วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แกงเผ็ดเป็ดย่าง

เมนูแพงขึ้นทุกวัน..สำหรับแม่ครัวฝึกหัด
หลังทำอาหารมาหลายอย่าง ส่วนมากเป็นพวกสารพัดแกง เพราะอุปกรณ์มีแค่นั้น จะทำอย่างอื่นก็ไม่เอื้อ  ก็เริ่มชำนาญ และมั่นใจขึ้นเรื่อย ๆ ตอนหลังก็รู้จักพลิกแพลงใส่อะไรแปลก ๆ ที่อาจารย์ลีไม่ได้สอน เช่นแกงส้มดอกไม้จีนสดเป็นต้น เป็นหนึ่งในเมนูที่ทำบ่อยสุดตอนนี้ เนื่องจากปกติก็ชอบกินแกงส้มเหลือเกินอยู่แล้ว พอทำเองเป็น ก็ทำกินบ่อย จนเริ่มทำท่าจะเบื่อแกงส้มไปอีก 10 เดือน 55555  ยังไม่ได้เขียนเรื่องแกงส้มเลย จริง ๆ แล้วเขียนแล้วล่ะ แต่มันไม่ค่อยสนุก เลยยังเขียนไม่จบสักที
ทำให้คิดว่าต้องเขียนสด ๆ ประมาณว่าเขียนไปทำไปดีกว่า มันถึงจะเร้าใจ (ทำไมเธอถึงต้องเร้าใจแม้กระทั่งเขียนตำราอาหาร?) ก็งี้แหละค่ะ คนที่ทำอะไรด้วยหัวใจ มักจะมีนิสัยที่ประหลาดเช่นนี้แล
เมื่อวานไปช็อปปิ้งเมนูไฮโซที่ห้างไฮโซ (เข้ากันมากเลยเนอะ) ได้เป็ดย่างเอ็มเคมา 1 กล่องเล็ก ร้อยกว่าบาท แกงถ้วยนี้ราคาแพงมาก 55555 ขนาดแค่เริ่มด้วยเป็ดก็ร้อยกว่าบาทแล้ว.... พี่ลีบอกว่าให้ใส่องุ่นเขียวด้วย ไม่รู้องุ่นนอกหรือองุ่นใน เดินไปวิลล่า เจอองุ่นเขียวนอกสวยมาก เลยคิดว่าถ้าเอามาถ่ายรูป คงทำให้แกงดูน่ากินขึ้น แต่มันแพงเหลือเกิน 55555 ถามพนักงานว่าซื้อเศษ ๆ นี่พอได้ไหม? หยิบพวงขาด ๆ มีประมาณ 10 ลูก เขาบอกว่าได้ ก็เลยส่งให้ชั่ง เชื่อไหม องุ่นแค่นั้นก็ 60 กว่าบาทแล้ว วันก่อนไปซื้อองุ่นแดงที่เจเจมา กก.ละ 60 เลยกะว่าใส่มันทั้งสองหงุ่น จะได้สวยจัดจ้าน เอารูปสวยประเดิมชัยไว้ก่อนว่างั้น
หยิบน้ำพริกแกงเผ็ดมา 1 ซอง พี่ลีบอกว่าน้ำพริกแกงแดง แต่ไม่เห็นมี มีแต่แกงเผ็ดสีแดง คิดว่าน่าจะใช่นะ  เพราะภาษาอังกฤษเขียนกำกับไว้ว่า “red curry paste” แล้วก็ซื้อน้ำกะทิกล่องใหญ่หน่อย เพราะเมื่อ 2 วันก่อนทำมัสมั่น ซื้อไก่มาเยอะไป ปรากฏว่ากะทิไม่พอ ต้องให้คนวิ่งไปซื้อเป็นที่ฉุกละหุกอย่างยิ่ง เลยคิดว่าเหลือก็ไม่เป็นไร เอาไว้ทำต้มข่าได้ เพราะไปเจอเห็ดออริจินหน้าตาน่ารักดี เลยอยากลองเอามาต้มข่าดู
เลือกพริกแดงกับเขียวมาด้วย ส่วนใบมะกรูดมีมาในเซ็ทของต้มข่าอยู่แล้ว ไม่ได้เอาโพยมา ยืนนึก ๆ มันขาดอะไรอีกหว่า? เลยถามคนขาย คนขายบอกว่าไม่ขาดแล้ว ก็กลับบ้าน มาถึงบ้านเห็นโพยที่จดไว้ที่โต๊ะ...ว่าแล้วเชียวว่าต้องขาดอะไรสักอย่าง ..ใบโหระพา!!!!! เลยลงไปคุยกับแม่ ว่าแกงเผ็ดไม่ใส่โหระพาจะอร่อยไหม?
