงิน มีรายได้จากสวนยางเพียงพอกับการดำรงชีวิตแล้ว ไม่ต้องรบกวนให้ใครเอาเงินมาให้ครู ไม่เพียงแต่ไม่เคยเรียกร้องสิ่งของเงินทองจากศิษย์แล้ว ครูกลับเป็นผู้ให้เสียเอง...ทุกปีครูจะส่งฟรุตเค้กแสนอร่อยมาให้ 
ฉันไปเยี่ยมครูที่นครครั้งแรก ... ผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว แต่ฉันยังจำได้ดีค่ะ จริง ๆ แล้วฉันเคยคิดว่าจะไปนครหลายหนแล้ว แต่จนใจ ไม่รู้จักใคร แล้วไม่เคยไปใต้เลย จนกระทั่งได้รู้จักเพื่อนคนหนึ่งเป็นคนพัทลุง ปีหนึ่งเขาก็ชวนฉันไปเที่ยวบ้านเขา คำแรกที่ฉันเรียกร้องก่อนรับคำชวนคือ... เธอต้องพาฉันไปหาครูที่นครนะ ต้องช่วยหาบ้านให้เจอด้วย... 5555555 แล้วเป็นโชคของฉันที่มีเพื่อนดี ๆ ตามใจฉันมากมาย พอไปถึงพัทลุง ฉันก็ยืมรถที่บ้านเขา ขับรถจากพัทลุงไปนครทันที ตอนนั้นตื่นเต้นมากค่ะ เพราะไม่ได้บอกครูล่วงหน้าด้วย กะว่าจะเซอร์ไพร้ส์ครู...ไปถึง ครูเพ็ญเพ็ชรกำลังจะออกไปธุระข้างนอกพอดี เจอกันที่หน้าประตูบ้านค่ะ หลังจากนั้นไม่นาน ครูเพ็ญเพ็ชรก็ล้มป่วย และจากพวกเราไป...เร็วมากค่ะ ฉันก็เข้าบ้านไปนั่งรอในห้องรับแขก มีคนขึ้นไปตามครูภิญโญลงมาค่ะ ครูถามว่า มายังไง หาบ้านครูเจอได้ยังไงเนี่ยะ ฉันก็บอกครูว่าเพื่อนพามาค่ะ แต่ฉันเป็นคนขับรถมาจากพัทลุง ครูภิญโญก็ให้ฉันขับรถไปร้านขนมจีน แล้วเลี้ยงขนมจีนฉัน ครูสอนให้ฉันกินขนมจีนแบบปักษ์ใต้ คือผสมน้ำยา น้ำพริก แกงต่าง ๆ จำได้ว่า 7-8 ชนิดในจานเดียวกัน! ที่จริงก่อนที่จะมานคร ที่บ้านพัทลุง เพื่อนก็ชวนให้ฉันกินแล้ว แต่ฉันไม่ยอมกิน แบบว่าไม่ใช่พระ 5555555 พอครูภิญโญบอกให้กิน ฉันก็...กลัวท้องเสียก็กลัว แต่กลัวครูมากกว่า 5555555 (ยังหลงเชื้อความกลัวอยู่ค่ะ) พอกินแล้วก็ ...อร่อยดีแฮะ ติดใจอีกต่างหาก จากนั้นครูก็พาไปเที่ยววัดพระธาตุซึ่งเป็นวัดประจำจังหวัด ครูบอกว่าให้ฉันเข้าไปเดินดูกับเพื่อน ครูเดินไม่ไหว จะนั่งรอตรงนี้  ฉันเป็นคนไม่ชอบทัวร์วัด แต่ก็น่ะ ไม่กล้าบอกครู 5555555 เลยเดินไปดู ๆ สองทีก็ออกมา ฉันจำไม่ได้ว่าคุยอะไรกับครูบ้าง แต่ขากลับ เพื่อนฉันบอกว่า ครูพี่อ่องใจดีจัง 55555555 ถ้าเพียงเธอรู้จักครูในวัฒนา...เธอจะไม่พูดแบบนี้ 5555555
จากครั้งแรกที่ไปบ้านครู ฉันก็ยังไปอีกหลายครั้ง เรียกว่าโฉบไปทางใต้ทีไร ต้องหาเรื่องไปนครเพื่อไปเยี่ยมครู ไม่นับที่เจตนาไปนครเพื่อไปบ้านครูโดยเฉพาะ คือครั้งที่พาครูจินตากับครูชัชว์ไป และไปงานศพครูไพจิตร และครั้งสุดท้ายที่ไปด้วยหัวใจสลาย...คือไปงานศพของครูภิญโญเอง และนี่คือครั้งสุดท้ายที่ฉันไปนคร จากนั้นจนวันนี้ไม่เคยคิดจะกลับไปอีก เพราะไม่มีใครให้ไปหาอีกแล้ว
หลายครั้งที่ไม่ได้ลงใต้ ฉันก็จะโทรศัพท์ไปคุยกับครู (ตอนนั้นยังพอคุยโทรศัพท์ได้บ้าง ก็หากันไป หากันมาระหว่างครูกับศิษย์ หาเจอมั่ง ไม่เจอมั่ง หูตึงพอกัน 55555)  บางทีก็ส่งนิยายที่แต่งไปให้ครูอ่านบ้าง เขียนจดหมายไปเล่าอะไร ๆ ให้ครูฟัง  ฉันได้รับจดหมายตอบจากครูหลายฉบับ แต่ความที่ฉันย้ายบ้านบ่อย เดี๋ยวไปโน่นมานี่ จดหมายต่าง ๆ เหล่านี้จึงได้สูญหายไปสิ้น ซึ่งน่าเสียดายมาก
วันสุดท้ายที่ฉันได้อยู่ใกล้ชิดครู คืองานศพครูไพจิตร ฉันจำได้ว่านั่งติดกับครูตลอดเวลา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะใจหายด้วยที่เห็นครูผมสีขาว ปกติครูจะย้อมค่ะ แต่ครั้งหลังสุดที่ไป ครูไม่ได้ย้อม ดูแปลกตาไปเลย แล้วครูดูเศร้ามาก ไม่เคยเห็นครูร้องไห้ก็ได้เห็น ครูบอกว่า..ครูไพจิตรกลับบ้านเพื่อจะมาดูแลครู แต่คนดูแลไปซะก่อน.... ฉันร้องไห้เลยแหละค่ะด้วยความสงสารครู เวลาที่เราสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป คำพูดใด ๆ ก็ไม่สามารถปลอบโยนได้...คงต้องให้กาลเวลาเป็นสิ่งคลายความหมองเศร้า และความเข้มแข็งของเราเองที่จะผ่านพ้นไปให้ได้
วันที่ครูภิญโญจากไป แล้วฉันเดินทางไปงานศพ ครูบำเพ็ญขอให้ฉันขึ้นไปพูด แต่ฉันบอกว่าฉันคงพูดไม่ได้ เพราะฉันแพ้สาธารณชน 5555555 แต่ฉันจะเขียนอะไรสักอย่าง เพื่อให้ครูบำเพ็ญนำไปอ่านแทนฉัน ครูก็ตกลง ...และนี่คือสิ่งที่ฉันเขียนให้ครูภิญโญค่ะ มันสั้น และไม่ได้บอกความรู้สึกจริง ๆ เท่าไร เพราะมัวแต่เศร้าจนสมองไม่ทำงาน

            ในสวนของพระเจ้า  มีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่งซึ่งสวยสดงดงาม แต่มีผลอยู่เพียงไม่กี่ผล ต้นไม้ต้นนั้นพระเจ้าได้ทรงเรียกว่า ต้นสร้างคนดี   หนูแหงนมองดูด้วยความรัก ชื่นใจและหวงแหน แต่ก็สลดหดหู่ เพราะบัดนี้ในจำนวนผลที่มีอยู่น้อยนั้น ผลหนึ่งซึ่งสุกและงอมจัดมานาน ก็ค่อย ๆ หลุดและล่วงหล่นลงมาท่ามกลางความเสียดายเป็นล้นพ้น
            ผลนั้นมีชื่อว่า อาจารย์ภิญโญ ณ นคร  ครูผู้มีความเป็นครูอยู่ในทุกหยาดหยดของเลือด  ทุกอณูของเนื้อที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกาย และทุกลมหายใจ และบัดนี้แม้ทุกอย่างจะค่อยสลายไปตามวิถีทางของธรรมชาติแล้วก็ตาม  สิ่งหนึ่ง..จะยังคงอยู่เสมอ
            สิ่งนั้นคือวิญญาณแห่งความเป็นครู ที่จะตราตรึงอยู่ในความทรงจำของมวลศิษย์ตลอดไป 
            หนูรู้จัก ตัวตน ของครูภิญโญน้อยมาก ยิ่งสมัยเด็กยิ่งแทบไม่รู้จักเลย  เพราะความดุของครูนั้นขึ้นชื่อลือชาจริง ๆ  กระทั่งว่าแม้ครูภิญโญจะยิ้มให้ นักเรียนที่กำลังเดินเข้าไปหาก็ยังไม่ค่อยจะปลอดโปร่งใจนัก
            ครูชัชว์เล่าให้หนูฟังว่าครูภิญโญเป็นคนที่ใจอ่อนมาก  เพราะกลัวว่าจะไม่สามารถปกครองนักเรียนได้ เลยต้องทำดุไว้  หากเป็นอย่างที่ครูชัชว์พูดจริง  ก็นับว่าครูภิญโญประสบความสำเร็จอย่างสูงทีเดียว เกราะที่ครูสร้างนั้นทั้งสูง ทั้งหนาเสียจนไม่มีใครสามารถมองทะลุไปถึงหัวใจของครูได้เลย
