วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

The day Dr.B+ becomes WWA 105

เป็นวันหนึ่งที่ฉันมีความสุข และรู้สึกอยากบันทึกไว้ เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ตอกย้ำถึง’สายใยวัฒนา’ได้เป็นอย่างดี 


วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่อ่องมีความอิ่มอกอิ่มใจมากค่ะ อิ่มท้องกับบะหมี่หมูตุ๋น ข้าวเหนียวทุเรียนมะม่วงที่พี่หมอบี๋จัดเลี้ยงน้องๆ และอาหารนานาที่เพื่อนๆรุ่น105ขนมาสมทบ 

พวกเรานัดกันมาประหนึ่งเป็นมีตติ้งย่อยและพี่หมอบี๋เจ้าของบ้านก็เกือบจะเหมือนแขกรับเชิญ😂😂😂😂หลายคนอาจจะสงสัยว่าพี่หมอบี๋มาสนิทกับน้องๆรุ่นลูกโต๊ะหลายคนตั้งแต่เมื่อไร อยากจะบอกว่าหลายคนที่มาก็เพิ่งรู้จักพี่หมอบี๋แบบตัวเป็นๆในวันนี้ค่ะ ก่อนหน้านี้เพียงได้ยินชื่อและเรื่องราวอันน่าประทับใจผ่านการเจ็บตัวของอ่อง🙄แล้วทำไมถึงได้แห่แหนกันไปบ้านพี่หมอบี๋กันเป็นกองทัพเยี่ยงนี้? เรื่องมันก็มีที่มาที่ไปดังนี้ค่ะ 
อย่างที่หลายๆคนทราบมาก่อนหน้าไม่นานว่าอ่องเกิดเจ็บป่วยและไม่ได้คิดวางแผนมาก่อนว่ามันจะกลายเป็นเรื่องต้องผ่าตัดเพราะเป็นโรคฮิตของสตรี คือมะเร็งในมดลูกและบุคคลสำคัญที่จัดการให้อ่องได้รับการรักษาที่ดีที่สุดจนอ่องปลอดภัยและวันนี้หายดีเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ คือพี่หมอบี๋Peenut Chartiอ่องก็เพิ่งรู้ว่านอกจากพี่หมอบี๋แล้ว เพื่อนๆที่รู้จักกันมาตั้งแต่อนุบาล1และหลายช่วงอายุก็รักและห่วงใยไม่น้อยกว่าพี่หมอบี๋. เพราะเมื่อทราบข่าว Queeny Tantiก็เป็นตัวแทนเพื่อนๆตะแล้บแก๊บโทรไปขอบคุณพี่หมอบี๋ที่เทคแคร์อ่องอย่างดีทั้งกายและหัวใจจนอ่องหายเร็วราวปาฏิหาริย์. (ที่ปาฏิหาริย์กว่าคือไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็ง)😅😅😅😅พี่หมอบี๋คุยกับควีนประสาคนคุ้นเคย และจบลงที่การวางแผนจะจัดเลี้ยงฉลองเมื่ออ่องหายป่วยที่บ้านพี่หมอบี๋เอง  พอพี่หมอบี๋เล่าให้อ่องฟัง อ่องก็คิดในใจว่าพี่หมอบี๋น่าจะไม่รู้อะไรบางอย่าง😂😅😂😅😂
นั่นคือความรู้รักสามัคคีของรุ่น105 ประกอบกับช่วงที่อ่องป่วยนั้นเรื่องราวของพี่หมอบี๋เป็นที่สนใจใคร่รู้ของเพื่อนๆยิ่งนัก เผลอๆมากกว่าอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของอ่องอีกพอได้ยินว่าพี่หมอบี๋จะเลี้ยงฉลองให้. เพื่อนๆก็เลยลงชื่อกันเป็นโขยงอย่างที่เห็น ยังมีอีกหลายคนที่คงอยากรู้จักด้วยแต่เกรงใจไม่กล้าออกปาก ข้างพี่หมอบี๋....เมื่อแรกที่ฟังจำนวนน้องๆที่จะมาเยือนบ้านถึงกับตกใจ55555 มีความกังวลว่าจะดูแลต้อนรับไม่ทั่วถึง. อ่องรับรองกับพี่หมอบี๋ว่าเพื่อนอ่องทุกคนน่ารัก และสามารถดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดีค่ะ พี่หมอบี๋จึงคลายกังวลลงไปบ้าง ที่จริงก็ออกจะเกรงใจพี่หมอบี๋เหมือนกันค่ะ แต่ก็เข้าใจเพื่อนๆด้วยเช่นกันไม่สามารถตัดชื่อใครออกได้ 
ก็ยังมีความเชื่อว่าเพื่อนๆจะสามารถทำให้พี่หมอบี๋มีความสนุกสนานได้ และพี่หมอบี๋ก็สามารถทำให้น้องๆมีความสุขได้จากจิตใจที่เปี่ยมด้วยความเมตตาอารี  ก่อนหน้านี้ 2วันพี่หมอบี๋ได้ทำความสะอาดบ้านเตรียมต้อนรับน้องๆเต็มที่ ฝนฟ้าก็ใจดีรดน้ำสวนทุกวันจนชอุ่มชุ่มชื้น เพื่อนๆก็เตรียมของฝากมาขอบคุณพี่หมอบี๋กัน ส่วนอ่องเตรียมตัวเล่นน้ำฝนกับกินทุเรียนค่ะ😑🙄😆 ใกล้ถึงวันก็ต้องถามตำแหน่งทิศทางบ้านพี่หมอบี๋เพราะไปกันจากหลายตำแหน่งที่อยู่ โชคดีที่สมัยนี้มีกูเกิ้ลแม็ปมีจีพีเอส. ทำให้อะไรๆง่ายขึ้น แต่ก็ยังมีรถคันนึงหลงทาง😅😅😅😅เช้าวันที่5อ่องตื่นมาเตรียมตัวพร้อมตั้งแต่ตี5 เพื่อจะไปถึงบ้านพี่หมอบี๋11โมงกว่า
พี่หมอบี๋ให้การต้อนรับน้องๆ เกือบ20ชีวิตอย่างอบอุ่นและสนุกสนานจนเวลาผ่านไปเผลอแป๊บเดียวเกือบเย็นแล้ว หลังกินข้าวเสร็จ ฝนกระหน่ำตามใจอ่องปรารถนา แต่ไม่มีใครสนใจหรือให้ออกไปเล่นน้ำฝน เพราะกำลังติดพันกับช่วงwho am I and who are you. 😐🙄😑ถึงจะฟังไม่รู้เรื่องเลยว่าเขาคุยไรกันแต่แก่นแท้ของวันนี้คือความสัมพันธ์ระหว่างพี่-น้อง เราคุยกันด้วยความคุ้นเคยเร็วมาก ไม่นานก็แทบจะไม่เหลือความแปลกหน้าระหว่างกัน นี่แระคือสายใยวัฒนาค่ะ🤗🤗🤗🤗เสียงหัวเราะ สีหน้าเปื้อนยิ้มก็สามารถทำให้วันเสาร์ที่5เดือน5นี้เป็นวันที่โคตรดีสำหรับอ่องเลยค่ะ มันทำให้อ่องคิดว่าคุ้มแฮะที่เจ็บตัวจากการผ่าตัดยกเครื่องในออกไปหลายอย่าง😆พอฝนหยุดตกพวกเราก็จะลากลับแล้วเพราะเกรงใจเจ้าของบ้านเต็มที มีคนนึงที่ไม่ค่อยอยากกลับ-คนที่คุณก็รู้ว่าใคร เสนอว่าเราควรไปเดินชมสวน จึงเป็นที่มาของภาพสวยๆเปี่ยมที่อารมณ์อิ่มสุขที่สามารถสัมผัสได้แม้จะไม่ได้ไปด้วยชุดนี้ค่ะ อ่องขอขอบคุณพี่หมอบี๋ที่ต้อนรับเพื่อนๆอ่องทุกคนในวันนี้ ขอบคุณพี่หมอบี๋ที่รักและเอ็นดูอ่องเป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่ใช่ครั้งสุดท้าย😅😆😅😆
อ่องหวังใจว่าพี่หมอบี๋และเพื่อนๆอ่องจะเป็นพี่เป็นน้องที่มีความปรารถนาดีต่อกันตลอดไปค่ะ❤️❤️❤️❤️❤️❤️


อ่องมีความประทับใจพี่หมอบี๋อีกอย่างหนึ่งคือ. พี่สามารถจำชื่อน้องๆได้หมด จำได้ด้วยว่าใครทำงานที่ไหน บ้านอยู่ไหน. อ่องยังไม่รู้เลยอ่ะ😂😂😂😂😂 ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมพี่จึงเรียนหมอค่ะ

วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2560

อานิสสงส์แห่งโพชฌังคปริตร

อานิสสงส์ของการสวดมนต์อย่างจริงใจและจริงจังนั้นมีจริง. พิสูจน์แล้วค่ะ. ตั้งแต่ปีทีแล้วที่ท่านผู้หญิงไม่สบายมาก ด้วยความห่วงใย จะขอเจ็บป่วยแทน ก็ไม่สามารถจะติดต่อรับโอนได้ที่ไหน. จะไปรักษาให้ก็ไม่มีวิชาแพทย์. หมดหนทางที่จะบรรเทาความร้อนรุ่มวุ่นวายเข้า ก็เลยขอให้ผู้ที่เราคิดว่าเคร่งครัดทางศาสนาช่วยกันอธิษฐานและสวดมนต์ให้ท่าน 
แก้ว. พี่สวดเองสิคะ ท่านจะได้รับพลังแน่ เพราะพี่รักและผูกพันกับท่านมาก
อ่อง. สวดไม่เป็นง่ะ. ในชีวิตสวดเป็นแค่นะโมตัสสะ
แก้วส่งคลิปเสียงบทโพชฌงค์มาให้. ฟังครั้งแรก โห! อ่านตามไม่ทัน ลิ้นมันพันกันวุ่นไปหมดค่ะ. แต่ก็ไม่ย่อท้อ พยายามมันทั้งวันทั้งคืนที่อยู่บ้าน ไม่ช้าไม่นานก็พออ่านตามได้ เวลาจะสวดก็เปิดคลิปอ่านตามเสียงสวดไป นับว่าโชคดีที่เสียงสวดนั้นดังชัดเจน และจังหวะค่อนข้างช้า 
ต่อมา ได้มีโอกาสไปทำบุญกับแม่และตี๋เล็กที่วัดยานนาวา หลวงพ่อท่านส่งหนังสือเล่มนี้ให้ ก็เอามาอ่าน ได้เข้าใจความหมายในทุกๆคำที่สวดไป และสวดคล่องขึ้น. วันหนึ่งได้เข้าไปกราบเยี่ยมท่านที่ศิริราช ไปถึงก็คุยเลยว่าสวดโพชฌงค์ให้ท่านทู้กวัน ท่านก็ว่าไหนสวดให้ฟังซิ เราอึ้งรับประทานสิ ไม่ได้เตรียมพร้อม ไม่คิดว่าท่านจะให้สวดให้ฟัง รู้สึกเขินเพราะไม่เคยสวดให้ใครฟังมาก่อนค่ะ แต่เอานะ เพื่อท่านผู้หญิงผู้เป็นที่รักสูงสุด แค่นี้ทำให้ได้อยู่แล้วค่ะ จัดแจงงัดโพยขึ้นมา (พกติดตัวตลอด) ท่านก็ค้านว่าไม่เอาสิ ห้ามอ่านโพย. หา!! No โพย. ท่านขา อ่องแค่อ่านได้ลิ้นไม่พันกันก็ทึ่งตัวเองจะแย่แล้วนะคะ ท่านก็ขึ้นเลยค่ะ. โพชฌังโค สะติสังขาโต... เราตามไม่ได้ ท่านเลยสวดเองจนจบท่อนแรก ก็อุตส่าห์แย้งทันที ยังไม่จบค่ะ ท่านเลยสวดต่อให้ฟังจนจบ โดยมีอ่องฟังไปยิ้มไปด้วยความปลาบปลื้ม เพราะก่อนหน้านี้พี่แดงปริศนาเคยพูดว่า บทสวดมนต์นี้ ถ้าอ่องสวด ท่านจะได้รับ ๒๐%แค่นั้น ซึ่งเราก็เลยบอกงั้นสวดไปเยอะๆ ๒๐หลายครั้งก็เป็น๑๐๐ได้ล่ะน่า พี่แดงบอกต่อว่าถ้าลูกสวด พ่อแม่ก็จะได้ ๗๐-๘๐ แต่ถ้าตัวผู้ป่วยสวดเอง ก็ได้๑๐๐. รู้สึกดีใจค่ะเพราะการที่ท่านสวดให้ฟังจนจบอย่างไพเราะนี้ แปลว่าท่านน่าจะสวดมานานแล้ว.  แต่ถึงกระนั้น ก็กลับมาสวดต่อเสริมพลังให้ท่าน ๒๐ ก็ไม่เป็นไร. ภาษิตจีนว่ากำไรน้อยไม่น้อย น้ำฝนหยดหนึ่ง หลายๆ ๆ ๆ หยดก็กลายเป็นมหาสมุทรได้ กลับจากรพ คราวนั้นมีกำลังใจที่จะมุมานะสวดมนต์ให้ท่านมากขึ้น ถึงกับเดินทางไปนั่งสวดกับอากงอาไท่ที่บางนาทุกวัน จนวันหนึ่งก็จำได้เอง พร้อมๆกับข่าวดีว่าท่านผู้หญิงได้รับการผ่าตัดเรียบร้อย และปลอดภัยดี. ทีนี้จากที่สวดอย่างพะวักพะวง ก็เป็นสวดด้วยความสุข สวดเสริมกำลังให้ท่านแข็งแรงขึ้น. จนวันหนึ่งท่านให้เลขาโทรมาบอกว่าถ้าอยากจะไปหาท่าน ก็เข้ามาได้ ออกเดินทางจากบางนาไปศิริราชในทันทีค่ะ ไปถึงเห็นท่านกำลังเดินออกกำลังกาย ก็เข้าไปกราบและกอดท่านด้วยความชื่นใจที่สุด ท่านพูดในทำนองว่าขอบคุณที่สวดมนต์ให้กำลังใจท่าน ฟังแล้วก็ยิ่งปลื้ม ยิ่งมุมานะ. 
แล้ววันหนึ่งความเพียรก็เป็นผล. อยู่ๆ วันหนึ่งลืมตาตื่นขึ้นมา. บทสวดโพชฌงค์ก็ชัดเจนในหัวทั้งบท. วินาทีนั้นดีใจมากค่ะ ที่ต่อไปจะได้พูดอวดกับท่านได้เต็มที่ว่าสวดมนต์ให้ท่าน วันหนึ่งก็ได้มีโอกาสสวดมนต์ให้ท่านฟังด้วยตัวเอง. แบบ no โพยค่ะ ภาพที่ท่านนั่งหลับตา พนมมือฟังเราสวด. เป็นภาพที่จะติดตรึงในความทรงจำไปอีกนาน เป็นภาพที่ก่อให้เกิดปิติและความชื่นใจยิ่ง 
การที่ท่านผู้หญิงฟื้นตัวเร็ว. และยังงดงามแม้ในยามที่ท่านเจ็บป่วยนั้น คงไม่ใช่เรื่องของบุญอย่างเดียว. และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่การสวดมนต์. แต่เชื่อว่าท่านได้ปฏิบัติตนตามหลักโพชฌงค์ ๗ ประการ จำได้ว่าช่วงที่ท่านพักที่ศิริราช. สังเกตเห็นท่านเบื่ออาหาร แต่คิดเอาเองว่าท่านไม่อยากกินอะไรที่ต้องเคี้ยวเพราะมันอาจจะกระทบกระเทือนเจ็บแผลผ่าตัด วันต่อมาจึงแวะหาซื้อซุปข้าวโพดไปฝากท่าน ซึ่งได้ขอให้ร้านปั่นให้เนียนเป็นพิเศษ เมื่อมาถึงท่านเพิ่งกินเสร็จ แต่มองดูในจานแล้วเหมือนท่านไม่ได้กินเลย ก็เข้าไปกราบท่านแล้วเล่าให้ฟังว่าซื้อซุปถ้วยนี้ที่ตึกปิยการุณ แล้วนั่งรถบริการระหว่างตึกมาตึก๘๔ปี เนื่องจากเดินมาไม่เป็นเพราะไม่คุ้นกับร.พ. ระหว่างทางได้พยายามประคบประหงมให้ซุปยังคงความอุ่นไว้อย่างไร พูดง่ายๆว่าพรรณาถึงความยากลำบากที่จะได้มาซึ่งซุปถ้วยเล็กๆนี้ ท่านชะโงกดูซุปแล้วบอกขอหลอด แล้วกินซุปเกือบหมดถ้วย ทำเอาคนดูแลแปลกใจเพราะเขาเพิ่งพูดกับเราว่าท่านไม่กินหรอก. ฟังแล้วก็ชื่นใจว่าท่านทราบว่าเราปรารถนาดีกับท่าน และท่านก็เมตตารับความปรารถนาดีนั้น 
หนึ่งปีต่อมา ก็สวดบ้างไม่สวดบ้างเพราะพอเห็นท่านแข็งแรงดีแล้ว ก็ชักขี้เกียจ แต่ช่วงสงกรานต์ตามสวว. เข้าไปกราบท่าน ช่วงนี้อากาศร้อนจัด จึงได้เห็นท่านไม่สบายเป็นครั้งแรก รู้สึกตกใจมากที่เห็นอาการเดินขาอ่อนแล้วเป็นลมไปต่อหน้าตาต่อหน้า ยังดีที่กำลังจูงท่านอยู่ท่านจึงไม่ได้ล้มลงไป เมื่อได้ส่งท่านขึ้นไปพักผ่อนบนห้องเรียบร้อยแล้ว กลับถึงบ้านก็สวดมนต์ให้ท่านทันทีและสวดทุกเช้าเย็นนับแต่วันนั้นมาไม่เคยขาด 
ต่อมาคุณแม่หกล้มต้องผ่าตัดสะโพก ได้นำคุณแม่สวดมนต์ ก่อนเข้ารับการผ่าตัด คุณแม่ปลอดภัยและฟื้นตัวเร็วจนหมอชม 
ความที่เรานั้นจบด้วยสัพเพสัตตา เลยทำให้เป็นคนไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ไปโดยปริยาย. ปกติเจอแมลงน้อยใหญ่เป็นต้องกำจัด ไม่ยอมอยู่โลกเดียวกัน. แต่เดี๋ยวนี้ ถ้าเจอแมลงในห้อง จะค่อยๆกอบไว้ในมือแล้วเอาไปปล่อยนอกห้องแทน ยังไม่ชอบนอนร่วมห้องกันค่ะ และยังหมั่นทำทานบริจาคอยู่ตามโอกาสต่างๆ โดยมักจะทำในนามของบุคคลอันเป็นที่รักที่คิดถึง การสวดมนต์บ่อยๆยังทำให้เราเกรงกลัวละอายต่อบาปมากขึ้นอีกด้วย
เขียนมายืดยาว เพื่อจะบอกว่าด้วยความรัก ความศรัทธา และเชื่อมั่นที่แน่วแน่ หากผ่านการตั้งจิตอย่างถูกต้อง ผสานกับการทำดี จะก่อเกิดเป็นพลังงานบริสุทธิ์ที่สามารถช่วยให้เราหรือแม้แต่บุคคลที่เรารักและห่วงใยอย่างแท้จริงหายจากโรคได้ด้วยค่ะ สมกับคำที่ว่า ปาฏิหาริย์แห่งรักนั้นมีจริง