คุณแม่ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่าไม่อร่อย เพราะไม่หอม  เลยขอให้คุณแม่ซื้อมาให้ด้วยพรุ่งนี้เช้า 
เช้านี้ใบโหระพาสวย 1 ช่อแถมพริกแดงยักษ์ด้วย  เออใหญ่ดีแฮะ น่าจะถ่ายรูปสวย 555555 แทนที่จะคิดว่าทำไงให้แกงอร่อย กลับคิดเรื่องถ่ายรูป ตกลงจะทำสตูดิโอหรือว่าทำครัวกันแน่?  แต่พี่ลีเคยบอกว่าอาหารที่ดีต้องอร่อยตา อร่อยปาก จนถึงอร่อยใจ 55555 พี่ลีไม่ได้ใช้สำนวนนักเขียนขนาดนี้หรอก นี่มันสำนวนฉันเอง อิอิ
ปกติแล้ว พอตื่นมาฉันต้องล้างหน้าแปรงฟัน ดื่มนม กาแฟ และกินขนมปังก่อนจะทำอะไรอื่น แต่เช้านี้บ้าเห่อเล็กน้อย เลยหยิบกล้องมาถ่ายรูปวัตถุดิบทั้งหมด แล้วก็ล้างผักผลไม้ที่จะใส่ในแกง แอบชิมองุ่น...มันไม่เปรี้ยวอ่ะ จำได้ว่าพี่ลีบอกให้ใส่องุ่นเปรี้ยว เง้อออ แล้วจะเอาไงดี?กับความเปรี้ยว? เอาองุ่นไปแช่มะนาว? หรือมะขามเปียก? หรือน้ำส้มสายชูดี?  พี่ลีหายไปหลายวันแล้ว ป่านนี้ไปช็อปปิ้งปร๋อที่ฮ่องกงแล้วล่ะม้าง  แกงเผ็ดราคาแพงของฉันจะกินได้ไหมเนี่ย? ลงทุนไปหลายร้อยแล้วกับแกงถ้วยเดียว ราคานี้ซื้อหูฉลามได้เชียวนะ 555555
เปิดคอมเร่งด่วน  หาวิธีทำ...โชคดีที่มีคนทำแกงเผ็ดเป็ดย่างเป็นเยอะ 55555 มีสูตรเพียบ แต่ฉันแค่อยากรู้ว่ามันจะเปรี้ยวได้ยังไง เลยไม่ได้อ่านสูตร ไล่ตาหาแต่ของเปรี้ยว ...เจอแล้ว! มะขามเปียกนี่เอง 
เอาล่ะของทุกอย่างครบ แต่เพิ่งจะ 9 โมงเช้าเอง  รอสัก 10 โมงค่อยทำก็ได้ ฉันกับคุณแม่เป็นคนกินข้าวไวค่ะ ข้าวเช้านี่ลืมตาก็กินเลย 555555 ข้าวเที่ยงจะกินราว ๆ 11 โมง  ส่วนข้าวเย็นจะ 4-5 โมง บางทีก็ 3 โมงกว่าค่ะ แล้วแต่อารมณ์ หลายคนบอกฉันกินข้าวเย็นเร็วมาก มืด ๆ ไม่หิวเหรอ?  ที่จริงแล้วถ้าอยู่บ้าน ฉันจะกินทั้งวันเลย เดี๋ยว ๆก็ไปเปิดตู้เย็นหานั่น หานี่มากิน แต่หลัง 6 โมงมักจะไม่ค่อยกินอะไรนอกจากไมโล กับบ๊วย  ไม่ได้กินด้วยกันนะ 5555555 หมายถึงต่างเวลาต่างวาระตะหาก เดี๋ยวมีคนอยากลองกินไมโลใส่บ๊วย 5555555
เด็ดใบโหระพา ซอยพริกแดงเม็ดใหญ่ 1 เม็ด อีก 1 เม็ดและพริกเขียว 3 เม็ดแค่ทุบก็พอ เดี๋ยวจะเผ็ดเกินไป และหั่นใบมะกรูดด้วย หอมเชียวเจ้ามะกรูดเนี่ย กลิ่นติดนิ้วมาถึงคีย์บอร์ด 5555 ถูกแล้วค่ะ ทำไปก็แวะมาพิมพ์ไป สนุกดี ^___^  ตอนนี้ยังไม่ได้ฤกษ์เลยค่ะ ขอท่องไปในโลกจินตนาการไร้จำกัดสักพักก่อนก็แล้วกัน รอสัก 10โมงค่อยลุกไปเริ่มทำ  วันนี้ลงไปเอาหม้อหุงข้าวจากข้างล่างขึ้นมาใช้ จะได้ไม่ล้นหม้ออีก เพราะดูจากเป็ด พริกเม็ดใหญ่ องุ่น 2 สี มะเขือเทศลูกจิ๋ว ๆ แล้วน่าจะล้นหม้อ ยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
พอได้เวลาก็จัดแจงเทกะทิลงในหม้อ...โอ้ว หม้อใหญ่เวิ้งว้าง 555555 ไม่ชินอ่ะ เทลงไปนิดหน่อยก่อนค่ะ รอให้กะทิแตกมัน เดือดปุด ๆ ก็ตักเครื่องแกงลงไปละลาย เหยาะเกลือลงนิดหน่อย พอเครื่องแกงละลายกับกะทิหมดแล้วก็เอาเป็ดลงไปรวน ๆ ไม่ต้องนานมากเพราะเป็ดมันสุกอยู่แล้ว จากนั้นก็เทกะทิเพิ่มลงไป จะกินแค่ไหนก็เทแค่นั้นค่ะ แล้วก็รอให้เดือด พอเดือดก็ระดมวัตถุดิบที่เหลือใส่ลงไปค่ะ ได้แก่องุ่น มะเขือเทศ พริกแดง พริกแดงนี่ฉันซอยบ้าง ทุบทั้งเม็ดบ้าง เพื่อเวลาถ่ายรูป เห็นพริกเป็นเม็ดมันดูจี๊ดจ๊าดดี ใบโหระพา ใบมะกรูดซอย หรือฉีกก็ได้แล้วแต่ความพอใจ ชิมดู ขาดเค็มก็เทน้ำปลา กับเกลือ ขาดหวานก็เติมน้ำตาล ขาดเปรี้ยวก็มะขามเปียก ตามแต่ใจจะไขว่ขว้ากัน  เมื่อได้รสชาติแล้วก็ปิดไฟค่ะ ทิ้งไว้สัก 10 นาทีให้รสแกงมันเข้าเนื้อ ค่อยยกเสิร์ฟ
คุณแม่บอกว่าอร่อยมากค่ะ ที่จริงคิดว่ามันจะเก็บไว้กินได้ 3 มื้ออย่างน้อย แต่มื้อเดียวนี้ก็เกือบหมดแล้ว.