             แต่หนูยังโชคดี เพราะคำพูดของครูชัชว์ที่พูดให้ฟังเสมอ ๆ (หลังจากจบจากวัฒนาฯแล้ว) ว่า
            ครูภิญโญรักเธอรู้ไหม?  พูดถึงเธอให้ครูฟังเสมอ ๆ
            โอ้โห ครั้งแรกที่ฟัง..บอกตรง ๆ เลยว่าไม่ค่อยจะเชื่อ  ไม่ใช่จะว่าครูชัชว์ปดหนูหรอก แต่..ไม่เชื่อหูตัวเองว่าฟังถูกหรือเปล่า  เพราะสมัยเรียนไม่เคยเห็นครูภิญโญจะมีทีท่าว่าเมตตาหนูเลย  มีแต่ส่งสายตาดุ ๆ มาให้ล่ะบ่อย  
            แต่เมื่อแน่ใจว่าฟังถูกต้องแล้ว..ก็ต้องพิสูจน์ 
            จริงของครูชัชว์  เนื้อแท้ของครูภิญโญนั้น ใจดีมาก   เมื่อครั้งแรกที่หนูไปหาครูที่นครฯ ครูได้กรุณาเป็นไกด์พาหนูไปเที่ยววัดพระธาตุ และพาไปกินขนมจีนที่อร่อยมาก ๆ ด้วย  ซ้ำยังบอกเพื่อนของหนู (ซึ่งไม่ใช่นักเรียนวัฒนาฯ แต่เป็นคนพาหนูไปหาบ้านครูเพราะเคยเรียนอยู่นครฯ) ว่า
            เรียกฉันว่าป้าเถอะ ฉันออกจากครูแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นครูแล้ว
            เพื่อนนั้นก็ชื่นชมกับคุณป้าภิญโญ ถึงกับบอกว่า
            ครูพี่อ่องนี่ใจดีจังเลย
            และเมื่อหนูได้ไปหาครูอีก  ครูซึ่งสุขภาพไม่สู้ดี แต่จำได้ว่าหนูชอบขนมจีนร้านนั้น ก็ได้กรุณาจัดหามาต้อนรับเสียเต็มโต๊ะ เลี้ยงคนได้นับสิบทั้ง ๆ ที่มากันแค่ 3 คน 
            ขากลับ ครูก็กรุณามีของฝากให้หอบหิ้วมากรุงเทพฯ อีกทุกครั้ง  
            และถึงอยู่กรุงเทพฯ บางปีที่ครูราศรีไม่ยุ่งนัก ครูภิญโญก็จะให้ทำขนมฟรุตเค้กแสนอร่อยแล้วส่งมาให้ทางไปรษณีย์ 
            หนูจึงได้ตระหนักว่า แท้จริงแล้ว ครูภิญโญรักและเมตตาหนูอย่างที่ครูชัชว์ว่าไว้จริง ๆ 
            หนูไม่สามารถจะบอกได้ว่าความอาลัยที่มีต่อครูภิญโญ..มากเพียงไหน  เมื่อครูวารุณีแจ้งข่าวให้ทราบ ก็รู้สึกใจหาย  เพราะได้เคยอยากจะไปเยี่ยมครูตลอดเวลา  แต่ก็ไม่ได้ไป  พักหลังนี้แม้แต่จดหมายก็ไม่ค่อยได้เขียน  แต่หนูดีใจที่ได้เคยเรียนบอกครูภิญโญด้วยตัวเองว่า
            หนูรักครู
            และที่ครูได้บอกหนูเมื่อวันฝังครูไพจิตรว่าจะพยายามดูแลรักษาตัวเองเพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่หนูนั้น หนูก็เชื่อค่ะว่าครูได้พยายามเต็มที่แล้ว  แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น..มีที่สิ้นสุด
           
            ล่วงลงแล้ว..อีกหนึ่งผล..คนสร้างชาติ
            ผู้องอาจในวิชชาและหน้าที่
       ผู้เปี่ยมล้นผู้งดงามด้วยความดี  
          ความดีที่ยังคงอยู่คู่โลกา
         ขอก้มกราบแทบเท้าด้วยเคารพ             
        ครูเช่นนี้ในผืนภพยากจะหา
       ถือเป็นเพชรพิสุทธิ์น้ำล้ำราคา
      ขอกราบลาครูภิญโญ ณ นคร

        ตอนที่อยู่นคร สมองไม่ปลอดโปร่ง เลยแต่งกลอนไม่ค่อยออก เขียนได้แค่นั้น แต่พอได้กลับมากรุงเทพ แล้วโรงเรียนมีพิธีไว้อาลัยจัดที่โบสถ์วัฒนา เพื่อน ๆ ขอให้ฉันแต่งกลอนในนามรุ่น ฉันจึงได้เขียนเพิ่ม

       หากจะมีที่ผูกใจไว้ให้ติด
ให้ใกล้ชิดวัฒนากัลปาวสาน
สิ่งหนึ่งคือความผูกพันอันยาวนาน
คือรักผ่านจากครูสู่นักเรียน
ครูภิญโญแม้ภายนอกบอกได้ยาก
เพราะดุมากยามสั่งสอนวอนอ่านเขียน
ทั้งเข้มงวดกวดขันเราให้พากเพียร
เพื่อนักเรียนเป็นคนดีมีวินัย

วันนี้หนูคิดถึงครู...คิดถึงมาก

อาจเคยกลัวและไม่อยากอยู่ใกล้ใกล้              

เพราะเดียงสายังน้อยด้วยเยาว์วัย
พอเติบใหญ่จึงเข้าใจในคุณครู
แท้จริงแล้วครูรักหนูอยู่ลึกลึก            
เพราะสำนึกในหน้าที่มีต่อหนู
ความหวังดีมีแฝงทั่วทุกอณู                            
ในใจครูไม่รู้หมดไม่รู้คลาย
จงเป็นเกลือรักษาเค็มให้เข้มไว้                 
ครูสอนไว้ขอใส่ใจไม่เสื่อมสลาย
อาจจะยากแต่จะเพียรไม่วางวาย                     
สิ่งสุดท้ายมอบแด่ครูบูชาคุณ
กราบแทบเท้าอำลาอาลัยล้น              
ขอกุศลผลกรรมดีจงเกื้อหนุน
สวรรค์โปรดให้ครูได้ใช้เป็นทุน                     
เสวยบุญเสวยสุข ณ เมืองแมน.
วันที่ 1 พฤษภาคมปีนี้ หากครูยังอยู่ ฉันคงได้ชวนพี่เจน พี่ตุ้ม พี่เก็จ ป๊าก และหลาย ๆ คนล่องใต้เพื่อไปกราบครูเนื่องในวันเกิดกัน น่าเสียใจและเสียดายที่เรามาสนิทสนมกันช้าไป แต่วันที่ 1 พฤษภาคมต่อนี้ไป...ก็คงเป็นแค่วันแรงงานแห่งชาติธรรมดา ๆ วันหนึ่ง 
ถึงฉันจะไม่ได้ไปหาครู แต่ครูกลับมาหาฉัน ครูเข้ามาอยู่ในความคิดถึงของฉัน ไม่ใช่แค่วันที่ 1 พฤษภาคม... แต่เป็นวันนั้น วันนี้ และวันโน้น ความเมตตา ความดีของครูได้แวะเวียนเข้ามาให้ฉันรำลึกถึงอยู่เนือง ๆ
วันนี้เป็นวันพิเศษหน่อย เนื่องจากวันก่อนที่เจอพี่ตุ้ม เราได้คุยกันถึงครูมากสักหน่อย แล้ววันที่ 19 ที่ผ่านมาก็มีงานรำลึกถึงอาจารย์อายะดา ฉันเลยคิดถึงครูภิญโญมากเป็นพิเศษ
ครูขา...ถ้าครูได้อ่านบทความนี้ด้วยญาณวิถีใด ๆ หนูหวังว่าครูจะมีความสงบสุข หนูหวังว่าวันหนึ่งในโลกหน้า หนูจะได้พบครูอีก แล้วในวันนั้น...หนูจะไม่กลัวครูอย่างโง่ ๆ แบบในวัยเด็กของหนูอีกต่อไป แต่หนูจะกอดครู และบอกครูอีกครั้งและอีกหลาย ๆ ครั้งค่ะ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปอีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี หนูก็จะยังจดจำ และรำลึกถึงแม่เสือแห่งวัฒนา ด้วยความเคารพ บูชา และด้วยความรักอย่างยิ่งเช่นนี้...ตลอดไปค่ะ

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

ผู้ชายคนหนึ่งที่รักฉันมากที่สุดในโลก

ขอพื้นที่ตรงนี้คิดถึงผู้ชายคนนั้นได้ไหม?