ห้องทำงานของหมอหัวใจ

วันนี้เป็นอีกวันที่ได้เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น ได้ความรู้และประสบการณ์ในสถานที่ที่น้อยคนนักจะได้เข้าไปทัศนา นั่นคือห้องผ่าตัดโรคหัวใจค่ะ ได้รับความกรุณาจากพี่หมอบี๋เป็นกรณีพิเศษค่ะ แต่ไม่ได้ถ่ายภาพในห้องผ่าตัดมา เพราะมือถืออยู่ในล็อกเกอร์🙄. ขอบรรยายเป็นตัวอักษรนะคะ จินตนาการเป็นการออกกำลังสมองที่ดีค่ะ 
ก่อนจะเข้าไปในห้องผ่าตัด ต้องเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อของโรงพยาบาลค่ะ เสื้อผ้าและกางเกงถอดออกหมด รองเท้าก็เช่นกัน เสื้อผ้าและกระเป๋าเก็บในล็อกเกอร์คุณหมอ จากนั้นพี่หมอบี๋ก็พาไปทัศนาห้องผ่าตัดใหญ่ 2ห้อง เล็ก1ห้อง เรียกว่าห้องเล็กก็ไม่ใช่พื้นที่ห้องเล็ก แต่อุปกรณ์ไม่ครบครันเหมือนอีก2ห้อง ไว้สำหรับผ่าตัดได้บางเคสค่ะ สุดท้ายก็พามาห้องที่คนไข้พี่หมอบี๋นอนอยู่ ห้องนี้มีห้องสังเกตการณ์ มีคอมพิวเตอร์หลายตัว และมีกระจกกั้น สามารถเห็นการผ่าตัดได้ค่ะ
ในห้องผ่าตัดพี่หมอบี๋ได้บรรยายเครื่องมือทั้งหลายว่ามีอะไร และใช้ทำอะไรบ้าง และได้แนะนำให้รู้จักทีมงานทุกคน แล้วก็พักเบรก พาออกไปนั่งกินข้าวกลางวันที่ห้องหมอ คงให้เวลาเตรียมใจ ระหว่างที่กินข้าว ทีมหมอก็ทำการผ่าอกเรียบร้อย ที่พี่หมอบี๋พาออกไปกินข้าว อาจจะเพราะ1.การเปิดทรวงอกน่าจะเป็นอะไรที่หวาดเสียว กลัวน้องช้อกมั้งคะ 2.กินข้าวซะก่อน เผื่อจะกินไม่ลง และใช้เวลาอีกนานกว่าการผ่าตัดจะเสร็จ 3.ให้เวลาเปลี่ยนใจ5555. 
เมื่อเห็นน้องไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนใจ จึงพากลับเข้าไปในห้องสังเกตการณ์ ตอนนี้เปิดทรวงอกเรียบร้อยแล้ว พี่หมอบี๋บรรยายแบบย่อๆว่าตอนนี้หมอกำลังทำอะไรกับคนไข้ และเดี๋ยวในส่วนของพี่จะทำอะไร. อ่องก็ฟังรู้บ้างไม่รู้บ้าง(ตามปกติ) พี่หมอบี๋คงเดาได้จากสีหน้า. เฮ้อ เอาแรงไว้ผ่าตัดดีกว่า ระหว่างนี้เราก็นั่งดูหมอๆทำงานผ่าจอทีวี. ออกปากว่า..เพิ่งรู้ว่าหัวใจเป็นสีเหลือง. พี่หมอบี๋บอกว่าสีเหลืองน่ะไขมัน ไม่ใช่ตัวหัวใจ 😳 หัวใจมีสีแดง 

ที่จริงก็เคยดูการผ่าตัดหัวใจผ่านซีรีย์เกาหลีมาหลายหน มาดูของจริง ไม่ค่อยแตกต่างเท่าไรนะคะ แปลว่าการถ่ายทำเขาทำการบ้านดี จึงเหมือนของจริง เพียงแต่บรรยากาศไม่เครียดแบบในหนัง. ถึงเวลาพี่หมอบี๋ก็พาเข้าไปในนั่งในห้อง แต่ดูจากจอทีวีนะคะ. รอบๆเตียงห้ามเข้าไปเด็ดขาด. ถึงไม่ห้ามก็ไม่เข้าหรอกค่ะ มีหมอและพยาบาลตั้งหลายคนยืนทำงานอยู่ จะเข้าไปเกะกะเขาได้ไง 
 พี่หมอบี๋สมาธิดีมากๆ ระหว่างทำการเตรียมต่อเส้นเลือด ก็ให้คนมาอธิบายด้วยโน้ตว่าเดี๋ยวจะทำอะไร. และที่สำคัญคือเดี๋ยวจะมีการทำให้หัวใจหยุดเต้นชั่วคราว (สงสัยกลัวน้องตกใจ😅) ชั่วเวลาเป็นชั่วโมงที่เฝ้าดูพี่หมอบี๋ทำการผ่าตัดต่อเส้นเลือด หรือที่เรียกกันว่าby pass เป็นความประทับใจ ประทับใจในความสามารถของมนุษย์ที่คิดค้นหนทางที่จะเอาชนะโรคร้าย ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถจับมีดหมอ คีม และด้ายอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ภูมิใจในตัวพี่หมอบี๋เป็นอย่างยิ่ง ดูอย่างใจจดใจจ่อ ตั้งใจดูราวกับเป็นนักศึกษาแพทย์ ถ้าสมัยเรียนวัฒนาเอาใจใส่ขนาดนี้ก็คงจะไม่ได้เป็นคน2รุ่น ยืนดูสักพักก็มีคนเอาเก้าอี้มาให้นั่ง กำลังเมื่อยพอดีค่ะ แต่ก็ไม่อยากละจากจอ. พี่หมอบี๋คงเห็นว่าสนใจจริงสนใจจัง. พอเสร็จหน้าที่ในส่วนของพี่หมอบี๋ ก็ออกมานั่งพักที่ห้องสังเกตการณ์ ใช้เวลาช่วงนี้อธิบายว่าคนไข้รายนี้มีปัญหาเส้นเลือดที่หัวใจตีบ จึงต้องทำการบายพาส ความที่เคยอ่านหนังสืออยู่กับโรคหัวใจที่พี่หมอบี๋เขียน 2-3 รอบ พอจะจำได้บ้าง แต่วันนี้กระจ่างเลยทีเดียว 
เมื่อได้กลับออกมา คิดว่าประสบการณ์ที่พบเจอวันนี้เป็นประสบการณ์ที่ดี และเป็นอุทาหรณ์ว่าคนเราพึงระลึกเสมอว่าการไม่มีโรคนั้นคือลาภอันประเสริฐ จริงอยู่ว่าการผ่าตัดวันนี้ผ่านไปด้วยดี แต่ไม่ถูกผ่าน่าจะดีกว่า เพราะไม่เจ็บตัว 
สุขภาพดีนั้นไม่มีขาย. เป็นของฟรี แต่ไม่ใช่ได้มาเปล่าๆ ต้องหมั่นดูแลตัวเอง มีวินัยในการใช้ชีวิต. พี่หมอบี๋บอกว่าอ่องโชคดีที่ไม่มีโรคร้าย แค่ไม่ได้ยิน🙄🤣 
อ่องเองก็รู้ค่ะว่าตัวเองโชคดี ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นภัยต่อชีวิต แม้จะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ก็ไม่ขัดสน อยากกินอะไรก็มีปัญญาซื้อ และร่างกายก็สามารถรับได้ทุกอย่างที่ใจอยากกิน ไม่เคยมีปัญหาด้านเบาหวาน คอเลสตอรอล ความดันฯลฯ มีปัญหาอย่างเดียวคือฟันผุ5555
ขอบคุณพี่หมอบี๋สำหรับประสบการณ์สุดพิเศษนะคะ. วันนี้ได้เห็นอีกด้านของเหรียญ ซึ่งก็ยังคงน่าประทับใจ และรู้สึกภูมิใจในพี่หมอบี๋...ภาษาชาวบ้าน...รักและเห่อพี่มากขึ้นไปอีก😆🤣😆😍