ภาพประกอบดูที่นี่ค่ะ  http://www.facebook.com/profile.php?id=587560548#!/album.php?aid=295609&id=587560548&notif_t=like 


วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ดอกท้อสีทอง

เรื่องสั้น 1 ใน 10 รางวัลสุภาว์เทวกุล เมื่อ...นมนานกาเลมาแล้ว
เรื่องสั้นนี้เขียนมานานมากแล้วค่ะ น่าจะ 10 กว่าปีแล้ว จำไม่ได้จริง ๆ ว่าเมื่อไร สำนวนโวหารห่างไกลจากความเป็น นพพร ในวันนี้อย่างกับกทม-ลอนดอน ตอนที่เขียนเรื่องนี้เสร็จส่งเข้าประกวดแล้ว ก็ส่งสำเนาไปให้ครูภิญโญอ่าน ครูก็โทรมาพูดถึงเรื่องสั้นเรื่องนี้ว่า... อ่านไม่รู้เรื่อง 5555555 ตอนนั้นแอบจิตตก โห ขนาดครูภาษาไทยอ่านไม่รู้เรื่อง จะได้เข้ารอบไหมนั่น
แต่แล้วก็ surprise มากค่ะ ในเวลาไม่นาน ก็เห็นเรื่องสั้นของเราถูกตีพิมพ์ในสกุลไทยในฐานะเป็นเรื่องที่ 2 ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารอบ แต่ก็คิดว่าน่าจะได้แค่นั้นแหละ ไม่เคยคิดว่าท้ายสุดแล้วจะได้รางวัล  เหมือนฝันไป....เมื่อคืน มีพี่ ๆ อยากอ่าน ก็เลยไปค้นมา แล้วลองอ่านดู อืมม์...55555555 อะไรมันจะเคร่งขรึมขนาดนี้เนี่ยะ  เชิญอ่านกันดูนะคะ ถ้าไม่เฮฮา ก็อย่าสะออนนะค้า 55555
โต๊ะหินขัดสีขาวใต้ซุ้มการเวกไม่ร้อนเกินไปในเวลาเกือบ 4 โมงเย็น แม้ว่าแดดวันนี้จะเปรี้ยงเป็นพิเศษ แต่ลมก็พัดอยู่จนใบไม้แลไหว ๆ กลิ่นหอมละมุนของดอกไม้สีเหลืองครอบคลุมบริเวณ นับว่าเหมาะสมยิ่งนักที่เจ้าของบ้านมักจะใช้เป็นที่รับแขกของเตี่ยโดยเฉพาะ
เตี่ยเป็นชายจีนอายุประมาณ 65 ปี ตลอดชีวิตได้ต่อสู้ทำมาหากินสร้างครอบครัวมา-ไม่ถึงกับร่ำรวยเป็นปึกแผ่น แต่ธุรกิจประกอบรถจักรยานในย่านจรัญสนิทวงศ์และหน้าร้าน 2 คูหาริมถนนวรจักรนี้ก็ได้เลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวร่วม 20 กว่าชีวิตให้ได้มีข้าวกิน มีที่นอน มีเสื้อใส่ มีอีกหลายต่อหลายอย่างที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอยู่ของคนกรุงเทพฯในยุควัตถุนิยม
แต่ทว่า ผู้สร้าง มากับมือกลับเป็นคนสมถะ หลังจากที่วางมือในกิจการโดยเด็ดขาดเมื่อ 2 ปีก่อน เตี่ยก็ใช้พื้นที่บนชั้นดาดฟ้าของหน้าร้านที่วรจักรนี้ปลูกต้นไม้ เตี่ยเป็นคนปลูกต้นไม้ได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นไม้บอนไซที่มีการจัดฉากสวยงาม 3-4 กระถาง อันเป็นสุดหวงถึงกับเมื่อมีคนมาขอซื้อด้วยราคาสูงลิ่วเท่าไรก็ไม่ปรากฏว่าเตี่ยจะยอมขาย
ต้นชวนชม ดอกไม้สีชมพูสวยสะแต่เต็มไปด้วยพิษสง เตี่ยก็มีอยู่นับเกือบ 10 ต้น แต่ละต้นได้ถูกบังคับเลี้ยงให้ท่วงท่าของลำต้นมีลีลาอ่อนช้อยสวยงาม เคยมีคนมาขอซื้อไปเช่นกัน แต่เตี่ยก็ปฏิเสธ
ที่มีอยู่มากมายที่สุดคือเกือบ 30 ต้น วางเรียงรายเต็มชั้นดาดฟ้านั้นคือไม้ประดับยอดนิยมของชาวจีน-โป๊ยเซียน ซึ่งเตี่ยเพิ่งเล่นไม่นานมานี่เอง แต่ละต้นจึงยังไม่โต และดอกก็มีสีสันที่หลากหลายคละกันไปเกือบจะไม่ซ้ำกัน ต้นโป๊ยเซียนนี้มีคนมาขอซื้อเช่นกัน และก็เหมือนกับทุก ๆ ต้น เตี่ยจะไม่ยอมขาย แต่ถ้าเป็นคนถูกคอกันมากพอ เตี่ยก็ยกให้ฟรี ๆ ไปพร้อมกระถางราคาแพงเลยทีเดียว
อาแหมะจากเตี่ยไปเกือบ 14 ปี ขณะที่ลูกชายคนเล็กยังกระเตาะกระแตะอยู่ เตี่ยกับอาแหมะมีลูกด้วยกัน 12 คน เป็นลูกสาวเรียงมาเลย 4 คนโต และลูกชายต่อคิวเป็นจำนวนถึง 8 คน ลูกสาวคนโตเมื่ออาแหมะเสียชีวิตอายุได้ 34 ปีก็เป็นแม่บ้านดูแลบ้านและเลี้ยงน้องเล็ก ๆ ในขณะที่เตี่ยก็ทำงานและฝึกลูก ๆ ขึ้นมาช่วยกันในการงานตลอดมาโดยไม่ได้แต่งงานใหม่แต่อย่างไร ครอบครัวใหญ่ขนาดนี้เตี่ยไม่เคยพบกับคำว่าเหงาพอ ๆ กับคำว่าสงบ เพราะพอลูกรุ่นเล็กเริ่มโตเกินกว่าที่จะกระจองอแง ลูกรุ่นโตก็แต่งงานออกหลานวัยกระจองอแงออกมาแทนอย่างต่อเนื่องถึงทุกวันนี้ หากจะถามเตี่ย ถึงจะไม่พึงพอใจกับความวุ่นวายที่เด็กเล็ก ๆ อยู่ในบ้าน แต่ก็ไม่ถึงกับรำคาญ