ฉันเกิดมาได้รับความรักอย่างล้นเหลือจากผู้คนรอบข้าง เริ่มตั้งแต่พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติ ๆ ผู้ใหญ่แทบทุกคน ส่วนหนึ่งนอกจากฉันเป็นลูกคนโตของพ่อ....ที่เป็นที่รักที่สุดของย่า และแม่...ที่เป็นที่รักที่สุดของตา....แล้ว ฉันว่าตอนเล็ก ๆ ฉันหน้าตาน่ารัก ใครเห็นก็อดรักไม่ได้ นี่พูดแบบไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ และตอนเล็ก ๆ คุณแม่บอกว่าฉันไม่หวงตัว ใครมาอุ้มก็ให้อุ้มหมด ใครเล่นด้วยก็เล่นหมด
มีบุคคลหนึ่งที่หลงรักฉันตั้งแต่ฉันแบเบาะ และยังคงเสน่หาฉันจนถึงวันนี้..แม้ว่าฉันจะเปลี่ยนไปจากเจ้าหญิงน้อย ๆ ของทุกคน เป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเอง เป็นหญิงสาวที่ดื้อรั้น จนถึงเป็นป้าที่หน้ายาย...ความรักของผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือลดน้อยลง ยังคงเป็นความรักพิเศษที่ให้กับฉันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ปีนี้ฉันอายุเท่ากับผู้ชายคนนี้ในวันที่เขาพบฉันเป็นครั้งแรก 50 ปีที่ฉันเติบโตมาและอบอุ่นอยู่ในความรักความเมตตาของเขา วันนี้ฉันอยากเขียนอะไร ๆ ถึงเขาอย่างจริงจัง และจริงใจ เขียนเพื่อบันทึกความทรงจำทุก ๆ เม็ดที่ฉันนึกออก ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในสายตาของหลาย ๆ คน เป็นคนดีที่ใคร ๆ หลายคนเทิดทูน ยกย่อง แต่สำหรับฉัน...เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่รักฉันมากที่สุดในโลก และฉันก็รักเขามากที่สุดเช่นกัน...ความทรงจำทุกฉาก ทุกตอนระหว่างฉันกับเขา มีแต่ความรักที่เขาให้ฉันทั้งสิ้น และบางทีการที่ฉันเป็นคนที่ชอบเอาใจคนที่ฉันรัก ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่ฉันได้รับความรักความเอาใจจากผู้ชายคนนี้กระมัง แต่ฉันไม่เคยเอาใจใครได้เท่ากับที่เขาเอาใจฉัน ตามใจฉัน ยอมรับฉันอย่างที่ฉันเป็น เพราะความรักของเขาช่างลึกซึ้ง และมากมายมหาศาลจริง ๆ
อ่านมาถึงตรงนี้ คนที่รู้จักครอบครัวฉันดีคงรู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้คือใคร เพราะมีเพียงหนึ่งเดียวที่รักฉันได้ขนาดนั้น  ถูกแล้วค่ะ...ผู้ชายคนนี้คืออากงของฉันเอง...
การที่ฉันเขียนหนังสือได้มีโวหารดี ส่วนหนึ่งมาจากการสนับสนุนส่งเสริมของอากง สมัยพวกเราเล็ก ๆ ทุกตรุษจีน พวกเราต้องไปที่บ้านอากง นอกจากรับซองแดงแล้ว ก็ยังได้รับโอวาทจากอากงด้วย ฉันมักจะนั่งหน้าสุดฟังอากงตาแป๋ว อากงเป็นผู้ชายที่ทรงเสน่ห์มากค่ะ หล่อ เท่ เจ้าโวหาร สิ่งที่อากงสอน ฉันคงไม่สามารถบอกได้หมดเพราะมันเยอะมาก ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดที่อากงต้องการให้ลูกหลานทุกคนมีคือ ความกตัญญู  อากงไม่เพียงแต่สอนด้วยคำพูด แต่สอนด้วยการกระทำของตัวเองให้เป็นเยี่ยงอย่าง ภาพอากงจูงประคองอาไท่เป็นภาพที่คุ้นตาลูกหลานและผู้คนที่ได้พบเห็น
อากงเป็นนักพูดชั้นยอดจริง ๆ ค่ะ แม้ว่าจะพูดไปคิดไป ไม่ได้ร่างเป็นกระดาษมา แต่เด็ก ๆ อย่างฉันก็ฟังเพลิน เดชะบุญที่ตอนนั้นยังฟังได้ถึง 40%  ไม่ใช่แต่วิธีการพูด ลีลาท่าทางของอากงตอนยืนเทศนาลูกหลานก็ชวนมอง ฉันจำได้ติดตา เพราะทุกปี ๆ จะคล้าย ๆ กัน คืออากงจะยืนสบาย ๆ มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า สายตามองคนฟังไปทั่ว ลูกหลานเยอะค่ะ ไม่ใช่แค่ลูก ๆ หลาน ๆ ของอากง ยังมีลูกหลานของน้องชายน้องสาว และญาติ ๆ อีก น้ำเสียงอากงน่าฟังมาก ไม่ใช่ว่าไพเราะอะไรหรอกนะคะ แต่เป็นน้ำเสียงที่มีความเป็นมิตรสูง ฟังแล้วอบอุ่น ฟังแล้วดึงดูดให้อยากฟัง
มีอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนฉันยังไม่ถึง 10 ขวบ ตรุษจีนก็จะไปเล่นกับญาติที่บ้านนเรศ ส่วนมากแล้วจะค้าง 1 คืน พอวันรุ่งขึ้นอากงก็จะพาทุกคนไปช็อปปิ้งที่เซ็นทรัลสีลม จำได้ว่าเป็นกลุ่มใหญ่มาก ก่อนไปอากงกำหนดไว้ว่าให้ทุกคนเลือกซื้อของเล่นได้คนละ 1 ชิ้น ฉันเห็นอากงต้องจ่ายตังค์เยอะ ก็สงสารเลยไม่เลือก พอกลับมาบ้าน อากงก็เอาของทั้งหมดมากองไว้ ลูกหลานล้อม ยังกับซานตาคลอสเลย แล้วอากงก็จะหยิบของขึ้นมาถามว่าของใคร  ใครที่เลือกไว้ก็จะมารับ ใครแอบซื้อเกิน 1 ชิ้นก็จะโดนดุนิดหน่อย พอแจกหมด เห็นฉันไม่ได้ อากงก็ถาม ฉันก็บอกว่าเห็นอากงซื้อของให้คนอื่นเยอะแยะแล้ว เลยไม่ซื้อ อากงก็ควักตังค์ให้ 1 พันเป็นการขอบใจที่เป็นห่วงอากง จำได้ว่าโดนพี่ ๆ น้อง ๆ น้า ๆ เหล่...ไอ้นี่ฉลาดแฮะ ได้เยอะกว่าใครเพื่อนเลย เนื่องจากสมัยนั้นค่าครองชีพยังไม่สูงค่ะ ของเล่นส่วนใหญ่ที่แต่ละคนเลือก หรูสุดก็ไม่เกิน 500 บาท