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2557

วารนักษัตรสัตตะหน


๖ มิถุนายน ปีนี้มีโอกาสดีได้เข้าร่วมคณะวัฒเนี่ยนไปกราบอวยพรท่านผู้หญิงสุมาลี เป็นความทรงจำที่ดี และมีความสุขมากค่ะไปถึงตอน 11 โมงเล็กน้อย เพื่อไปรอรับขนมเค้กจากพี่หนิง พี่หนิงมาส่งขนมแล้วรีบไป คิวรัดตัวมากค่ะเลยไม่ได้อยู่พบท่านผู้หญิง พอพี่หนิงไปได้แป๊บนึงคณะครูก็เดินทางมาถึง ตามด้วยกรรมการสวว. เมื่อทุกคนรวมตัวกันครบแล้วอ่องก็เอาการ์ดให้ท่านผู้หญิง ใช้ตึกเรียนเป็นภาพ ถ่ายสด ๆ ร้อน ๆ วันวัฒนา 140 ปีพร้อมทวงถามว่าทำไมท่านไม่ไป ท่านยังไม่ทันตอบครูวรรณดีสะกิดท่าน "ท่าน ๆ นพพรเขาต่อว่าแน่ะ" เอิ่ม...55555 หนูจะไปบังอาจขนาดนั้นได้ไงค้า แค่ตัดพ้อเพราะอุตส่าห์รอ ร้อ รอ อ่ะ ท่านก็บอกว่าพอดีนอนกลางวันเพลิน ตื่นมาเลยลืมไปเลย ไม่มีใครเตือน ครูวรรณดีให้แจกันดอกไม้มีดอกแก้วและดอกอะไรสีเหลืองลืมชื่อไปแล้วค่ะ คณะครูให้กระเช้า และเก้าอี้ 2 ชุด และก็ถึงคิวเด็ก ๆ ให้ห่ออะไรไม่รู้เหมือนกัน รอพี่ด้ามาตอบ 55555 แล้วก็อ่านกลอนให้ท่านฟัง แต่พี่ด้าตื่นเต้นไปหน่อย อ่านผิด แทนที่จะอ่านเรียงไปเรื่อย ดันอ่านลง แล้วขึ้น ฟังแล้วงงงวยกันเป็นแถว 55555 จากนั้นก็ชวนท่านไปชมขนมเค้กแสนสวย จริง ๆ ครูกำลังจะกลับแล้ว แต่ท่านชวนให้มากินเค้กกันก่อน ก็เลยอยู่กินเค้ก ท่านชมว่าหน้าเค้กสวยมาก ครูวรรณดีรีบโฆษณาให้ว่าพี่หนิง ชรริน เป็นคนทำ ตอนตัดเค้กแจก อ่องก็รีบบอกพี่ด้าผู้ช่วยเหลือแจกเค้กว่าขอตรง "ชื่อ" ทั้งท่านผู้หญิงทั้งพี่ด้ามองหน้า ..แบบว่าไม่ค่อยเลยนะ 5555555 จริง ๆ อยากได้ตรงชื่อ "Lee" แต่ท่านบอกว่าเดี๋ยวเหลือแบบไม่สวย บางคนไดเอต ก็บอกว่าจะช่วยกิน
ท่านผู้หญิงห้ามไว้ บอกว่ากินเท่านั้นพอแล้ว...อ้วน!! 555555คุณป้าแสงสุนีย์เพื่อนเก่ามาถึงตอนกินเค้กพอดี ได้กินด้วยกัน แล้วคุณป้าก็ถามว่านายกสวว.ล่ะ? พี่ด้าตอบว่าไปต่างประเทศค่ะ พอคณะกลับกัน อ่องขออยู่ต่อเพื่ออ่านกลอนให้ท่านฟังอีกรอบกะว่าอ่านจบก็ลากลับ ตอนอ่านกลอนให้ท่านฟัง ท่านตั้งใจฟัง และแซวเป็นระยะ เช่นการใช้ศัพท์ที่ทำให้เกิดคำถาม... "นักษัตรสัตตะหน" นี่มันอะไร? 55555ก็นะ คนแต่งก็เพิ่งรู้จักคำนี้ตอนแต่ง สัตตะแปลว่า " 7 " ค่ะ แล้วพออ่านถึงตอน "วอนคุณพระศรี" ท่านก็แทรกว่า วานหรือวอน? อ่องก็ขำท่านน่ะ เราต้องอ้อนวอนผู้ใหญ่ไม่ใช่หรือคะ จะไหว้วานกระไรได้? เมื่ออ่านจบแล้วก็ลาท่าน แต่ท่านบอกว่าให้อยู่กินข้าวด้วยกันสามคนก่อน ก็เลยอยู่ค่ะ แล้วคุยเรื่องตึกเรียน ถือโอกาสชวนทั้งท่านผู้หญิงทั้งคุณป้าไปเที่ยว คุณป้าบอกไม่เอา เดินไกลง่ะ ท่านผู้หญิงก็บอกว่าจะไกลอะไร เข้าทางโบสถ์เทียบรถตรงสะพานแล้วเดินข้ามสะพานนิดเดียวเอง อ่องก็รีบสนองว่าใช่ค่ะ ไปไหมคะ? ท่านก็ถามว่าแล้วเขาจะให้เข้าไปชมหรือ? อ่องบอกว่าเดี๋ยวจะประสานขออนุญาตให้ ท่านแซว ๆ ว่า ..."เดี๋ยวเขาก็มาตั้งแถวรับหรอก" 
555555มาลัยที่เอามาให้ท่าน ท่านชมว่าสวยมาก อ่องเลยเสนอว่าเอาไปไหว้พระ ท่านก็เอาขึ้นไปทันที (น่ารักใช่ไหมคะ) แล้วเดินลงมากินข้าวด้วยกันช่วงกินข้าว ส่วนมากผู้ใหญ่จะคุยกัน มีนพพรนั่งกินไป ชวนคุยบ้าง (ออกนอกเรื่องประจำ เพราะฟังไม่รู้เรื่อง55555) แต่ท่านก็ไม่ว่าอะไรเพราะรู้ว่าเราหูตึง เปิดรูปในโทรศัพท์ให้ท่านดูรูปมีตติ้งคืนก่อน ท่านเห็นจำนวนคนแล้วร้องถามว่า "ไปหมดทั้งชั้นเลยเหรอนี่?" บอกว่าไม่ใช่ค่ะ ไม่หมด แล้วก็มีการคุยกันเรื่องตลาดน้ำ ถือโอกาสชวนทั้งสองท่านไปเที่ยวกัน ท่านก็บอกว่า..สมุทรสงครามหรือ งั้นก็ต้องนั่งรถไฟไปซิ 55555 หวานเย็นไปหรือเปล่าคะ กว่าจะไปถึง ขับรถไปง่ายกว่า ฯลฯ นึกได้ว่าพี่แดงเล่าให้ฟังว่าท่านเคยเป็นงูสวัด เลยถาม ท่านบอกว่าหายแล้ว แต่มันยังแฝงตัวอยู่ ถ้าเราแพ้อะไรก็จะเกิดอาการยุบ ๆ ยับ ๆ พอถามว่าท่านแพ้อะไรบ้างคะ ท่านก็บอกอาทิกุ้ง ปลา...เอิ่ม บนโต๊ะอาหารมีกุ้งต้มวางเรียงรายไว้กินกับสลัดง่ะ 555555คุยสารพัดสารพัน รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ท่านทำให้อยากเปลี่ยนเครื่องช่วยฟังค่ะ เพราะเจ้าเครื่องนี้มันเก่าแล้ว ชักรวน ๆ เมื่อกินเสร็จก็ส่งท่านขึ้นชั้นบนไปพักผ่อน ก่อนจะเดินกลับออกไปพร้อมความทรงจำมากมายที่สนุก และสุขสันต์วันเกิดจริง ๆ ค่ะ

วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

มื้อพลังใจที่สีฟ้า

อิ่มใดไหนจะเท่าอิ่มอกอิ่มใจ

หลังจากที่ได้ไปกราบเยี่ยมคุณป้าประภา ยศสุนทรด้วยกันแล้ว ฉันก็คิดว่าจะลงรถที่หน้าบ้านท่าน แล้วจับรถเมล์กลับบ้าน แต่ท่านผู้หญิงบอกว่าเราไปกินข้าวกันที่ไหนดี ฉันเลยเสนอว่าสีฟ้า เพราะรู้ว่าท่านชอบกินขนมเบื้องญวนของร้านนี้ พอรถเลี้ยวเข้าที่จอดรถ ท่านเกิดนึกได้ว่าทำไมเราถึงไม่ชวนพี่ด้ามาด้วยกัน? ฉันก็เลยส่งมือถือของฉันให้ท่านเพื่อเรียกพี่ด้ามา แต่ท่านก็บอกว่า อย่าเลย เพราะพี่ด้าอาจจะติดธุระก็ได้ มื้อนี้จึงเป็นมื้อแรกที่ได้กินข้าวกับท่านสองคน ฉันรู้สึกตื่นเต้น ไม่รู้ว่าจะประหม่าทำอะไรเปิ่น ๆ หรือเปล่า? ถึงจะเคยกินข้าวกับท่านมาหลายมื้อแล้วก็ตาม แต่ไม่เคยกินข้าวกันตามลำพังมาก่อน

มีโต๊ะให้เลือกไม่มาก เราได้โต๊ะติดถนน ฉันให้ท่านนั่งด้านที่หันหน้าออกถนน เมื่อนั่งแล้ว ท่านก็สั่งขนมเบื้องญวนทันที ส่วนฉันเลือกข้าวผัดปู ระหว่างรออาหารมา ฉันก็หยิบมือถือมาเปิดให้ท่านดูรูปที่ถ่ายที่บ้านคุณป้าประภา