มันคงเป็นความเคยชินเสียมากกว่า เตี่ยรักความเคยชินของชีวิต เมื่อมีการไปซื้อที่หลายไร่ย่านฝั่งธนฯไว้เป็นส่วนผลิต เตี่ยก็ไม่ได้คิดจะย้ายไปอยู่ แม้ว่าลูก ๆ จะสนับสนุนเพราะที่นั่นกว้างขวางกว่า อากาศก็ดีกว่า แต่เตี่ยก็ยังยืนกรานจะอยู่ที่นี่ เพราะนอกจากจะเป็นสถานที่เคยคุ้นแล้ว เกือบทุกวันเตี่ยมักจะมีเพื่อนมานั่งคุย นั่งเล่นหมากรุกจีน หรือบางทีก็จิบน้ำชาร้อน ๆ คุยปรับทุกข์สุขร่วมกัน ถ้าไม่มีเรื่องส่วนตัวมาเล่าสู่กันฟังก็อาจจะวิจารณ์ความเป็นไปของสังคมในเวลานั้น ๆ
เมื่อครู่ใหญ่ ๆ ลูกสาวคนโตก็ได้ขึ้นมาแจ้งว่านายห้างลี้เพิ่งโทรศัพท์มาบอกว่าเดี๋ยวจะแวะมาเล่นหมากรุกจีนด้วย เตี่ยจึงได้สั่งให้ลูกไปซื้อขนมเปี๊ยะมาไว้กินกับน้ำชาซึ่งเตี่ยสั่งให้เตรียมชาจุ้ยเซียงไว้สำหรับสหายคนนี้
ขณะที่เตี่ยกำลังนั่งมองต้นไม้ฝ่าเปลวแดดเปรี้ยงอยู่ เสียงทักทายก่อนการปรากฏตัวก็ดังขึ้น
นายห้างลี้เป็นชายจีนร่างเล็ก อายุ 70 กว่าแต่กิริยายังคงกระฉับกระเฉง แต่งเสื้อเชิ้ตบางสีขาวสอดชายเข้ากางเกงสีเทาดำใส่เข็มขัดเรียบร้อย ผิดกับเตี่ยที่ชอบใส่เพียงเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงสามส่วนก๊วยสีกรมท่า ถ้าอากาศเย็นหน่อยก็จะมีเสื้อแจ๊คเก็ตสีแดงสวมโดยไม่ติดกระดุม นาน ๆ ทีจะเห็นเตี่ยใส่กางเกงขายาว เพราะเตี่ยนั้นจะออกไปข้างนอกน้อยมาก
หลังจากเล่นหมากรุกจีนจบไปเพียง 1 กระดาน นายห้างลี้ก็พูดขึ้นว่า
วันนี้เล่นกระดานเดียวพอแล้ว รู้สึกใจคอไม่ค่อยมีสมาธิ
เตี่ยมองเห็นแต่แรกแล้วว่าวันนี้นายห้างลี้มีเรื่องบางอย่างรบกวนจิตใจอยู่ ทั้งสองคบกันเป็นเพื่อนมาช้านานแล้ว ระยะหลังที่เตี่ยเกษียณตัวเองจากกิจการต่าง ๆ ก็มีการพบปะกับนายห้างลี้โดยสม่ำเสมอประมาณอาทิตย์ละครั้ง การที่นายห้างลี้มาพบในวันนี้ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานเพิ่งมาก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าคงมีปัญหาอะไรบางอย่างที่นายห้างลี้ต้องการปรึกษาใครสักคน
ลูกสาวลื้อที่แต่งงานไปหลายคนนั้น...มีความสุขดีไหม? นายห้างลี้ถามขึ้นก่อนจะออกตัวว่า ที่ถามนี่ไม่ใช่ว่าจะยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวหรอกนะ
มีคนมาขอลูกสาวอีกซิท่า เตี่ยเดายิ้ม ๆ เฮียไม่เห็นต้องถามอะไรอั๊วเลย ลองมองดูสะใภ้ที่เข้ามาอยู่ในบ้านเราก็ได้ พวกเขาก็เป็นลูกสาวบ้านอื่นมาเหมือนกัน
จะเหมือนกันได้อย่างไร คนละบ้านกัน นายห้างลี้เถียง อั๊วมันเป็นคนไม่ก้าวก่ายเรื่องลูกสะใภ้ พวกเขาก็อยู่อย่างสงบพอสมควร ทีนี้ที่ถามลื้อนี่เผื่อจะรู้ว่าคนอื่นเป็นแบบไหนบ้างเท่านั้นเอง
เตี่ยหยิบพัดใบตาลขึ้นโบกช้า ๆ ไม่ใช่ว่าร้อน แต่เวลาใช้ความคิด การทำอะไรสักอย่างเป็นจังหวะจะโคนจะช่วยให้ความคิดแล่นได้ นายห้างลี้มีลูกสาวหลายคน และทุกคนล้วนแต่เคยมีบุรุษมาหมายปองทั้งสิ้น เคยมีการทาบทามขอลูกสาวที่บ้านนี้ไม่ต่ำกว่า 10 หนแน่นอนนับแต่วันที่ลูกสาวคนโตเข้าสู่วันดรุณี แต่นายห้างลี้ไม่เคยนำมาปรึกษาเพื่อน ไม่เคยแม้แต่มาเล่าสู่กันฟัง กระนั้นเตี่ยก็ได้ยินมาจากที่อื่นว่าจวบจนบัดนี้ บ้านของนายห้างลี้ยังไม่เคยต้อนรับขบวนขันหมากเลยแม้สักครั้งเดียว จนเป็นที่พูดกันไปทั่วว่าบ้านนายห้างลี้นั้นหวงลูกสาวไม่แพ้งูจงอางหวงไข่เลยทีเดียว
ลูกผู้หญิงแต่งงานไปมักเสียเปรียบผู้ชาย นายห้างลี้เปรย ตอนที่ได้อุ้มลูกสาวคนแรกในอ้อมแขนนะ ลื้อเชื่อไหม ความรักที่มีต่อลูกแล่นไปทั่วตัวและหัวใจเลย นิ่งได้เฝ้าดูพวกเขาเติบโตขึ้นมา ก็ยิ่งหลงใหล ยิ่งเสน่หา พ่อคนอื่นจะเป็นยังไง อั๊วไม่รู้หรอกนะ สำหรับอั๊ว ลูกชายเป็นความภาคภูมิใจแต่ลูกสาวนั้นเป็นความชื่นใจ
ก็เลยหวง อยากเก็บความชื่นใจไว้กับตัวตลอดชีวิตหรือไง
ไม่ใช่หวงหรอก เป็นห่วงมากกว่า กลัวว่าจะไปตกระกำลำบาก กลัวว่าผัวมันจะไม่รักลูกเราอย่างที่เรารัก