เหมือนคนจีนทั่วไป อากงไม่ชอบเสื้อผ้าสีดำ คุณแม่จะบอกเสมอว่าเวลาไปบ้านนเรศห้ามใส่ขาวดำนะ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง น้าฉันให้เสื้อตัวหนึ่ง เป็นสีขาว-ดำ ฉันชอบมาก และใส่บ่อย มีอยู่วันหนึ่งก็เผลอใส่ไปบ้านนเรศ แล้วอากงเดินมาเห็น สิ่งที่อากงพูดคือ วันนี้แต่งตัวสวย ทำเอาพี่ที่ได้ยินแอบเม้าอากงว่า ทีคนอื่นใส่น่ะว่าทำไมใส่สีดำ..ใครตาย แต่พี่อ่องใส่ชมว่าสวย ลำเอียงของแท้ อากงเป็นคนลำเอียงจริง ๆ ซึ่งอากงก็ยอมรับ บอกกับใคร ๆ เสมอเวลาโดนตัดพ้อว่านิ้วมือคนเราเอง 5 นิ้วยังยาวไม่ทันเลย ฉะนั้นการที่อากงจะรักคนไม่เท่ากันก็เป็นเรื่องปกติ ลูกบางคนบอกอากงว่า อาป๊าจะรักลูก ๆ ไม่เท่ากันน่ะไม่ว่า แต่อย่าลำเอียงได้ไหม?  อากงก็สวนกลับว่า...บ๊ะ...ก็เพราะรักไม่เท่ากัน ลำถึงได้เอียงไงเล่า แต่ถึงอากงจะลำเอียงแค่ไหน ฉันก็เห็นลูกหลานรักอากงทุกคน
ญาติผู้น้องคนหนึ่ง ตอนเด็ก ๆ เคยสอบตก อากงโกรธมาก ถึงขนาดบอกว่า...ต่อไปเวลาไปสอบไม่ต้องเอานามสกุลอั๊วไปสอบนะ ...แต่พอหลานคนโปรดสอบตก ...เงียบสนิท ไม่ตำหนิแม้แต่ครึ่งคำ ฉันก็แก้แทนอากงว่า...เพราะฉันไม่เคยใช้นามสกุลอากงไปสอบอยู่แล้ว อากงเลยไม่รู้สึกอะไร
สมัยไปเรียนที่อเมริกา อากงเขียนจดหมายไปคุยกับฉันบ่อย ๆ แต่ฉันเขียนมาคุยบ่อยกว่า พี่ ๆ น้า ๆ ไม่รู้ รู้แต่ว่าอากงเขียนไปหาฉัน น้าคนเล็กมักจะบ่นว่า ... ทีลูกไม่เคยเขียนมาคุยด้วย แต่หลานคนโปรดเขียนด้วยลายมือตัวเองอีกต่างหาก ปกติอากงจะใช้เลขาพิมพ์แล้วเซ็นชื่อน่ะค่ะ  ส่วนพี่อีกคนก็เคยได้รับจดหมายจากอากง แต่ก็ยังไม่วายอิจฉา เพราะ... ของพี่น่ะ คุณปู่มีแต่เขียนมาด่า ๆ ๆ ไม่เหมือนของพี่อ่องหาคำด่าไม่เจอสักครึ่งคำ 
เรื่องความลำเอียงของอากงมีเยอะ เล่าได้ไม่จบไม่สิ้น ฉันโชคดีที่อยู่ถูกด้าน จึงไม่เคยขาดความรักจากอากงเลย แม้ในยามที่อากงเริ่มจำลูกหลานไม่ได้ แต่อากงจะจำฉันได้เสมอ ไม่ว่าฉันจะไม่ได้ไปหาเลยเป็นเวลานาน อากงก็จำฉันได้ ซึ่งหลายคนอดน้อยใจไม่ได้ บางคนอยู่บ้านเดียวกัน แวะมาสวัสดีอากงเกือบทุกวัน อากงก็ไม่เคยจำชื่อได้ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ฉันเชื่อได้ยังไงว่าผู้ชายคนนี้รักฉันมากที่สุดในโลก? ในเมื่อชีวิตเขาแวดล้อมด้วยผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นลูกหลาน บริวาร มิตรสหายในสังคม...แต่ฉันกลับได้เป็นบุคคลสำคัญสำหรับเขา ทั้ง ๆ ที่ฉันไม่ได้มีความดีความพิเศษอะไรกว่าใครอื่น จะว่าเป็นหลานใกล้ชิดก็ไม่ใช่ เพราะอยู่คนละบ้าน จะว่าเป็นคนเก่งก็ไม่เชิง มีคนเก่งกว่าฉันมากมายที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขา แต่อากงมองเห็นฉันเสมอ และในสายตาที่มองมาก็เปี่ยมไปด้วยความรักเมตตาที่หล่อเลี้ยงฉันตลอดมาจนโตเป็นสาวจนแก่ ไม่ว่าจะทำอะไร เวลาทำดี แม้เล็กน้อย อากงจะชื่นชมราวกับฉันได้ทำคุณความดีใหญ่หลวง แต่เวลาทำผิด อากงก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ซะงั้น
ส่วนมากแล้วเวลาอยู่กับอากง ฉันจะทำตัวดี การที่ฉันเขียนหนังสือได้ดี อากงคือแรงบันดาลใจเบอร์ 1 ของฉัน ตั้งแต่ฉันยังไม่รู้จักบทสัมผัสในกลอน เพียงแต่เขียน ๆ ให้อ่านฟังเป็นกลอน แต่สัมผัสนอกในอะไรไม่มีเพราะไม่เคยเรียน แต่อากงจะให้ความสำคัญมาก ทุกปีวันเกิดฉันต้องเขียนไปอ่านให้อากงฟังทุกปี มีอยู่ปีหนึ่งจำได้ว่าไปถึงสาย มีแขกเหรื่อมาเต็มห้องโถงที่บ้านนเรศ พอฉันไป พ่อ-แม่ก็พาไปสวัสดีอากง แล้วให้ฉันอ่านกลอนให้ฟัง อันฉันนั้นขี้อายแก้ไม่ตกจริง ๆ ห้องเต็มด้วยแขกอากงใส่สูท ยืนเต็มห้อง ฉันไม่อยากอ่านแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะปีนั้นน้อง ๆ ไม่ได้ไปด้วย พอเริ่มอ่าน..มีคนเอาไมโครโฟนมาตั้งอีก ...โอไม่นะ! ฉันแพ้ไมโครโฟน แต่สายตาอากงที่มองมาเป็นกำลังใจให้ฉันสู้อ่านจนจบ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นกลอนเด็ก ๆ ไม่ได้มีสัมผัสตามแบบแผน แต่พออ่านจบ เสียงปรบมือลั่นห้องโถง จำได้ว่าฉันอายมาก วิ่งไปซุกแม่ทันทีที่อ่านจบ อากงเดินตามมาลูบหัว พร้อมคำชม ฉันจำไม่ได้ว่าอากงพูดอะไรบ้าง จำได้แต่ว่า..ความอายความกลัวนั้นหายไป ความภาคภูมิใจกลับมาแทนที่เต็มหัวใจ
นับแต่นั้นมา...พอเริ่มเรียนรู้บทสัมผัส ฉันก็จะขวนขวายฝึกฝนตัวเอง จนกลายเป็นนักกลอนมือหนึ่งของเพื่อน ๆ ไป อันดับสองที่สนับสนุนฉันนอกจากอากงแล้วก็คือพ่อกับแม่ ผู้ไม่เคยปฏิเสธถ้าฉันจะซื้อหนังสือ เว้นหนังสือเอ็นไซโคพิเดีย ที่จริงพ่อจะตามใจ แต่แม่เบรกไว้ค่ะ ถามว่าจะอ่านหรือว่าอยากมีไว้ประดับบารมี? ฮ่า ๆ ๆ แบบว่าอีตอนที่ร้องจะซื้อเนี่ยะ เพิ่งจะ 12-13 ขวบเองค่ะ คะแนนภาษาอังกฤษในสมุดพกยังเป็นตัวเลขสีแดงเล้ย แล้วหนังสือหลักหมื่น...ซื้อรถได้ 1 คันเลยแหละค่ะ...สมควรให้แม่ถามแบบนั้นแล้ว
พอฉันโตขึ้นมา มีอยู่ช่วงหนึ่งทำงานที่ตึกเดียวกับอากง ทุกวันฉันจะซื้อแอ๊ปเปิ้ลวันละ 1 ลูก แล้วเอาไปให้เลขาอากงปอกให้อากงกิน ตัวฉันเองก็จะไปนั่งคุยกับอากง อู้งาน ทุกวันเช่นกัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง น้าคนหนึ่งหิ้วแอ๊ปเปิ้ลมาให้อากงตะกร้าใหญ่ เดินมาพร้อม ๆ กับที่ฉันเข้าไปพอดี เขาก็ทักว่า..  อะไร เอาแอ๊ปเปิ้ลให้อากงทั้งที ให้ลูกเดียว? ฉันก็บอกว่า ให้ลูกเดียว แต่ให้ทุกวัน และอากงก็กินที่อ่องให้ทุกวันแหละ เพราะอากงกินแอ๊ปเปิ้ลวันละ 1 ลูกเท่านั้น น้าก็อึ้งไปตามระเบียบ คำคมประจำวันนี้ - ความอร่อยของแอ๊ปเปิ้ลอยู่ที่...เป็นแอ๊ปเปิ้ลของใคร...
เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่หยิบยกมา เพียงเพื่อสนับสนุนว่า...อากงเป็นผู้ชายที่รักฉันจริง ๆ รักอย่างไม่มีเงื่อนไข  พ่อฉันยังรักฉันได้ไม่เท่าอากงเลยค่ะ เพราะเวลาฉันดื้อ พ่อก็จะไม่พอใจ จะโกรธ แต่อากงไม่เคย ในเรื่องฉันไม่มีเหตุผล..เช่นมีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณแม่ใช้ฉันไปขอน้ำตาลอากง 1 กระสอบ  คืออากงมีกิจการโรงงานน้ำตาลน่ะค่ะ อากงก็มีบ่นว่าน้ำตาลแค่ 1 กระสอบทำไมต้องมาขอ? แล้วก็จะให้เงินไปซื้อ อารมณ์ฉันตอนนั้นฉุนอย่างไร้เหตุผลมาก บอกอากงแบบงอน ๆ ว่า ...ก็โรงงานเรามี ทำไมจะต้องไปซื้อ ถ้าอากงไม่อยากให้ก็บอก ไม่ต้องมาให้เงินหรอก เดี๋ยวบอกคุณแม่ไปซื้อเองค่ะ.... (ร้ายไหมเนี่ยะ หลานบังเกิดเกล้า) แล้วก็เดินงอนตุ๊บป่องออกไป ไม่ไปนั่งคุยกับอากง 3 วัน อากงขึ้นมาชั้น 10 ซึ่งฉันนั่งทำงานอยู่ ก็ไม่ยอมเข้าไปทัก  จนอากงทนไม่ได้ ส่งน้ำตาลไปให้ที่บ้าน แต่ฉันก็ยังงอนต่อไม่พูดกับอากงเหมือนเคย อากงต้องให้เลขามาเชิญลงไปคุย พอเจอหน้าก็ถามแบบง้อ ๆ ว่า...ยังไม่หายงอนอีกเหรอ น้ำตาลก็ส่งไปให้แล้วอ่ะ... จริง ๆ แล้วฉันหายงอนตั้งแต่วันแรกแล้วค่ะ คือมานึก ๆ เรานี่งี่เง่าเหลือเกิน แต่ยังไงล่ะคะ จะเข้าไปพูดด้วยก่อนก็รู้สึกเสียหน้า... เลยรอให้อากงพูดก่อน ซึ่งก็...ได้ผล  แต่มานึกตอนนี้ (ตอนที่เขียนบันทึก) ทำไมเรางี่เง่าขนาดนี้ฟระ? แล้วก็ยิ่งซึ้งใจจริง ๆ ว่าอากงรักฉันมากจริง ๆ ฉันเชื่อว่าถ้าฉันทำตัวอย่างนี้กับมนุษย์คนอื่น ไม่ว่าหน้าไหนในโลกก็คงไม่มีใครง้อหรอกค่ะ จะมีก็แต่ผู้ชายคนนี้จริง ๆ ผู้ชายที่รักฉันมากที่สุดในโลกคนนี้
ในวันนี้ วันที่อากงอยู่มาจนถึง 1 ศตวรรษแล้ว อากงเหนื่อย ไร้แรงที่จะลุก ไร้แรงที่ลืมตาขึ้นมาพูดคุย จริง ๆ ฉันก็คิดว่า...อากงคงจะถึงเวลาที่จะละทิ้งสังขารแล้ว ฉันคิดทุกครั้งที่ไปเยี่ยม แล้วเห็นอากงนอนเฉย ๆ เหมือนคนโคม่า แต่อาการไม่มีอะไร ฉันรู้เลยว่าอากงเบื่อมาก ฉันเองก็อยากปล่อยให้อากงจากไป แต่ฉันไม่มีสิทธิ์ในชีวิตของอากง ได้แต่เห็นใจ และสงสาร แต่ทำอะไรไม่ได้จริง ๆ
ว่าไปแล้วฉันเองก็ทำปากเก่ง บอกว่าอยากปล่อยให้อากงจากไป ปีที่แล้วอากงไม่สบายมาก ฉันไปเยี่ยมที่วิชัยยุทธ จับมืออากงแล้วคุยทางกระแสจิต ตั้งใจจะบอกให้อากงสบายใจ ไม่ต้องห่วงถ้าอากงจำเป็นต้องไปจริง ๆ ...แค่นั้นก็ยังไม่สามารถบอกได้ แถมทำท่าจะร้องไห้อีก .... แต่ถ้าถามว่า แล้วอยากให้อากงอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ หรือ  ก็ไม่อยากอีกนั่นแหละ ไม่อยากให้อากงทรมาน แต่ก็ยังใจหายเกินกว่าจะพูดได้เต็มปากว่าขอให้อากงจากไป...
มีคนเคยถามฉันว่า...อยากอายุยืนอย่างอากงไหม ฉันตอบว่า ไม่อยาก  เขาถามต่อ..แล้วอยากอายุเท่าไรถึงตาย...ฉันตอบแบบไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ...ฉันอยากตายพร้อมอากง  เลยโดนเอ็ดเอาว่าบ้าแล้ว... มันไม่ใช่ว่าฉันขาดความรักหรอกค่ะ จริง ๆ มีคนให้ความรักฉันอยู่บ้าง แต่ฉันกลัวที่ขาดอากงไป กลัวความว้าเหว่ เพราะไม่มีคนตามใจฉันได้อย่างที่อากงทำ และคงไม่มีวันจะมี...

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

มัชฌิมสงกรานต์

มหาสงกรานต์หฤหรรษ์ในรอบหลาย ๆ ปี
ไปออกรอบกับพี่ตุ้มกลับมาถึงบ้าน มีเมลพี่เก็จสั่งมาว่า...อ่องจ๊ะ เขียนเรื่องสงกรานต์อยากอ่านมาก ถ้าอยากทำให้พี่มีความสุขก็รีบ ๆ เขียนนะ...ที่จริงง่วง แต่ก็อยากให้พี่เก็จมีความสุข เลยอาบน้ำสระผมแล้วมารีบเขียน.... เป็นน้องที่ดีจริง ๆ เลยฉัน 5555555 แต่ความที่มันง่วงจัด เลยต้องยกมาเขียนวันรุ่งขึ้นแทน  ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนค่ะว่าบทความนี้อาจจะยาว และเวิ่นเว้อไปสักหน่อยสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ อ่านข้าม ๆ เอาก็ได้ค่ะ ฉันอยากบันทึกไว้อ่านเองยามปัจฉิมวัยด้วยน่ะค่ะ
มีใครรู้มั่งว่ามัชฌิมแปลว่าอะไร? จ้องจะหาโอกาสใช้คำเท่ ๆ นี้อยู่นาน เพิ่งได้โอกาสตอนนี้เอง  ใครที่รู้ความหมายก็ข้ามไปเลยค่ะ ส่วนใครที่ไม่รู้เอาเก้าอี้มานั่งฟังบรรยายภาษาไทยวันละคำได้ ณ บัดนี้...