ขอเล่าถึงตอนไปบ้านคุณป้าประภาแป๊บนึงนะคะ ตอนไปถึงบ้านป้าประภา เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องเวลานัดหมาย คือทางบ้านคุณป้าเข้าใจว่าคณะเราจะมาตอนบ่าย แต่จริง ๆ ฉันบอกไปว่าประมาณ 10.30-11.00 น. เราก็เลยต้องนั่งรอคุณป้าประภาเตรียมพร้อม  แต่ก็ไม่นานมากหรอกค่ะ ก่อนหน้านี้คุณลุงดวงก็ออกมาคุยกับท่านผู้หญิง เพราะรู้จักคุ้นเคยกันอยู่ อย่าถามว่าคุยอะไรกันนะคะ รู้ ๆ อยู่ 555555

สิ่งที่ประทับใจคือเมื่อคุณป้าประภาเข้ามาในรถเข็น จัดที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านผู้หญิงก็เข้าไปย่อตัวกราบรุ่นพี่กับอก แล้วจับมือพูดทักทาย ถึงจะไม่ได้ยิน แต่ก็สามารถเดาน้ำเสียงจากกิริยาท่าทางได้ว่าอ่อนโยน อบอุ่นแน่ ๆ คุณป้ายังตื่นไม่เต็มตา ท่านผู้หญิงก็กลับมานั่งคุยกับคุณลุงดวงต่อ พอตอนลากลับคุณป้าประภาตื่นเต็มที่แล้ว ถึงคุณป้าประภาจะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าและแววตาบ่งบอกชัดว่าคุณป้าดีใจที่เห็นท่านผู้หญิงมาเยี่ยม ท่านผู้หญิงได้คุกเข่าลงข้าง ๆ เพื่อถ่ายรูปกับคุณป้าแม้ว่าจะลุกลำบากแต่ท่านก็ทำ แสดงให้เห็นว่าท่านมีความเคารพรุ่นพี่จากน้ำใสใจจริง

กลับไปที่โต๊ะกินข้าวนะคะ พอท่านดูรูปจากมือถือเสร็จ ท่านก็ถามว่าถ่ายยังไง อยากรูปฉัน...โหย ตื่นเต้นมากเลย ไม่รู้จะโพสต์ท่ายังไงให้ตากล้องกิตติมศักดิ์ นั่งซะเรียบร้อยเชียว แต่ท่านผู้หญิงกดผิดซะงั้น 555555 เก้อเลย ต้องสอนกันใหม่ค่ะ คราวนี้ relax แล้ว ถ่ายเสร็จฉันก็ขอถ่ายท่านมั่ง แล้วส่งให้ท่านดู ท่านก็บอกว่าอยากถ่ายฉันหน้าเต็มจอแบบนี้บ้าง ฉันเลยต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ กล้อง โพสต์หน้าแอ๊บแบ๊ว ตอนนี้ไม่เขินแล้ว (ปรับตัวไวเนอะ 5555) รูป 3 รูปที่ถ่ายโดยท่านผู้หญิงนี้ว่าจะไปอัดเก็บไว้เป็นที่ระลึกค่ะ แล้วฉันก็ขอถ่ายรูปท่านบ้าง วัฒเนี่ยนสองรุ่นสลับกันถ่ายรูปเป็นที่เพลิดเพลิน จนกระทั่งท่านเปรยขึ้นมาว่าโบราณเขาถือว่าถ่ายรูปมากอายุสั้น อ่าว...555555 ฉันเก็บกล้องทันที ไม่ใช่กลัวตัวเองอายุสั้นหรอกนะคะ แต่กลัวท่านจะจากไปเร็ว ทุกวันนี้ยังอาวรณ์คิดถึงพี่ลีไม่สร่างซาเลย

พออาหารยกมา ท่านก็แบ่งขนมเบื้องมาให้ฉัน พอฉันจะแบ่งข้าวผัดปูให้ ท่านบอกไม่เอา ฉันขอให้ท่านกินข้าวเยอะ ๆ จะได้มีกำลัง ท่านบอกแก่แล้วกินไปกำลังได้หรือเปล่าไม่รู้ ที่รู้คือได้พุง 555555
เราก็คุยนั่นนี่กันไปเรื่อยค่ะ จากเรื่องนั้นกระโดดไปเรื่องนี้ กระโจนไปเรื่องนู้น จนขนมเบื้องท่านหมด แต่จานฉันข้าวผัดปูยังอยู่ครึ่งจานเลย 55555 ฉันเลยต้องเร่งสปีด เพราะท่านผู้หญิงรอสั่งของหวานพร้อมกัน
เรื่องที่คุยกันก็มีสารพัด สารพันค่ะ ส่วนมากฉันคุยให้ท่านฟัง ท่านคุยกลับมา ทั้ง ๆ ที่ช้าลง และเสียงดังกว่าปกติ เพราะรู้ว่าฉันหูไม่ดี แต่กระนั้น ฉันก็ฟังออกบ้าง ไม่ออกบ้าง ประสาฉันแหละ คุยไปคุยมา มาเรื่องมัสมั่น ท่านบอกว่าชอบกินมาก แต่ที่บ้านไม่ค่อยทำเพราะไม่มีคนกิน ฉันเลยรีบบอกไปว่าวันหลังฉันจะทำไปให้กินค่ะ กลับไปบ้านต้องฝึกปรือฝีมือละ จะได้ทำให้ท่านผู้หญิงกิน

ฉันแปลกใจว่าท่านไม่เคยไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาฯเลย ทั้ง ๆ ที่เข้าวังสระปทุมบ่อย ท่านบอกว่าไปเพื่อเฝ้าสมเด็จพระเทพฯ เท่านั้น ฉันก็เลยชวนทันที งั้นไปกันไหมคะ อ่องชวนท่านผู้หญิงเที่ยวทั่วไทยแล้วมั้งเนี่ย 55555

พอกินขนมเสร็จ ฉันก็ขออนุญาตเลี้ยงอาหารท่าน แต่ท่านบอกว่าไม่อนุญาต ฉันก็เกิดนึกได้ว่าเมื่อเช้าเอากระเป๋าตังค์เล็กมา ใส่แบ้งค์ 500 มาใบเดียวกับเศษเหรียญ แวะตลาดซื้อพวงมาลัย กับส้ม ตอนนี้ไม่รู้เหลือเท่าไร ที่แน่ ๆ ไม่น่าจะพอจ่ายเลยเงียบ แต่มานึกขำตอนท่านผู้หญิงเปิดกระเป๋าแล้วเปรยว่า ไม่รู้ลืมเอากระเป๋าตังค์มาหรือเปล่านี่ซิ ...เอิ่ม...ท่านคะ ถ้าท่านลืมจริง ๆ สงสัยอ่องต้องอยู่ล้างจานที่สีฟ้าแน่เลย

ป๊ากเคยบอกว่าฉันโชคดีที่ผู้ใหญ่มักให้ความเมตตาเป็นพิเศษ  ฉันกลับคิดว่าฉันโชคดีได้อยู่ในแวดวงผู้มีเมตตาธรรมมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นอากง ครูเก่า ๆ และพี่ลีที่ล่วงลับ ตลอดจนผู้ใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนให้ความเมตตาฉันมากกว่าคนอื่น ๆ  สิ่งที่ฉันสนองกลับคือการกตเวทิตาในรูปแบบของฉัน คือการได้ใช้เวลาด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่โอกาสจะเอื้อ ไม่มีอะไรในชีวิตที่ฉันอยากได้ไปยิ่งกว่าการใช้เวลากับบุคคลอันเป็นที่รักแล้ว.




วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เพลินบุปผชาติสวนหลวงร.9 กับท่านผู้หญิงสุมาลี