ของมันแหงอยู่แล้วล่ะ ผัวที่ไหนจะรักเมียอย่างพ่อรักลูกสาว เตี่ยแหย่สหายเล่น พ่อแม่น่ะรักลูก ห่วงใยลูกทุกคนแหละ แต่ว่าบางทีคนเป็นพ่อแม่ก็ต้องควบคุมอารมณ์ไว้บ้าง อย่าให้ห่วงเสียจนไม้เอกหายกลายเป็นหวงไป
แล้วมันเสียหายตรงไหนถ้าอั๊วจะหวงลูกสาวอั๊ว
แน่ะ ยอมรับแล้วไหมล่ะ เตี่ยหัวเราะชอบใจ ทำให้นายห้างลี้พลอยเห็นขำไปด้วยที่ตนตกหลุมพรางของเพื่อน เตี่ยชงน้ำชาใหม่ รินใส่ถ้วยชาใบเล็ก ๆ เชื้อเชิญเพื่อนให้จิบพลางยกขึ้นจิบเองถ้วยหนึ่ง
จู่ ๆ แดดก็ร่มลงในทันใด เมฆทะมึนเคลื่อนตัวมาทำให้ท้องฟ้ามืดครึ้มลงอย่างรวดเร็ว ลมก็กรรโชกแรง มองดูคล้ายกับพายุฝนตั้งเค้าจะเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก แต่ในเวลาอันสั้นเหลือเชื่อ ไม่ทันที่ชายชราทั้งสองจะตัดสินใจทำอย่างไร กระแสลมก็เบาลงในขณะที่ก้อนเมฆดำนั้นเคลื่อนผ่านไป ฟ้าก็ค่อยขาวขึ้นจนกลายเป็นเหลืองจ้าแวบตาดังเดิม โดยไม่มีหยาดฝนตกลงมาแม้สักหยด
ลูกสาวคนไหนล่ะคราวนี้ เตี่ยถาม
คนเล็ก
อ้าว..หัวแก้วหัวแหวนนี่ เตี่ยร้องพร้อมกับหัวเราะหึ ๆ อย่างนึกขัน
ลูกทองของแม่เขา นายห้างลี้แก้
เตี่ยชวนนายห้างลี้ลุกขึ้นเดินชมต้นไม้เมื่อแดดได้ร่มลงแล้ว นายห้างลี้เป็นคนชอบศิลปะ ดังนั้นจึงออกจะนิยมบรรดาบอนไซของเตี่ยอยู่ครามครัน แต่ถึงจะมีความสนิทสนมมากเพียงไหนก็ไม่เคยเอ่ยปากขอของรักของเพื่อนแต่อย่างไร ด้วยเกรงว่าเอาไปปลูกดูแลเองถ้าไม่มีเวลาก็อาจจะเฉาตายให้เป็นที่เสียดายประการหนึ่ง เกรงว่าเตี่ยอาจจะปฏิเสธให้เสียความรู้สึกอีกประการหนึ่ง
การเลี้ยงให้ต้นไม้ใหญ่มากลายเป็นต้นไม้แคระแต่คงสภาพให้ดูเหมือนของดั้งเดิมต้นฉบับ หรือพูดง่าย ๆ ว่าจำลองภาพของจริงของป่ามาสู่กระถางขนาดไม่เกิน 2-3 ฟุต นั้นไม่ใช่เรื่องยากก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่เรื่องของการปอกกล้วยเข้าปาก นอกจากความรู้ความเชี่ยวชาญแล้ว ต้องอาศัยการเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ และความอดทนสูงพอสมควร ถ้าเป็นคนใจร้อนล่ะก็ลืมได้เลยกับการเลี้ยงบอนไซ โดยเฉพาะเตี่ยปลูกบอนไซแบบสร้างตำนานในแต่ละกระถาง ไม่ใช่มีเพียงต้นไม้แคระเท่านั้น แต่จะมีการจัดฉากตามแต่จินตนาการจะพาไป และเจ้าต้นไม้แคระจะให้ความร่วมมือ
เตี่ยหยิบกรรไกรมาตัดแต่งต้นหนึ่งที่เห็นว่าบางส่วนได้โผล่แหร็มออกมาตามธรรมชาติของการเติบโต หากแต่ถ้าปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ มันก็คงไม่สวยดังใจของเจ้าของ มือทำไป ปากก็ชวนคุยไป
ใครล่ะ ว่าที่ลูกเขย
จะเรียกว่าที่ได้อย่างไร ยังไม่ได้ตกลงยกให้ซะหน่อย นายห้างลี้อดแก้ไม่ได้ ไอ้หนุ่มนี่มันเป็นเพื่อนสมัยเรียนหนังสือ
เตี่ยหันมามองหน้านายห้างลี้พร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก
ดูท่าทางลื้อจะไม่ค่อยยอมรับเขาสักเท่าไรนะ
ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า เขาก็เป็นคนดี แต่อั๊วว่าลูกเรายังไม่รู้จักผู้ชายมากพอที่จะตกลงใจร่วมชีวิตด้วย นายห้างลี้ถอนใจเฮือกใหญ่ เด็กสมัยนี้มันทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ให้เป็นเรื่องเล็กขนาดจูงมือไปซื้อยาสีฟันได้
อายุเท่าไรแล้วอาหมวยน่ะ
31
ตอนเราอายุขนาดนี้ก็มีลูกเกือบครึ่งโหลกันแล้วนะ เตี่ยตบบ่าเพื่อนเบา ๆ เชิงหยอกล้อ มีรอยขันกระจายทั่วตาคู่ฝ้าฟาง อั๊วว่าลูกสาวลื้อคงจะคิดรอบคอบน่า เพราะอายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แถมความรู้ก็สูง คงจะศึกษาฝ่ายชายดีพอหรอก
ศึกษาอะไร ถามกี่ข้อ ๆ บอกอยู่อย่างเดียว หนูไม่รู้ ๆ อั๊วอยากจะคลั่งตายนัก นายห้างลี้ทำท่าฮึดฮัด ช่างไม่รู้เลยหรือว่าพ่อเป็นห่วง พ่อรักขนาดไหน กับเรื่องสำคัญของชีวิตยังมาทำเป็นเรื่องเล่น