มัชฌิมนั้นแปลว่า กลาง ....จบแล้ว 55555555
ปีนี้ เป็นปีที่ฉันก้าวเข้าสู่วัยมัชฌิม หรือวัยกลางคนนั่นเอง จริง ๆ เทศกาลสงกรานต์ ฉันเลิกเล่นสนุกมาตั้งสิบกว่ายี่สิบปีแล้ว ไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าตัวเองแก่หรอกค่ะ แต่เพราะไม่มีคนเล่นด้วย ใช้ชีวิตสงบเสงี่ยมเจียมตนช่วงสงกรานต์มานาน เพิ่งได้ปลดแอกปีนี้เอง 
วันที่ 13 เป็นวันที่ฉันอยู่บ้านจัดกระเป๋า เตรียมตัวไปค้างบ้านหนุ่มน้อยปอง 55555555 ตะแรกคิดจะใช้เป้ใหญ่  แต่มองดูแล้ว..กลัวพี่เก็จตกใจไม่เปิดประตูบ้านให้ 555555 เลยรื้อค้นดู เจอใบย่อมลงมาหน่อย จึงรื้อของจากเป้เดิม ถ่ายสู่ใบใหม่ จากนั้นก็เก็บกวาดห้อง จะไม่อยู่ 2 วัน 1 คืน เพราะคิดว่ากลับมาก็คงเหนื่อย ไม่ได้ทำห้องเป็นแน่ ค่ำนั้นมี sms มาอวยพรสงกรานต์ ขึ้นเบอร์แต่ไม่ขึ้นชื่อ ฉันก็คิด ๆ ว่าอาจจะเป็นพี่ลี แต่ทำไมไม่ขึ้นชื่อพี่ลีหว่า? หรือจะใช้มือถือคนอื่นโทรมา ด้วยความขี้เล่น ก็ sms ตอบกลับไปว่า who are you… ทางนั้นก็บอกใบ้ว่า ฉันคือหญิงชราผู้ดื่มไมโลในถ้วยแดงจุดขาว..... เริ่มตงิด ๆแล้ว...หรือจะเป็น....? แต่ไม่น่าใช่นิ เพราะได้ข่าวว่าท่านกำลังอยู่ในสมณเพศ ฉันก็เลยถามไปอีกว่า ใครอ่ะ?.... ระหว่างนั้นก็เช็คเบอร์...ใช่จริง ๆ ด้วย!!! แต่ทางนั้นพิมพ์ตอบกลับมาเร็วกว่า....เพราะฉันไม่ได้ดื่มน้ำชาใช่ไหมท่านจึงจำฉันไม่ได้ ฉันชื่อปาสนิท.... 5555555 พี่แดงปริศนาใช่เลย!!! แหม...ก็ไม่นึกว่าแม่ชีจะส่ง sms มาคุยนี่คะ
วันที่ 14 ฉันตื่นแต่เช้า จริง ๆ แทบไม่ได้นอน เพราะตื่นเต้นที่จะไปนอนบ้านหนุ่มน้อยที่หมายปอง 555555 แล้วก็นอนคิดทั้งคืนเลยว่าจะทำอาหารอะไรคู่กับข้าวผัดหนำเลี้ยบดี เลยทำให้ตื่นเช้ามาก ๆ พอตื่นมาก็ตรวจตราของในกระเป๋าอีกรอบ ก่อนจะรอฤกษ์เกือบ 9 โมงถึงเดินออกไปตลาดซื้อของสด ตามที่เขียนเล่าแล้วใน ข้าวผัดหนำเลี้ยบกับซี่โครงหมูต้มฟัก แล้วก็ขึ้น 206 ออกเดินทางไปห้วยขวางทันที
ไปถึงพี่เก็จกำลังออกกำลังกายอยู่ตามปกติ ฉันก็คุยไป เดินไปดูซุปไป (อ่านจากข้าวผัดฯ นะคะ ไม่อยากเล่าซ้ำ) พี่เก็จชื่นชมใหญ่ว่าซุปอร่อยมาก หอมมาก ที่จริง...เป็นซุปที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยทำมาเหมือนกันค่ะ 555555 คงจะเพราะตั้งใจอย่างมาก นาน ๆ จะออกไปฝากฝีมือไว้นอกบ้าน จะให้เสียชื่ออย่างไรได้? หลังจากกินอิ่ม พี่เก็จก็แปรงฟัน  แล้วนอนกลางวัน ฉันก็นั่งดูทีวีบ้าง เดินชมสวนมั่ง พี่เก็จคงพะวงกับแขกเชื้อสายจีน สัญชาติไทย เลยลุกมาทั้งตาบวม ๆ (นอนน้อย) เพราะฉันเอาใบมะกรูดไปขยี้รอที่จมูกพี่เขาด้วย 55555555 สรุปว่าตื่นเพราะน้องแกล้ง 5555555
ตื่นมาก็เม้ากันเรื่องนั้น เรื่องนี้ (จำไม่ได้ซะเรื่อง 55555) แล้วก็ตามฟอร์ม พี่เก็จเล่นแกรนด์เปียโนให้ฟัง ตอนหลังมีบ่นแล้วว่าขอเล่นเพลงอื่นมั่งได้ป่ะ อะไรจะให้เล่นเพลงโรงเรียนอยู่เพลงเดียว... ก็น่ะ ฉันชอบฟังเพลงนี้จริง ๆ ฟังแล้วอินมากค่ะ แต่ก็เกรงใจคุณพี่อยู่เหมือนกัน เลยให้เล่นเพลงอื่นแซม ๆ บ้าง  เห็นพี่เขาเริ่มเบื่อ ๆ ฉันก็เลยบ่นอยากกินสไปร้ท์ พี่เก็จบอก..รู้ไหมที่อ้วนน่ะเพราะน้ำอัดลม.. รู้ค่ะ แต่ชีวิตต้องการความซ่า 5555555 สองคนพี่น้องเปลี่ยนชุดเตรียมเปียกเต็มอัตรา เดินออกจากบ้านไปด้วยจินตนาการว่าต้องเปียกม่อล่อกม่อแลกกลับมาแน่เลย เพราะถนนใหญ่ที่มองเห็นไม่ไกลคลาคล่ำด้วยวัยรุ่นตั้งกองทัพสาดน้ำทั้งบนฟุตบาท และบนรถปิ๊คอั๊พที่ทำให้การจราจรแน่นขนัด ยิ่งเดินใกล้เข้าไป หัวใจก็แสนจะตื่นเต้น โอ้ววว ไม่ได้เปียกมานาน จะป่วยไหมเนี่ยะ 5555555
มาถึงปากซอย วัยรุ่นและวัยเล็กเล่นสาดน้ำกันเป็นที่สนุกสนาน พี่เก็จบอกว่าพี่ไม่ชอบให้เขาป้ายแป้ง เพราะเดี๋ยวผิวเสีย ฉันก็เลยบอกว่าเดี๋ยวบอกเขาก็แล้วกันค่ะ เสียงดนตรีดังจากหลายลำโพง แต่ละคนสนุกสนาน เมาบ้างตามประสาสงกรานต์ ฉันกับพี่เก็จ...ยายกับป้า (ยายอ่อง+ป้าเก็จ) เดินจูงมือกันแน่นเดินแบบเอียง ๆ หน้าเตรียมหลบสายน้ำที่จะสาดมาเต็มที่ วุ้ย ๆ ว้าย ๆ 5555555 เดินถึงร้านเซเว่น ซื้อสไปร้ท์เดินกลับมาถึงปากซอย...ตั้งแต่หัวจรดเท้าเปียก...แค่พื้นรองเท้า อ๊างงงงง
ตลอดรายทางที่เราเดิน พบว่าเยาวชนสมัยนี้มีสัมมาคารวะต่อผู้หลักผู้ใหญ่เป็นอันมากค่ะ กล่าวคือพอเห็นเราสองคน ก็เก็บมือเก็บไม้วางขัน ลดสายยางลงตลอด (เหลือแค่ไม่ประณมมือไหว้ -*-)  คนเดินถนนข้างหน้าเราข้างหลังเราเปียกกันทั่วถึง เว้นแต่สองเรายายกับป้าเท่านั้น...5555555 พอมาถึงปากซอยเข้าบ้าน เราสองคนมองตากัน ต่างก็คิดเหมือนกัน แล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะขำปนเศร้าว่า...นี่เราแก่ซะจนคนเขาประหยัดน้ำที่จะสาดเราเชียวเหรอ? 55555555
พี่เก็จบอกว่าไปอีกรอบไหมอ่อง? แบบว่าคงจะสงสารฉันว่าอุตส่าห์เตรียมใจจะมาเล่นสนุกเต็มที่ แล้วนี่อะไรกันไม่เปียกเลยสักหยด มันเสียทั้ง self ทั้ง feel สุด ๆ เราจึงเดินออกไปใหม่ค่ะ คราวนี้ไปอีกทิศหนึ่ง ....ผลคือเยาวชนแถวห้วยขวางน่าจะได้รับรางวัลเยาวชนดีเด่น  ขนาดว่าตอนที่ต้องเดินเรียงเดี่ยว แล้วพี่เก็จอยู่ข้างหน้า ฉันแอบสะกิดเด็กชายผู้ถือปืนกลขนาดใหญ่ บรรจุน้ำเต็มอัตราว่า... หนู ๆ ฉีดพี่คนข้างหน้าที เด็กมองหา พี่ ใหญ่...ป้าหมายถึงพี่คนไหนครับ? กรำเวง 555555555 ถ้าเป็นเจ้ามีทองแท้มีหวังโดนแจกมะเหงกไปแล้ว
เดินไปจนจะถึงสี่แยกอยู่แล้ว ยังโดนแค่หางน้ำกระเซ็น ๆ แบบว่าบนรถเขาสาดพวกบนถนน แล้วหลบเราไม่ทัน 5555555555 เฮ้อ สองคนพี่น้องหัวเราะกันจนเพลีย ขากลับถึงกับต้องสะกิด...น้อง ๆ กรุณาสาดน้ำพี่สองคนมั่งเด่ะ 5555555 น้องก็มองยายกับป้างง ๆ .... โหช่างกล้าเรียกตัวเองว่าพี่นะ 555555555 แล้วก็เอาน้ำในขันรดที่ต้นคอให้อย่างสุภาพและเกรงใจยิ่ง ขนาดน้ำแค่ครึ่งขันยังไม่หมดขันเลย 5555555 แต่ก็เย็นเชี้ยบจับใจ เพราะเขาเล่นแช่น้ำแข็งก้อนบะเฮิ่ม นี่ถ้าไม่เกรงใจจะบอก...น้อง ๆ ขอยื้มขันหน่อยได้ป่ะ แล้วสาดน้ำกันเองประสาสองผู้เฒ่าน่าจะเปียกได้สะใจกว่านะ….เดินถึงบ้าน เสื้อก็เกือบแห้ง... คิดดูก็แล้วกันค่ะว่าโดนสาดขนาดไหน? 