ความสุขอันเป็นพลังสร้างวันใหม่

คิดว่าจะไม่สามารถกลับมาเขียนอะไร ๆ สนุก ๆ ได้อีกเสียแล้วหลังจากการจากไปโดยไม่คาดฝันของเพื่อนที่รักที่สุดในชีวิต บทความนี้คือบทความแรกที่เขียน เพราะอยากเก็บไว้เป็นความทรงจำอันอบอุ่นให้ได้รำลึกถึงทุกครั้งที่กลับมาอ่านค่ะ
ก่อนอื่นขอชี้แจงว่า การที่นำรูปมาเผยแพร่ก็ดี เขียนเรื่องสู่กันฟังก็ดี ไม่ใช่จะอวดว่าฉันสนิทกับท่านผู้หญิงนะคะ ไม่เคยคิดเช่นนั้นเวลาได้รับความรักความเมตตาจากผู้หลักผู้ใหญ่ เพราะเท่าที่เห็น ท่านก็ให้ความเมตตากับคนอื่น ๆ เฉกเดียวกัน
ที่มาที่ไปว่าทำไมจึงได้ไปเดินเที่ยวสวนหลวง ร.9 กับท่านผู้หญิงนั้น เกิดจากวันหนึ่งคุณแม่กลับจากสวนหลวง ก็เอารูปใน ipad มาอวดค่ะ ฉันไม่ค่อยได้ไปเดินเที่ยวเท่าไร เพราะส่วนมากบ้านเราอากาศร้อน เดินนาน ๆ ก็เมื่อย เหงื่อออก สวนก็ใหญ่ เลย...สั้น ๆ ว่า “ขี้เกียจ” 5555555 แต่ปีนี้เกิดแว้บขึ้นมาว่าน่าจะชวนท่านผู้หญิงไปนะ คุณแม่เองก็คิดถึงท่านผู้หญิงเช่นกันเลยกดมือถือตะเล็บเก้บไปชวนทันที ซึ่งท่านก็ตอบรับมาเกือบจะในทันใด คุณแม่ให้ท่านเป็นผู้กำหนดวัน ท่านก็บอกว่าวันที่ 5  ฉันรีบค้าน เพราะวันที่ 5 คนน่าจะเยอะมาก บางทีเจอคนงานพม่ามาเป็นกลุ่มใหญ่ บางทีเจอคนกินเหล้าเมา เสียงดัง ไม่น่าจะใช่บรรยากาศที่น่าเดินของสวนสาธารณะเท่าไร ท่านเลยเลื่อนเป็นวันที่ 6
วันที่ 4 ฉันเห็นดอกมหาหงส์ที่บ้านออกดอกเยอะเลยตัดไปฝากท่าน เมื่อไปถึงบ้านก็นัดกับท่านอีกทีเรื่องเวลา ว่าเราจะนัดกันที่บ้านท่านแล้วไปพร้อมกัน เพราะถ้าไปเจอกันที่นั่น อาจจะหากันลำบาก ฉันขอให้ท่านใส่รองเท้ากีฬา ท่านก็ว่าจะเดินไหวหรือเปล่าไม่รู้ ฉันบอกว่าไม่เป็นไร ขอให้ใส่รองเท้าเดินสบาย ๆ ไว้ก่อน ยังไงที่นั่นก็มีรถบริการอยู่แล้ว
เช้าวันที่ 6 ฉันให้อู๋พาคุณแม่ไปเจอที่สวนหลวง ส่วนฉันไปบ้านท่านผู้หญิง นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะท่านลืมไปว่าฉันจะไปเจอที่บ้านท่าน ท่านจดลงในสมุดเฉย ๆ ว่ามีนัดกับอ่องไปสวนหลวง พอฉันไปถึง แม่บ้านก็แจ้งว่าท่านออกไปพบฉัน 555555 สีหน้าแม่บ้านงง ๆ เล็กน้อยเพราะคนที่ท่านไปพบยืนอยู่ตรงหน้า ฉันเลยต้องโทรให้น้องรีบติดต่อท่าน ส่วนตัวเองก็รีบนั่งแท็กซี่ตามไป โชคดีที่จราจรค่อนข้างโล่ง จึงใช้เวลาไม่นาน
เมื่อฉันไปถึงก็โทรเข้ามือถือน้อง ถามว่าอยู่ไหน น้องบอกว่าให้รอแถวประตูทางเข้า เดี๋ยวจะเดินไปรับ สักพักใหญ่ ๆ น้องก็เดินมา เล่าให้ฟังว่าท่านผู้หญิงมาก่อนแต่โชคดีที่หากันเจอ ฉันก็นึกว่านี่น้องฉันทิ้งผู้ใหญ่สองคนตามลำพังเหรอ แล้วก็โล่งใจเพราะท่านผู้หญิงมีคนติดตามมาด้วย 1 คน
เดินไปไม่นานก็เจอท่านผู้หญิงกับคุณแม่ จูงมือกันชวนชี้ชมต้นไม้กระหนุงกระหนิงน่ารักราวกับคุ้นเคยกันมาแสนนาน ฉันก็รีบเข้าไปกราบทักทายท่าน ฉันเห็นแดดเริ่มมาก เลยเสนอหมวกให้ ท่านปฏิเสธบอกว่าเดี๋ยวผมเสียทรง 5555555 ท่านคงรู้แระว่าวันนี้โดนฉันถ่ายรูปไว้ลงเฟสบุ้คแน่ แต่วันนี้อากาศดีมาก ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป เหมาะกับการเดินเที่ยวของผู้อาวุโส
ท่านผู้หญิงเดินชมสวนแบบละเมียดละไมมากค่ะ เดินช้า ๆ ค่อย ๆ ดูไปเรื่อย ปากก็คุยนั่นคุยนี่กับคุณแม่ไม่ได้หยุด กรุณาอย่าถามฉันว่าคุยอะไรบ้าง คุณแม่บอกว่าถ้าคุยให้ฉันได้ยิน คนทั้งสวนหลวงก็คงได้ยินไปด้วย 5555555 แต่ฉันเชื่อว่าทั้งสองมีความสุข บทสนทนาต้องสนุก เพราะหัวเราะกันเป็นระยะ ๆ แม้แต่น้องชายที่บ่นปวดหัว ตอนแรกบอกเพราะไซนัส แต่บทสรุปเพราะขาดคาเฟอิน
มาถึงต้นหนึ่ง ซึ่งฉันจำชื่อไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าฉันไม่ใช่นักพฤกษศาสตร์ ปลูกได้ดีแต่มหาหงส์ แต่คุณแม่ชอบปลูกต้นไม้ค่ะ พอเห็นเมล็ดหล่นทั่วไปหมด ก็อยากเก็บเมล็ดไปเพาะ ระหว่างที่คุณแม่เดินหาเมล็ดที่เหมาะสม ท่านผู้หญิงก็ช่วยมองหาด้วย ขอบอกว่าสายตาท่านเป็นเลิศมาก เพราะท่านหยิบขึ้นมาเมล็ดหนึ่ง สีเขียวก็จริง แต่มีต้นอ่อนงอกออกมาแล้ว!
พอเจอซุ้มนิทรรศการ เห็นซุ้มไหนสวยก็หยุดถ่ายรูปกัน เดินมาถึงซุ้มหนึ่ง ท่านผู้หญิงบอกให้เด็กที่ติดตามช่วยถ่าย เอาให้ติดรูปสิงห์สองตัวด้วย จริง ๆ เป็นสิงห์ตัวนึงกับกิเลนค่ะถ่ายรูปเสร็จก็เข้าไปชมให้ละเอียดว่าเขาใช้ต้นอะไรบ้าง ท่านก็บอกว่าน่าจะเป็นซุ้มของบุญรอด เพราะสิงห์น่ะ สิงห์บุญรอดชัด ๆ แต่กลับกลายเป็นซุ้มเมืองไทยประกันชีวิตซะงั้น
เดินไปได้สักพัก น้องชายก็หาที่ขึ้นรถกอล์ฟได้ ก็เลยขึ้นรถนั่งชมไปทั่ว มาลงพักเดินแถวที่ขายต้นไม้ คุณแม่กับน้องช็อปปิ้งดิน และต้นไม้กันตามเคย ส่วนท่านผู้หญิงกับฉันก็เดินดูไปเรื่อย มาถึงดอกไม้ชนิดหนึ่ง หน้าตาเหมือนชื่อ แต่ฉันจำชื่อไม่ได้แล้ว ดอกอะไรลิปสติกสักอย่างเนี่ย ฉันนึกสนุก เอามือปิดป้ายแล้วขอให้ท่านทายว่าดอกอะไร ท่านตอบว่า...ช้าไปแล้ว อ่านชื่อไปเรียบร้อยแล้ว... 55555555
น้องชายหายไปไหนสักพักใหญ่ ฉันคิดว่าคงไปหากาแฟกินแก้ปวดหัว แต่เดินกลับมาพร้อมต้นอะไรสักอย่างห่ออยู่ในหนังสือพิมพ์ สูง 2 เมตร ฉันก็นึก คุณน้องจะไปห้อยตรงไหนในบ้าน? บ้านก็ใช่ว่าจะมีที่ทางมากมายอะไร ปรากฏว่าน้องซื้อให้ท่านผู้หญิงค่ะ น้องบอกภายหลังว่าประทับใจ ท่านเรียบร้อยมาก แล้วภาษาที่พูดก็ใช้คำโบราณ ฉันถามว่าโบราณตรงไหน? ยกตัวอย่างมาดิ๊ สรุปความตามน้องว่า ท่านผู้หญิงน่าจะเป็นแม่พลอยสี่แผ่นดินในยุค 3G
ก่อนกลับ ก็แวะกินอาหารมื้อเช้ากันที่ร้าน s&p ฉันเองตั้งแต่ออกจากบ้าน น้ำสักหยดก็ยังไม่ถึงปากถึงท้อง แต่ไม่รู้สึกหิวหรือกระหาย อาจจะเป็นเพราะอิ่มเอมใจกับช่วงเวลาในเช้านี้ ฉันสั่งกาแฟร้อนราดคาราเมล ในขณะที่ท่านผู้หญิงสั่งเกี๊ยวน้ำ น้ำราสเบอร์รี่ร้อน 1 กา คุณแม่สั่งขนมปังกับกาแฟ น้องชายสั่งกาแฟ ตอนที่ท่านกินเกี๊ยวน้ำ ในนั้นมีต้นหอมซอยเส้นผอม ๆ ไม่กี่เส้น แต่ท่านก็เขี่ยออก ฉันสังเกตมาพักหนึ่งแล้วว่าท่านไม่ค่อยกินผัก วันนี้เลยถามค่ะ  คำตอบที่ได้คือ ไม่อยากยิ้มสีมรกต 55555555
ระหว่างกินข้าวเช้ากัน ท่านผู้หญิงก็เล่าเรื่องชีวิตในวัฒนารุ่นยกหมิ่นให้คุณแม่กับน้องฟัง มีฉันกระตุ้นเป็นระยะ ท่านจำเรื่องราวหนเก่าก่อนได้เป็นอย่างดี ก็เล่ากันไป หัวเราะกันไป น้องเริ่มสีหน้าดีขึ้นหลังจากจิบกาแฟ (ยาแก้ปวดหัว) บรรยากาศชื่นมื่นมากค่ะ
กินเสร็จก็เดินออกมาเพื่อไปขึ้นรถ ท่านผู้หญิงแวะซื้อลูกโป่งฝากเหลนน้อยสองคนด้วย สักพักก็บอกฉันว่าเอ๊ะทำไมเหลือเราสองคน? 55555 แล้วแม่กับน้องของฉันหายไปไหน เด็กของท่านผู้หญิงน่ะกำลังจ่ายเงินค่าลูกโป่งอยู่ข้างหลัง ท่านผู้หญิงสายตาดี ช่างสังเกตเป็นเยี่ยมจริง ๆ ค่ะ เพราะท่านเห็นคุณแม่ก่อนฉัน กำลังซื้อลูกประคำกับของกระจุกกระจิก
เราลากันด้วยการไหว้แบบไทย แถมด้วยการลาแบบสากลฉบับวัฒเนี่ยน คือกอดและหอมแก้ม ช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงนี้จะตราตรึงในความทรงจำของฉันควบคู่กับบันทึกนี้ไปแสนนาน ความรักความเมตตาของท่านผู้หญิงเป็นประหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมหัวใจให้อบอุ่น และมีพลังมากขึ้น ถึงจะยังคิดถึงพี่ลีอยู่ แต่ก็มีความเข้มแข็งพอที่จะเผชิญกับความอาลัยอาวรณ์ให้บรรเทาลงได้ ที่ท่านบอกว่าฉันทำให้ท่านมีความสุข ขอบอกว่าท่านทำให้ฉันมีความสุขยิ่งกว่า ขอกราบด้วยความขอบคุณท่านเป็นที่สุดค่ะ

วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ท่านผู้หญิงสุมาลี จาติกวนิช

งามเอยแสนงาม งามจริงยอดหญิงชาติไทย 



                อารมณ์ดี ร้องเพลงตั้งแต่หัวเรื่องเลยนะ ฮ่า ๆ ๆ เป็นเพราะน้ำชากำลังฮิตเพลงเชย ๆ เพลงนี้  ขออภัยที่เกิดมาตั้งเกือบครึ่งศตวรรษ เพิ่งรู้จักเพลง ๆ นี้ แล้วก็แสนจะหลงใหลในคำร้องอันไพเราะ ทำนองง่าย ๆ แต่เสนาะหู  พอมาจับบทความคราวนี้  ปรึกษากับพินิจธานีแล้ว เห็นพ้องต้องกันว่าน่าจะหยิบมาตั้งชื่อเรื่อง เนื่องจากท่านผู้หญิงสุมาลี เป็นหญิงไทยที่งามจริง ๆ น้ำชาแอบชื่นชมอยู่ห่าง ๆ มาตั้งแต่เด็ก  เพิ่งได้พูดคุยใกล้ชิดกันก็วันนี้เอง แล้วก็พบว่าท่านผู้หญิงนั้น งามทั้งระยะไกล และใกล้ทีเดียว
            เราสามคน สรวรรณ นพพร สรีวิมลมาถึงบ้าน Platinum Sand ก่อนใคร (เหตุที่ไม่เรียกบ้านทรายทองเพราะบ้านสวยหลังนี้ไฮเทคกว่าบ้านทรายทองเยอะเลยค่ะ ไฮเทคยังไงติดตามอ่านไปเรื่อย ๆ นะคะ)  ระหว่างนั่งรอสมาชิกอื่น ๆ ตามมาสมทบ น้ำชาก็เดินถ่ายรูปไปเรื่อย  ถ่ายกระทั่งน้ำลำไยที่แสนอร่อย รองเท้าแตะสำหรับใส่ในบ้าน ฯลฯ  อะไรที่ไม่เตะตาชาวโลก มักจะเตะตานพพร
พี่แดง-ปริศนาตามมาในคราบของพจมานไร้เปีย แล้วสามทายาทคณะราษฎร์ก็จับกลุ่มถกกันถึงบรรพบุรุษของตน คนที่อากงขึ้นเรือมาจากจีนก็ถ่ายรูปต่อไป พี่กาญจนามาก่อนหน้าพี่ลานทิพย์และครูวรรณดีไม่นาน พอครบคณะถึงเดินเข้าไปในตัวบ้านค่ะ ท่านผู้หญิงเข้ามาต้อนรับด้วยชุดสีแดงสดใส ท่านบ่นว่าเพราะพิษการเมืองช่วงนี้ ทำให้ไม่ได้ใส่เสื้อสีแดงมานาน วันนี้วัฒนามาเยี่ยมถึงบ้าน จึงได้โอกาสใส่เพราะเป็นสีของโรงเรียน
                ห้องรับแขกมีกระจกโต๊ะเครื่องแป้งของคุณหญิงมณี..เอ่อ..ท่านผู้หญิงสุมาลีตั้งเด่นเป็นสง่า ปัจจุบันท่านเจ้าของคงไม่ได้ใช้งานแล้ว จึงเอามาตั้งอวดในห้องรับแขก มีดอกไม้ประดิษฐ์ใส่แจกันใบโตตั้งเบื้องหน้า สงสัยเพื่อป้องกันไม่ให้กระจกดูดย้อนกลับไปอดีตภพ  อย่างไรก็ตามพวกเราก็ถ่ายภาพหมู่กันหน้ากระจกทวิภพ เรียกว่าถ้ามันจะดูด ก็ดูดไปทั้งคณะแหละ  
            บ้าน Platinum Sand กว้างขวางมาก ท่านเจ้าของบ้านเล่าว่ามีรางรถไฟด้วย เนื่องจากคุณพ่อผู้สร้างบ้านชื่นชอบรถไฟมาก ตอนแรกที่ฟัง น้ำชานึกว่าสมัยแรก ๆ มีรถไฟมาวิ่งอยู่ในบ้านด้วย ฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียดซะเพี้ยนหลุดโลกไปเลย  ที่ฮือฮากันทั้งคณะ (พี่หน่อยกับพี่แดงอดดูเพราะกลับไปก่อน) ไม่ใช่ลิฟต์ในบ้าน แต่เป็นหลังคาบ้าน...เปิดได้ค่ะ ในยามที่อากาศดี ๆ ท้องฟ้ามีดวงดาราแต่งแต้ม ก็คงเปิดหลังคาแล้วนั่งชมดาวในบ้านได้สบาย ๆ  แม้ว่าจะมีเครื่องประดับบ้านมากมาย แต่ทุกอย่างก็ถูกจัดวางไว้ถูกที่ถูกทาง ถึงขนาดว่ามีคนพูดว่า ของในบ้านพี่(ท่านผู้หญิง)เข้าแถวทุกอย่าง ซึ่งท่านผู้หญิงได้ยกประโยชน์ให้กับคุณครูตลับ ที่ปลูกฝังความเป็นระเบียบให้เป็นอย่างดี แต่คงจะได้กับรุ่นเก่า ๆ รุ่นหลัง ๆ ไม่ได้เรียนกับครูตลับแล้ว จึงไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยแบบเก่า ๆ โดยเฉพาะตัวน้ำชาเอง ห่างไกลจากความเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนโลกกับพระจันทร์
            เมื่อใดที่ชาววัฒนาจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องเก่า ๆ สิ่งหนึ่งที่มักจะเป็นหัวข้อสนทนา ...ห้องน้ำห้องส้วม.. ครั้งก่อนคุณป้าจีรวัสส์เล่าให้ฟังเรื่องส้วม  วันนี้ท่านผู้หญิงสุมาลีเล่าให้ฟังเรื่องห้องอาบน้ำ..เป็นครั้งแรกที่เราได้ฟังว่าสมัยก่อน เด็กเล็ก (ป.4) เขาแก้ผ้าเดินเข้าแถวเพื่อจะเข้าไปอาบน้ำกัน  แถมห้องอาบน้ำตั้งขนานไปกับซอยร่วมใจ มีเพียงรั้วสังกะสีที่คนสามารถปีนมาแอบดูได้  โอ้จอร์จ ดีจังที่เกิดช้า ฮ่า ๆ
                ใคร ๆ คงจะทราบกันดีว่าท่านผู้หญิงสุมาลีนั้นเป็นสตรีนักบริหารชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของเมืองไทย ท่านมีพรสวรรค์มาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ โดยเฉพาะเรื่องการพูด โดยได้เคย เทศน์ ในห้องประชุมด้วย 1 ครั้ง ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจ ท่านเล่าว่าตอนนั้นท่านมีจุดเด่นคือกระโปรงนักเรียนของท่านสั้น กระโปรงมี 3 กลีบข้างหน้า 3 กลีบข้างหลัง ความที่ก้นท่านงอน จึงมีเพื่อนแซวว่า  " แหมเธอเดินก้นปัดขึ้นไปบนเวทีสง่ามาก" เมื่อขึ้นไปถึงแท่น ก็เกิดปัญหาอีกว่า แท่นโพเดี้ยมสูงไป เพราะท่านตัวเล็ก "อ้าว...หนูพูดไม่ได้..มองไม่เห็น"  ครูก็เลยเอาเก้าอี้มาแล้วก็ให้คุกเข่าพูดบนเก้าอี้ เป็นประสบการณ์พูดหน้าโพเดี้ยมครั้งแรกที่ไม่น่าประทับใจเพราะเจ็บหัวเข่ามาก แต่ก็ทำให้ท่านค้นพบความสามารถของตนเอง โดยปัจจุบันก็ได้ใช้พรสวรรค์นี้ระดมเงินเพื่อการกุศลอยู่เนือง ๆ