เอ้า ใจเย็นหน่อยเถอะ อั๊วว่าที่ลูกเขาบอกไม่รู้นี่อาจจะแปลได้ว่าไม่บอกก็ได้นี่นา เฮียลี้..ลูกสาวลื้อนะที่จะแต่งงาน ไม่ใช่ตัวลื้อ ถ้าลูกเขาพอใจ ลื้อก็น่าจะยินดีสนับสนุน ภาษิตไทยเขาว่าปลูกเรือนตามใจผู้อยู่จะปลูกอู่ก็ต้องตามใจผู้นอน ไม่ใช่ตามใจคนปลูก เพราะจะสุขจะสบายก็ต้องอยู่ที่ผู้อยู่ผู้นอนถูกใจมากน้อยแค่ไหน เตียงตัวนี้ลื้ออาจจะเห็นว่ามันนิ่มเกินไป นอนแล้วจะปวดหลัง แต่คนนอนเขาอาจจะชอบนิ่ม ๆ ถ้าเขานอนแล้วหลับฝันดีได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นจะไปกลัวว่าเขาจะตื่นขึ้นมาแล้วปวดหลัง
แต่อั๊วกลัวลูกจะไปตกระกำลำบาก
พ่อแม่รักลูกได้ ปกป้องลูกได้ก็ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นแหละ เราอายุกันปูนนี้แล้ว อีกไม่นานก็ต้องกลับบ้านเก่า หรือว่าลื้อจะหอบลูกกลับบ้านเก่าด้วย
พูดบ้า ๆ นายห้างลี้บ่นฮึมฮัม
เตียหัวเราะ
อั๊วรู้ นายห้างลี้พูดอย่างครุ่นคิด รู้ยิ่งกว่ารู้อีกว่าวัฏจักรวงจรชีวิตนั้นมีสุขกับทุกข์เป็นเครื่องปรุงแต่ง แต่คงจะเป็นเพราะความรักที่มีต่อลูกมั้ง ยังไงก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นลูกเป็นทุกข์
ไม่คิดบ้างหรือว่าถ้าไม่ให้แต่ง ลูกก็อาจจะเสียใจ
รอยหม่นระคนคลางแคลงปรากฏขึ้นบนสีหน้าของนายห้างลี้ เตี่ยลอบส่ายหน้า ตัวเตี่ยเองก็เป็นคนรักลูก แต่เห็นจะไม่ถึงครึ่งของสหายคนนี้
อย่าด่วนตีตนไปก่อนไข้เลย เตี่ยปลอบ ฟ้ามืดบางครั้งก็ไม่ได้แปลว่าพายุฝนจะกระหน่ำเสียเมื่อไรกัน
นายห้างลี้มองไกลออกไป ตอนนี้ท้องฟ้ากำลังอยู่ในสภาพสบายสายตาที่สุด เมฆดำลอยอยู่ไกลลิบ..มันผ่านไปแล้ส คงไม่ย้อนกลับมาอีก แต่พายุลูกใหม่อาจจะกำลังก่อตัวอยู่เงียบ ๆ ที่ไหนสักแห่ง สายตาผู้เฒ่ากลับมามองสิ่งใกล้ตัว เพื่อนรักเดินทอดน่องชมต้นไม้ของตนอย่างสบายอารมณ์ เห็นใบไม้ไหนเหลืองก็จัดการปลิดเด็ดออกจากต้น เห็นหนอนกินใบไม้ก็คีบทิ้งไป ไม่ต่างจากความเป็นพ่อของนายห้างลี้เลยสักนิด..
สองมือของพ่อได้ทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูลูก ๆ สองมือเดียวกันนี้ได้โอบอุ้มคุ้มครองลูก ๆ ให้รู้สึกอบอุ่นปลอดภัย และสองมือที่ทำหน้าที่ล้อมกันลูกไม่ให้ออกไปจากปราการความรักของพ่อ..เพราะเชื่อมั่นว่าไม่มีที่ใดที่จะดีไปกว่านี้อีกแล้ว
ต้นไม้มีชีวิต คนก็มีชีวิต
คนมีจิตใจ แต่ต้นไม้ไม่มี
เฮ้อ...นายห้างลี้ถอนหายใจ คงจะถึงเวลาแล้วใช่ไหมที่ต้นท้อในสวนพ่อจะไปออกดอกเบ่งบานให้บ้านอื่นได้ชื่นใจบ้าง
จะเป็นไรไปล่ะเพื่อนรัก...ยังไงก็ยังเหลือดอกท้ออยู่หลายกระถางไม่ใช่หรือ?
สายตาสองคู่ประสานกัน แล้วต่อมาเสียงหัวเราะดังลั่นก็ได้ยินไปทั่วสวนของเตี่ย
ไป เราไปเล่นหมากรุกกันอีกสักหลายกระดานเถอะ

ท้องฟ้ามืดแล้ว แต่ใต้ซุ้มการเวกยังมีชายชราสองคนนั่งเล่นหมากรุกจีนภายใต้แสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุ เตี่ยโบกพัดไปมาไล่ยุงขณะที่ดวงตาจดจ่อความสนใจไปยังกระดานตรงหน้า เวลาอยู่กับเพื่อนเช่นนี้เป็นสิ่งที่เตี่ยรับรู้มาตลอดชีวิตหลายสิบปีว่ามีค่า จะเอาอะไรมาแลกเตี่ยเป็นไม่ยอม

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

นั่งรถไฟไปนคร

ช่างสะออนในหัวใจ
เหตุการณ์บางอย่าง แม้ว่าจะผ่านไปนานแสนนาน ความที่มันทำให้หัวใจสะออน เลยจำได้แม่น ตอนนี้ต้องมีคนถามก่อนเลยว่า สะออน มันแปลว่าอะไร  ไปถามอัสนี-วสันต์ค่ะ ได้คำตอบแล้วมาบอกด้วยนะคะ 5555555 เอ้า ถ้าฉันไม่รู้ความหมายแล้วเอามาเขียนได้ไง ก็แบบว่าคำมันเท่ห์ดี เปล่าหรอกค่ะ ฉันเข้าใจความหมาย แต่ไม่รู้จะอธิบายยังไงนอกจากจะบอกว่า มันสะออนน่ะ เข้าใจไหมว่ามันสะออน 555555
ครูภิญโญ เคยเป็นชื่อที่ฉันรู้สึกเกรงขาม เกรงใจ เกรงกลัว...บอกได้เลยว่าตอนเป็นนักเรียนวัฒนา ไม่เคย รักครูภิญโญสักนิด ไม่เคยอยากใกล้ชิดแม้แต่นิดเดียวจริง ๆ ค่ะ  เพราะอะไร...เชื่อว่าหลาย ๆ คนเข้าใจ แล้วไฉนจึงกลับเป็นว่าฉันรักครูภิญโญไปได้?  ไม่เพียงแต่รัก แต่ยังเคารพในจิตวิญญาณความเป็นครูอย่างเหลือล้น เพราะพอได้ปีนข้ามกำแพงมารู้จักตัวตนครูจริง ๆ  ใครที่ได้ทำอย่างฉันคงเข้าใจ
ตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ ครูภิญโญ ครูเพ็ญเพ็ชร ครูไพจิตร เป็นเสมือน 3 แม่เสือแห่งโรงเรียนวัฒนา แต่ละคนมีความดุไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย แต่ผู้ที่ดุสุดคือครูภิญโญ ฉันจำได้ว่าสมัยเด็ก ๆ เวลาเดินไปไหน ๆ ถ้าเห็นครูภิญโญเดินมาตามโรงเตี๊ยม และมีเวลาหลบทัน ฉันจะเลี่ยงไปทันที เวลามีเพื่อนมาตามว่า นพพร ครูภิญโญเรียก ก็จะถามตัวเองไปตลอดทางว่า วันนี้เราทำไรผิดหว่า? ไม่เค้ย ไม่เคยปลอดโปร่งใจเวลาโดนครูภิญโญเรียกหา จริง ๆ ค่ะ
พอวันนี้มานึกย้อนไป ในชีวิตความเป็นนักเรียนวัฒนา ฉันยังไม่เคยโดนครูภิญโญทำโทษเลยแม้แต่ครั้งเดียว แล้วทำไมถึงได้กลัวครูนักหนา?  อาจจะเพราะตัวครูสูงใหญ่ ใส่เสื้อผ้าแบบเดียวเป็น pattern เท่าที่จำได้มีครูผินกับครูประพิธด้วยที่แต่งตัวเหมือน ๆ กันแทบทุกวัน แต่ pattern ของครูภิญโญดูน่ากลัว 55555555 ทั้ง ๆ ที่ก็เสื้อขาวเรียบ ๆ กับกระโปรงไม่มีกลีบสีดำ-น้ำตาล-กรมท่าเท่านั้นเอง แต่คงเป็นเพราะบุคลิกกับใบหน้าที่มักจะถมึงขึงขัง เวลาครูภิญโญจ้องมองใคร บางทีเราก็ไม่แน่ใจ เพราะลูกตาข้างหนึ่งมองเรา อีกข้างมองไปทางอื่น เลยเดาใจครูยาก
ตอนที่จบออกจากโรงเรียน ฉันมักจะกลับเข้าไปเดินเล่น ไปสวัสดีครูเก่า ๆ ด้วยความรักและคิดถึง แต่ไม่เคยคิดจะเข้าไปหาครูภิญโญเลยสักครั้ง
จำได้ดีว่าวันหนึ่ง ครูเสริมศรีบอกฉันว่า นพพร วันนี้มีแกงคั่วสับปะรด ไปกินไหม  ไปค่ะ ๆ ตอบอย่างลัลล้ามาก เพราะชอบแกงคั่วสับปะรดสุด ๆ นึกว่าครูเสริมศรีเป็นครูเวรกินข้าว คงพาฉันไปนั่งกินที่โต๊ะนักเรียน แต่มันยังไม่ 5 โมงนิ ครูจะจูงฉันไปไหนเนี่ยะ ทันใดนั้น ฉันก็เห็นครูผู้ใหญ่ครบทีมนั่งในห้องอาหาร อารมณ์ตอนนั้นขนลุกชัน 555555 หยุดเดินทันที ครูฮ้า...หนูไม่กินแล้วฮ่ะ มือครูเสริมศรีจับแน่นที่ข้อมือฉันยังกับผู้คุมจับนักโทษ ทำไมล่ะ เข้ามากินเถอะ และแล้วครูทั้งหมดในห้องอาหารก็หันมามองนอกห้อง สมัยก่อนมีมุ้งลวดค่ะ ถึงภาพจะไม่ชัดแต่ก็สัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิต 55555 เป็นใคร ๆ จะเข้าไปได้อย่างสบายใจมั่ง? ในเมื่อโต๊ะที่ว่ามีครูประพิธ ครูภิญโญ ครูเพ็ญเพ็ชร เป็นอาทิ เรียกว่ารวบรวมระดับหัวกระทิดุ ๆ ของวัฒนาอ่ะ หนูไม่กินจริง ๆ นะครูอ่ะ อยากร้องไห้ 555555 ไม่น่าตะกละแต่ต้นเล้ยพับเผื่อย แต่ด้วยรังสีที่ผ่านทะลุมุ้งลวดมา..มันทำให้ขาอ่อน ไร้แรงต้านทาน ในที่สุดครูเสริมศรีก็ลากฉันเข้าไปในห้องอาหารครูจนได้   ปกติห้องอาหารครูก็เป็นพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่นักเรียนไม่ได้เข้ามาเหยียบกันอยู่แล้ว นี่ยังมานั่งกินข้าวอีก? 55555 หัวเราะเสียงสั่น ๆ ค่ะ บรรยากาศตอนนั้นน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ นะคะ ฉันยังจำความรู้สีกได้ดีถึงเดี๋ยวนี้เลย หัวใจเต้นแรงมาก ๆ ความดันขึ้นจนปวดหัวตึ้บ ตอนนั้นยั๊วะครูเสริมศรีหน่อย ๆ 555555 เหงื่อก็ออกตามมือ พอเดินเข้าห้องอาหารก็ก้มหน้างุดเลย ไม่พูดอะไร ไม่ได้ไปไหว้สวัสดีครู ๆ ด้วยซ้ำไป กลัวขนาดนี้แหละค่ะคิดดู
แต่ครูเสริมศรีก็ทำเหมือนไม่รู้อะไร ตักข้าวให้แล้วก็อธิษฐานก่อนกินข้าว ระหว่างนั้นฉันนั่งใจสั่น จำไม่ได้ว่ามองอะไรรู้แต่ว่าไม่ได้มองไปทิศนั้นละกัน พอครูเสริมศรีขอบคุณพระเจ้าเสร็จก็ชวนให้ฉันกิน ฉันก็ได้แต่งึมงำ ๆ บ่นว่า ครูอ่ะ ๆ อยู่เบา ๆ เพราะในโต๊ะก็มีครูอื่น ๆ อีก และโต๊ะครูผู้ใหญ่แม้จะอยู่ในสุดติดกำแพงห้อง แต่ก็ไม่ไกลเท่าไร รังสีพุ่งมากระทบเปรี๊ยะ ๆ เป็นระยะ ๆ 555555 ครูโต๊ะอื่น ๆ ก็มองมาเหมือนกันแต่ไม่มีใครพูดอะไร หรือจะพูดก็ไม่รู้ โดนรังสีจนหูดับไปแล้ว 555555 อย่าว่าแต่หู ตาก็พร่ามัวไปหมด แต่จมูกยังดี อยากกินแกงจัง.....แต่จะกลืนลงไหมเนี่ยะ 5555555