คืนนั้น พี่เก็จนอนเร็ว ไม่รู้ตามปกติ หรือเร็วกว่าปกติ เพราะกลางวันนอนน้อย แถมยังออกไปโดนน้ำเย็น ๆ ท่ามกลางอากาศร้อนระอุอีก  ฉันเองก็ง่วงเล็กน้อย เพราะตื่นเช้ามาก แล้วหัวเราะกันจนเหนื่อย ตอนเช้าตื่นมาอย่างสะโหลสะเหลเล็กน้อย เพราะมีลุกมานั่งชมจันทร์กลางดึก  วันนี้เรามีโปรแกรมว่าจะไปมหาชัยกัน โดยมีพี่หนิงมารับ จุดหมายปลายทางอยู่ที่โรงพยาบาลมหาชัยเพื่อเยี่ยมและรดน้ำสงกรานต์คุณแม่พี่ติ๋งค่ะ ระหว่างทางก็มีคุยกันตามประสาชาววัฒนาผู้ไม่ชอบความเงียบ แต่สำหรับฉันผู้สร้างความเงียบให้กับตัวเองก็นั่งดูทาง บอกทางไป ถนนโล่งมาก เราจึงมาถึงจุดหมายปลายทางในเวลาอันสั้น แต่กระนั้นพี่เก็จก็ดูท่าทางจะปวดหลัง เพราะไม่ได้พกอุปกรณ์ transformer มาด้วยเนื่องจากขากลับ เราต้องเดินจากสี่แยกห้วยขวางเข้าบ้าน พี่เก็จคงกลัวว่าอุปกรณ์จะเปียก
พี่ติ๋งเซอร์ไพร้ส์ที่เห็นพี่เก็จ แต่ bigger surprise ที่เห็นฉัน 555555 พี่หนิงได้เอาพานแก้ว มาลัย น้ำอบและขันมาด้วย เหมือนป๊ากเปี๊ยบ ฉันเลยอดแหย่ไม่ได้ว่า...พี่หนิงคะ สมัยเรียนสอบได้ที่ 1 ป่ะเนี่ยะ  อ้าว...อ่องรู้ด้วยเหรอ??? แป่ววววว 555555555 โอ้ว นี่เด็กสอบได้ที่ 1 ของวัฒนาเป็นแบบนี้ทุกคนเลยเหรอเนี่ยะ 555555555  คุณแม่พี่ติ๋งกำลังหลับอยู่ พวกเราสาว ๆ ๆ ๆ ก็เลยคุยกัน (เพื่อให้คุณแม่ตื่น??? 5555555)  พอคุณแม่พี่ติ๋งตื่นแล้ว พี่ ๆ ก็ช่วยกันพยุงให้นั่งเพื่อจะได้รดน้ำได้ ตอนนี้พี่ติ๋งก็ขอเวลานอกหวีผมให้คุณแม่หน่อย เดี๋ยวถ่ายรูปแล้วไม่สวย  ปรากฏว่าพี่ติ๋งหวีด้านหน้า แต่เวลาถ่าย อ่องถ่ายด้านหลังซะงั้น เอิ๊กกกกกก
แล้วพวกเราก็ถึงเวลาต้องลาพี่ติ๋งแล้ว เพราะใกล้เที่ยงแล้ว มีผู้แนะนำให้ไปกินที่ร้านคุณตุ่มแถววัดเจษฎ์ เขียนแผนที่ให้อย่างละเอียด ดูแล้วก็ไม่น่าจะไกลมาก ที่จริงตอนแรกฉันแนะนำให้ไปดอนหอยหลอด บอกพี่หนิงว่ามาที่นี่ต้องชิม หอยหลอด เพราะเป็นอาหารขึ้นชื่อ แต่พี่หนิงบอกว่าพี่ไม่นิยมกินหอย ... ฉันก็พยายามโน้มน้าวสุดฤทธิ์บอกว่าหอยหลอดมันไม่เหมือนหอยนะ (แล้วมันเหมือนไก่เหรอ? 555555) สารพัดสารพันจะชักชวน ในที่สุดพี่หนิงก็ตกลงใจที่จะชิมดู
เมื่อมาถึงร้าน เราก็สั่งอาหาร 4 อย่าง กุ้งราดพริก หอยหลอดผัดฉ่า ข้าวผัดปู ต้มยำปลาคัง (ทีแรกได้ยินเป็นปลาคัน ยังนึกว่า...กินแล้วจะคันตรงไหนมั่งเนี่ยะ) เรียกว่ากินครบทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา  ความที่ร้านนี้คงดังพอสมควร คนมากันเต็มร้าน กว่าจะได้อาหาร รอจนพี่เก็จบ่นแล้วบ่นอีกว่าหิว ๆ ๆ จานแรกที่มาถึงคือหอยหลอดผัดฉ่าค่ะ พี่หนิงมองแบบไม่มั่นใจ แต่ก็ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ลองชิมดูไม่ให้น้องเสียน้ำใจ ปรากฏว่า...ติดใจค่ะ....จานที่สองข้าวผัดปู พี่เก็จเตรียมฉลองเต็มที่ฉันต้องบอก...เดี๊ยวก่อนนนขอถ่ายรูปก่อน 5555555 เห็นพี่เก็จพลุ่นพล่านแล้วชักกลัว 555555ทำให้ตอนถ่ายโฟกัสไม่ดี รูปออกมาเบลอเล็กน้อย ข้าวผัดปูอร่อย กินกับหอยผัดฉ่านี่เข้ากันดีมากค่ะ กิน ๆ ไป ฉันก็ถามพี่ ๆ ว่า...ถ้ากุ้งกับต้มยำมา...จะกินกับอะไรคะ?  เออเนอะ...สองพี่วางช้อนส้อมลงทันใด 55555555 กุ้งว่ามาช้าแล้ว ต้มยำยิ่งช้าเข้าไปอีก แต่เปรี้ยวจี๊ดสะใจฉันมาก ฉันชอบกินต้มยำที่เปรี้ยว ๆ ค่ะ อย่างไรก็ตาม อาหารก็อร่อยถูกปากเรา 3 สาวผู้หิวโหยเป็นอย่างมาก กินกันหมดทุกอย่างเว้นแต่กุ้ง เนื่องเพราะฉันไม่ชอบกินกุ้งตัวโต ๆ เท่าไร ส่วนพี่เก็จกับพี่หนิงบอกว่าไม่อร่อยอย่างที่คิด ก็เอากลับบ้านไป ตอนชำระเงิน พี่เก็จบอกพี่หนิงว่า...เราแชร์กันสองคน อ่องไม่ต้องเพราะไม่มีรายได้....เง้อ แล้วพี่สองคนมีเหรอคะ????? อย่างไรก็ตาม ขอบคุณพี่สาวทั้งสองเป็นอย่างยิ่งค่ะ
กินข้าวอิ่มแล้ว เราก็เดินไปอีกร้าน เพื่อจะชิมลอดช่องวัดเจษฎ์ แต่เสียดายที่ร้านปิดสงกรานต์ พี่หนิงเลยชวนล่วงหน้าว่าไว้มากันใหม่ ขากลับ พี่หนิงส่งเราสองคนที่โรบินสัน เพราะพี่เก็จจะซื้อของเข้าบ้าน อีกอย่างตอนนี้ในซอยรถติดมากเนื่องจากเขาเริ่มเล่นน้ำกันแล้ว พี่เก็จซื้อของเยอะมาก จนฉันงงว่า...คุณพี่จะหอบหิ้วสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เดินจากโรบินสันไปถึงบ้านเลยเหรอ? ไหนว่าปวดหลังไง? สรุปว่าฉันก็เลยขอถือทั้งหมดให้พี่เก็จ เดินกลับบ้านตั้งแต่โรบินสันถึงบ้าน เหลือเชื่อว่าไม่เปียกเลยแม้แต่น้อย เฮ้อ ๆ ๆ พี่เก็จพูดปลอบใจตอนถึงบ้านว่าเขาเห็นเราถือของมามั้งเลยเกรงใจ แต่เมื่อวานเดินตัวปลิวก็ไม่เห็นมีใครสาดอ่ะ ท่าทางว่าฉันจะดูแก่จริง ๆ
ขนาดว่าฉันช่วยถือของให้ส่วนใหญ่แล้ว กลับมาถึงบ้าน ใบหน้าพี่เก็จก็ยังมีร่องรอยของความเหนื่อยล้า จนฉันอดถามแบบงง ๆ ไม่ได้ว่า ถ้าอ่องไม่ได้มาด้วย พี่จะถือทั้งหมดนี่เข้าบ้านยังไงคนเดียวอ่ะ?   คำตอบสั้น ๆ ที่ชัดแจ่มแจ้งคือ พี่ก็ไม่ซื้อซิจ๊ะ 5555555555 ฉันเห็นว่าพี่เก็จน่าจะต้องการพักผ่อนมาก ถ้าฉันอยู่พี่เก็จอาจจะไม่ได้พัก เลยตัดสินใจว่าจะกลับบ้าน ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกพี่เก็จบอกให้ค้างอีกคืน เนื่องจากเป็นห่วงว่าเดินออกไปจะเปียก แต่ฉันคะเนดูจากเมื่อวานและเมื่อกี้ น่าจะปลอดภัยทีเดียว