            ช่วงสงครามโลกที่วัฒนาย้ายไปที่ยกหมิ่น ก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย เพราะพื้นที่ไม่พอที่จะเขียนถึงทั้งหมด แต่มีเรื่องตลกแนวโรมานซ์เรื่องหนึ่งที่น้ำชาชอบ ฮ่า ๆ (ถ้าคนเขียนไม่ชอบ คนอ่านก็อดฟัง) คือในตอนนั้นด้านหลังของโรงเรียนเป็นรั้วสังกะสี  แล้วเป็นตรอกชาวบ้านห้องแถว วันหนึ่ง มีคนปีนหน้าต่างเข้ามา ห้องเรียนซึ่งอยู่ติดกับรั้วค่ะ ทีนี้มีเพื่อนคนหนึ่งเขาสวยที่สุดในชั้น เขาชื่อประจง ทีนี้เราก็กำลังเรียนภาษาอังกฤษ เขาก็ใช้หนังสือของคุณอาเขา เป็นหนังสือภาคภาษาอังกฤษ มีภาษาไทยอยู่ตัวเดียวเขียนว่า " จินตมัย" ซึ่งเป็นชื่อของอาเขา เราก็นั่งเรียนกันอยู่ ทีนี้ไอ้คนที่ปีนรั้วขึ้นมา เราก็เห็นกัน ครูก็สังเกตนักเรียนหันบ่อยๆ ก็เห็นมันแล้ว มันก็มองมา มองทีละคนเลย จนถึงประจงนี่ มันก็ตะโกนขึ้นมา "จินตมัยจ๋า..ฉันรักเธอ" เราก็หัวเราะกันครืนเลยวัยรุ่นซ่ากันทุกสมัยเลยนะ
                แม้ว่าท่านผู้หญิงจะเป็นเด็กเรียนดี  แต่ท่านก็มีจุดอ่อนที่กีฬา ท่านเล่าว่า  ในสมัยนั้นมีแหม่มคนหนึ่งชื่อ แหม่ม Box เรียกกันว่ายมบาล (ท่าจะดุได้โล่) เวลาเรียกมาเข้าแถว..ต้องยืนตรง..เอามือขึ้นไว้ที่หน้าอก แล้วเอามือวิดกางออกไป  เราทำไม่เข้มแข็งท่านก็ให้ทำใหม่ ยังเถียงแหม่มอีกว่า "ถ้าทำแรงเดี๋ยวแขนหนูหลุด"...แหม่มคงเกลียดหน้าเรามาก ว่าเราเป็นพวกอ่อนแอ...ทีนี้มาวันหนึ่ง แหม่มก็ให้เราปีนต้นไม้ ต้นจามจุรีริมสระน้ำเล็กๆหน้าตึกเรียน...มันก็จะมีกิ่งที่มันโน้มลงมา แหม่มก็ให้เราปีนแล้วก็ให้เดินไปที่ปลายแล้วก็กระโดดลงมา...เราก็เข้าแถวกัน ก็คิดว่า...โอ้ย คุณแม่เราไม่อนุญาตให้ปีนอะไรเลยนะ มีแต่นั่งพับเพียบ แต่ก็เดินตามคนอื่นเขาขึ้นไป...ทีนี้ตอนเวลาที่จะกระโดด ก็ร้อง"หนูลงไม่ได้ ๆ" ครูก็บอกว่า "ไม่ได้ก็อยู่ไป.." คนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลังเราเขาก็กระโดดลงไปจนหมดเหลือเราอยู่คนเดียว ต้องรอให้ครูไปแล้ว เพื่อนจึงขึ้นไปช่วยท่านลงจากต้นไม้ 
อีกครั้งนึง แหม่มก็ได้ให้กระโดดข้ามท้องร่อง (สมัยนั้น วัฒนายังมีลักษณะเป็นสวน มีท้องร่องค่ะ)  เราก็สไตล์เดิม "หนูกระโดดไม่ได้ค่ะ"  แหม่มก็เหมือนเดิม คือกระโดดไม่ได้ก็อยู่ตรงท้องร่องนั่นแหละ ท่านจึงจำใจกระโดด แล้วก็เป็นเด็กคนเดียวที่ตกลงไปในน้ำ เพราะข้ามไม่พ้น  แหม่ม Box คงเป็นเค้าโครงของหนังเรื่องครูไหวใจร้ายใช่ไหมคะท่านผู้หญิง? 
                เรื่องที่น้ำชาชอบที่สุด คือท่านบอกว่าท่านเคยได้คะแนนศูนย์ในวิชาวาดเขียนซึ่งเป็นวิชาที่ไม่น่าจะมีใครได้ศูนย์ (เป็นเพื่อนกับน้ำชาผู้สอบตกในวิชาขับร้องเลย) สาเหตุที่ได้ศูนย์เป็นเพราะครั้งนั้น ครูสอนให้วาดจากวัตถุจริง คือให้วาดแจกัน โดยสอนให้เหยียดแขนสุดแล้วใช้ดินสอในมือเล็งแจกัน แล้วจุดลงบนกระดาษร่างเป็นเค้าโครง เป็นพื้นฐานศิลปะที่ทุกคนน่าจะได้เคยผ่านมา  แต่ท่านผู้หญิงของพวกเราผ่านมาอย่างเจ๋งที่สุดค่ะ ฮ่า ๆ ๆ (ขออนุญาตขำนะคะ) ก็ในเวลา 1 คาบวิชา คนอื่นเขาวาดเป็นแจกันส่งครูได้หมด มีแต่ของเด็กหญิงสุมาลีที่ดูไม่ออกว่าเป็นอะไร  ต่อให้ปิกัสโซ่ก็ยังไม่ cubism เท่าเลยค่ะ ตอนแรกที่ฟังท่านผู้หญิงเล่า ยังนึกภาพไม่ออก แต่น้ำชานึกตำหนิครูวาดเขียนแล้วว่าใจร้ายจัง  พอได้เห็นตัวอย่างที่ท่านวาดให้ดูแล้ว ชักเห็นใจครูขึ้นครามครัน  ตั้งชั่วโมงวาดได้แค่นี้น่ะนะ  มันคือ Sumalee’s Code หรือเปล่าคะ?
                พอการสัมภาษณ์เสร็จสิ้นลง พี่กาญจนากับพี่ปริศนาก็ขอตัวกลับก่อน เนื่องจากนัดเพื่อน ๆ ไว้ น้ำชาจึงกินขนมจีนซาวน้ำ 2 จาน โดยอ้างว่ากินเผื่อพี่ ๆ  แต่ไม่ค่อยมีคนเชื่อ ฮ่า ๆ ที่จริงขอสารภาพว่าปกติกินขนมจีนซาวน้ำไม่เป็นนะคะ  แต่ที่กิน 2 จานเพราะอร่อยและเขาจัดได้น่ากินมาก ๆ ค่ะ  นอกจากขนมจีนซาวน้ำแล้ว ก็มีปอเปี๊ยะทอดแสนอร่อย อร่อยจนอยากขอห่อกลับบ้าน ฮ่า ๆ ๆ ของหวานเป็นผลไม้รวมมิตร และไอติมรสแปลก ๆ ขิง กระท้อน และลูกหว้าค่ะ  น้ำชาชอบไอติมกระท้อนที่สุด รสขิง กับลูกหว้าแปลกลิ้นเกินไป แต่สรีวิมลชอบมาก บอกว่าของมีประโยชน์ น้ำชาเลยยกให้เธอกินของมีประโยชน์ เราเลือกของอร่อยไว้ก่อน จะมีหรือไม่มีประโยชน์ก็ช่าง

                ก่อนจะจากลากัน ท่านผู้หญิงได้ทิ้งท้ายไว้อย่างคมคายว่า ในโรงเรียนวัฒนานั้น เราถูกอบรมมาว่าให้มีการ"ให้"กัน ซึ่งการให้ต้องตั้งต้นด้วยความรัก  เราต้องรักกันก่อนแล้วจึงให้ซึ่งกันและกัน พี่ก็รักน้อง น้องก็รักพี่ พอเกิดการให้ด้วยความมีน้ำใจ..ก็จะนำไปสู่ความรักแล้วก็ทำงานร่วมกัน ดังเพลงลำธารเล็กๆ  ....โอ้จงให้โอ้จงให้.....ซึ่งเมื่อลำธารเล็กๆ มารวมกันก็จะเป็นลำคลอง ลำคลองมารวมกันก็เป็นแม่น้ำ แม่น้ำก็ไหลลงสู่มหาสมุทรที่กว้างดังใจของเรา  หากเพลงเหล่านี้ที่เราเคยร้อง...เมื่อเด็ก ๆ เราก็ร้องไปอย่างนั้นเอง...แต่เมื่อเรามีอายุมากขึ้นเราก็จะแปลความหมายเหล่านั้นได้
            พวกเราได้เห็นความงามอีกรูปแบบหนึ่งของท่านผู้หญิง คือความประพฤติงามต่อสังคม ผ่านกิจกรรมหลากหลายอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมที่ท่านผู้หญิงได้บำเพ็ญมาตลอดจนทุกวันนี้  เราอยากจะบอกว่าท่านเป็นลำธารเล็ก ๆ ที่งดงามและยิ่งใหญ่ลำธารหนึ่งค่ะ.