ขากลับฉันเดินมาขึ้นมอเตอร์ไซด์ ปรากฏว่าทั้งแป้งทั้งน้ำตลอดทาง 5555555 มันส์พะยะค่ะ สันนิษฐานว่าเพราะขากลับฉันใส่หมวกมั้ง คนเลยไม่เห็นว่าเป็นผู้เฒ่า แถมตอนมานั่งรอรถเมล์ (ซึ่งรอนานมาก ๆ ) ฝนก็ยังลงเป็นละอองฝอย ๆ ฉันนึกขำ ๆ ว่ารู้งี้เมื่อวานตอนออกมาจะเล่นน้ำ น่าจะใส่หมวกเดินออกมาเสียก็ดีหรอก
กลับมาถึงบ้านอาบน้ำแล้วสลบเหมือด  วันรุ่งขึ้นก็พักผ่อน เปิดเน็ตมาเจอเมลพี่ตุ้ม บอกว่าวันอาทิตย์จะไปตีกอล์ฟ พี่ตุ้มรู้ว่าฉันไม่เล่นกอล์ฟ แต่ก็ไปเดินด้วยกันได้ น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เดินด้วยกันหลายชั่วโมง ฉันตอบแบบไม่ลังเลแม้แต่น้อยนิดว่า โอเค้ อย่าว่าแต่เดินในสนามกอล์ฟ  anywhere with you, I go! ให้ไปเดินในสมรภูมิก็ไปถ้าพี่ตุ้มไปด้วย 55555555 ที่กล้าพูดเพราะรู้ว่ายังไงพี่ตุ้มก็ไม่ไปเดินหรอกในสมรภูมิ
แต่พี่เก็จ sms มาบอกว่ามีไข้หวัดเล็กน้อย ถ้าไม่ติดว่าพี่ตุ้มนัด ฉันก็คงไปบ้านดูพี่เก็จ แต่โปรดอภัยให้น้องเถอะค่ะ อันพี่ตุ้มเนี่ยะ รอมาตั้งหลายเดือนแล้วไม่ได้เจอเลย ลงแดงจนเขียวจนดำแล้วค่ะ แต่พี่เก็จก็น่ารักมาก รู้ใจว่าฉันจะต้องเป็นห่วงเลยบอกมาว่าไม่ต้องห่วง จะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี
ฉันใช้เวลาวันเสาร์ข่มความตื่นเต้นด้วยการโหลดรูปที่ถ่ายพี่เก็จลงคอม แล้วเขียนบล็อกเรื่องที่ไปทำอาหารที่บ้านพี่เก็จ ... กับบันทึกอันนี้ที่รอไปใช้เวลากับพี่สาวที่รักก่อนค่อยรวมมาเป็นมหาสงกรานต์มิชฌิมของฉัน
ตอนเช้าวันอาทิตย์ ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ 55555 ลุกมาตีสาม แล้วไปนอนต่อ เอาไปฝันว่าเจอพี่ตุ้มแล้ว 55555555 ยังกับสาวน้อยรอเดทแรกกับชายหนุ่มเลยนะนั่น 5555555 เพราะพี่ตุ้มบอกว่า afternoon ฉันก็เลยพยายามลืม ๆ เวลาช่วงเช้า แต่นาฬิกากว่าจะกระดิกแต่ละติ๊กละต๊อกมันช่างยาวนานเสียนี่กระไร พอ 11 โมงฉันก็จัดแจงหุงข้าวกินให้เสร็จ จะได้เก็บล้างให้ทันเวลาที่พี่ตุ้มจะมารับ จนบ่ายสองโมงกว่าชักเริ่มหวาดหวั่น ฤาพี่ตุ้มจะลืมไปแล้วหรือเปล่าว่านัดเราไว้????? เลยเมลไปถามว่า พี่ตุ้มขา...ขอถามคำได้ป่ะ afternoon ของพี่มันคือกี่โมงคะ?  หรืออีกนัยยะคือ พี่ลืมน้องหรือเปล่า? 55555555
และแล้ว เวลานี้ที่รอคอยก็มาถึง ฉันลงทุนไปยืนรอถึงปากซอย แต่พี่ตุ้มเปลี่ยนรถคันใหม่ ตอนที่รถเลี้ยวเข้ามาแล้วหยุดฉันก็เลยงง ๆ  พี่ตุ้มมาในเสื้อแดงกางเกงขาว...ชุดนี้ถ้าใส่ไปโฮมคัมมิ่งก็จะดีหรอกนะคะ ใบหน้าสดใส และสวยหวานเหมือนเดิม พี่ตุ้มทักแบบให้กำลังใจว่าฉันผอมลง ไม่จริงหรอกค่ะ ฉันน่ะปริแล้ว กางเกงกว่าจะติดตะขอได้ แขม่วแล้วแขม่วอีก พอขึ้นรถปุ๊บก็ฝอยสารพัดสารพัน จริง ๆ แล้วฉันเขียนเมลคุยกับพี่ตุ้มแทบทุกวันอยู่แล้ว เรียกว่าไม่มีอะไรที่พี่ตุ้มไม่รู้ 55555555 ที่จริงตอนแรกก็เกรงใจอยู่ว่า CEO ระดับพี่ตุ้มจะเสียเวลามาอ่านเรื่องไร้สาระของน้อง แต่พี่ตุ้มไฟเขียวมาว่า เขียนมาเท่าที่ใจอยากได้เลย ไม่ต้องห่วง (เพราะพี่จะอ่านมั่ง ไม่อ่านมั่ง 5555555)  ในวงเล็บนี่ฉันพูดเองค่ะ
แต่พอเจอหน้า ก็อยากคุยอยู่ดี แล้วด้วยความที่ลัลล้ามากไปหน่อย หัวเราะมากจนพี่ตุ้มเสียสมาธิ ตีลูกลงน้ำ ลงทรายก็หลายรอบ ยังมีหน้าแซวพี่เขาอีกว่าพาลูกกอล์ฟมาเล่นสงกรานต์  พี่ตุ้มบอกว่าคราวหน้าถ้าหัวเราะมาก ๆ อย่างนี้จะไม่ชวนมาแล้วนะ แง๊~~~ พี่ตุ้มใจร้ายอ่ะ  ก็คนดีใจที่ได้เจอพี่ ไม่หัวเราะจะให้ร้องไห้เหรอคะ??  5555555555 อย่างไรก็ตาม เดินกลางแดดระอุ 90 กว่าองศามาก ๆ เข้า ก็ชักแหย่ไม่ออกเท่าไร แบบว่ามันร้อน และก็เหนื่อย 55555555 แต่ก็สนุกกับการถ่ายรูปพี่ตุ้ม พี่ตุ้มถามตลอดว่า...ไหวไหม ๆ ?  จริง ๆ แล้วพี่ตุ้มแหละไหวหรือเปล่า? 555555 อ่องแค่เดิน กับถ่ายรูป ไม่ได้ออกแรงหวดไม้กอล์ฟเหมือนพี่ตุ้ม  ถ้าพี่ไหว อ่องก็ไหวอยู่แล้วค่ะ
ได้คุยกันตอนพัก คุยไปคุยมาก็คุยกันถึงครูภิญโญ เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินจากพี่ตุ้มว่าครูภิญโญเคยพูดถึงฉันให้พี่ตุ้มฟัง ออกจะงง ขอไม่เล่านะคะ แบบว่าเขิน 55555555 เอาเป็นว่าสิ่งที่ครูพูดถึงฉันทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งและคิดถึงครูเป็นอย่างมากก็พอ 
กลับมาถึงบ้านอย่างเหน็ดเหนื่อย ตอนนี้พอจบรายการ ตาก็แทบปิดแล้วค่ะ แต่ฉันก็ยังไม่ได้นอน เปิดคอมเพื่อคัดรูป แล้วส่งให้พี่ตุ้ม จึงได้เจอเมลพี่เก็จตามที่เล่าไว้ในตอนต้น - ตานี้พี่เก็จมีความสุขแล้วใช่ไหมคะ?
สำหรับฉัน สุดแสนจะหฤหรรษ์จริง ๆ ได้ pre สงกรานต์กับแก๊งสุโค่ย  ได้สนุกสนานกับพี่ ๆ หลายคน ต่างบุญต่างวาระ แม้ว่าในปีที่กำลังจะเคลื่อนมาถึง จะมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้นกับฉัน ฉันคงได้ความสุขที่มีตอนนี้ไปเจือจางความทุกข์ที่อาจจะมีมา  ขอบคุณทุก ๆ คนที่ทำให้สงกรานต์ปีนี้ของฉันไม่เงียบเหงาค่ะ