หลังจากที่ฉันเข้าไป ไม่น่าจะเกิน 5 นาที ครูผู้ใหญ่ก็พร้อมใจกันลุกแล้วเดินออกไปเงียบ ๆ นพพรนั่งใจสั่นตัวสั่นอยู่ที่โต๊ะนั่นแหละ พอครูผู้ใหญ่เดินออกไปหมดแล้ว ครูเสริมศรีก็แซวฉันแบบหัวเราะ ๆ ว่า ไปหมดแล้ว ทีนี้กินได้แล้วนะจ๊ะ ครูอ่ะ ฉันตัดพ้อครูเสียงดังขึ้น แต่ก็กินอย่างมีความสุข อา...แกงคั่วที่คิดถึง 5555555
นั่นคือครั้งแรกที่ฉันรู้ว่าครูเหล่านั้นไม่ได้ดุร้ายอย่างที่คิด จริง ๆ แล้วครูออกจะมีเมตตาสูงด้วยซ้ำไป เพราะรู้ว่าฉันกลัวจนอึดอัดแทบหายใจไม่ออก เลยออกจากห้องอาหารไป ทั้ง ๆ ที่อาจจะยังไม่อิ่มกันเท่าไรก็ได้ มานึก ๆ ดู ฉันนี่แย่ชะมัด ไม่ไปสวัสดีครูแล้วยังทำให้ครูกินไม่เต็มที่ในมื้อนั้นอีก หากครูสามารถรับรู้ได้ในญาณวิถีใด ๆ ขอได้รับความขอบคุณอย่างเต็มตื้นจากหนูด้วยนะคะ
บุคคลแรกที่ทำให้ฉันอยากใกล้ชิดครูภิญโญ คือครูชัชว์ค่ะ ครูชัชว์บอกว่าครูภิญโญรักฉันมาก ...ครั้งแรกที่ได้ยิน จำได้ว่าเหวอเลยค่ะ แต่ครูชัชว์ก็เล่าให้ฟังว่าครูภิญโญสนิทกับครูจินตา และครูชัชว์ มักจะพูดถึงฉันให้ครูชัชว์ฟัง แต่ฉันก็ไม่ได้ถามครูชัชว์ว่าครูภิญโญพูดถึงฉันว่ายังไง ในหัวมันมึนงงค่ะว่าฉันไปทำอะไรให้ครูภิญโญรัก? 5555555 แต่ก็นะ เป็นความรู้สึกที่อบอุ่นดีค่ะ  ทำให้นึกได้ว่าเพื่อนเคยเล่าว่าตอนที่ฉันไปเมกาแล้วเขียนจดหมายมาถึงคณาจารย์โรงเรียนวัฒนาฯ นั้น ครูภิญโญเอาจดหมายฉันไปอ่านในโบสถ์ แล้วพูดชื่นชมฉัน แต่ฉันก็ยังไม่มีความคิดที่จะเข้าไปคุยกับครู หรือเขียนจดหมายถึงครูโดยตรง  บอกแล้วไงคะว่ามีกำแพงที่สูงและหนาเตอะระหว่างครูภิญโญและฉัน
แต่พอครูชัชว์พูดหลายครั้งว่าครูภิญโญรักฉัน ของงี้มันต้องพิสูจน์ 55555 ตอนนั้นครูภิญโญกลับไปอยู่นครแล้ว แต่ครูเพ็ญเพ็ชรยังอยู่ฉันจึงไปขอที่อยู่มา แล้วก็เขียนจดหมายไปถึงครู จำไม่ได้ว่าเขียนอะไรไป แต่ครูภิญโญตอบจดหมายมาค่ะ เสียดายที่จดหมายเหล่านั้นฉันเก็บไว้ แต่ย้ายที่อยู่บ่อยเกินไปทำให้สาบสูญไป เสียดายจริง ๆ ค่ะ ตอนนี้กำแพงนั้นก็บางและเตี้ยลงหน่อยแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่คิดจะข้ามอยู่ดี จนวันหนึ่งฉันไปเที่ยววัฒนาเช่นเคย ไม่รู้มีใครมาบอกฉันให้ไปหาครูภิญโญที่ตึก 5  และจากครั้งนั้นเอง กำแพงเบอร์ลินก็ถูกทำลายลง ฉันได้เห็นครูยิ้มแย้มทักทาย มีบุคลิกที่เข้าถึงได้ เหตุการณ์ผ่านมา 30 ปี ฉันจำไม่ได้ว่าคุยอะไรกับครูบ้าง จำได้แต่ว่าฉันบอกตัวเองว่า...ครูภิญโญไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย ตรงข้ามเป็นครูที่ใจดีมาก ๆ ด้วย
ตั้งแต่นั้นมา ถ้าฉันไปวัฒนา ถัดจากครูผิน ครูวรรณดี ...ครูภิญโญจะเป็นบุคคลที่ฉันถามหาว่ามาจากนครหรือเปล่า? ถ้าครูมาฉันจะต้องขึ้นไปนั่งคุยกับครูตลอด จนกระทั่งมาถึงช่วงที่ครูไม่ขึ้นกรุงเทพอีกเลย  ฉันก็เริ่มคิดแล้วว่าสักวัน...ฉันจะไปหาครูที่นครให้ได้ 
แล้ววันนั้นก็มาถึง ฉันรู้จักเพื่อนใหม่ เขาเป็นคนพัทลุง ปีหนึ่งเขาก็ชวนฉันไปเที่ยวบ้านเขาที่พัทลุง สิ่งแรกที่ฉันเรียกร้องก็คือเขาต้องพาฉันไปหาครูภิญโญที่นคร  และต้องตามหาบ้านให้เจอด้วย เขาบอกว่าสบายมาก เพราะเขาเคยเป็นนักเรียนที่นครมาก่อน รู้จักนครทะลุปรุโปร่ง
วันนั้นเจอครูเพ็ญเพ็ชรด้วย เป็นครั้งสุดท้ายที่เจอ..เพราะจากนั้นไม่นาน ครูเพ็ญเพ็ชรก็ไปอยู่กับพระเจ้าค่ะ ครูภิญโญพาไปกินขนมจีน และสอนให้กินแบบคนใต้คือใส่น้ำยา น้ำพริกและหลายๆ  อย่างรวมกัน อีตอนแรกฉันแอบแหยะมาก หนูไม่ใช่พระนะคะครู จะได้กินแบบนั้น แต่แบบว่ายังเกรง ๆ กลัว ๆ ครูอยู่ ครูบอกให้ทำอะไรก็ต้องทำ 555555 แต่ว่ามันอร่อยจริง ๆ ค่ะ ตั้งแต่นั้นมาฉันก็มักจะอ้อนครูว่าคิดถึงขนมจีนปักษ์ใต้ประจำ
นี่คือที่มา....ที่ยาวเหยียดกว่าจะเข้าเรื่อง 55555 ยังไม่ได้เข้าเรื่องอีกเหรอ?  ยังค่ะ 55555555 พอฉันกลับจากนคร ฉันก็ไปเล่าให้ครูจินตาฟัง ให้ปีหนึ่ง...ครูจินตาก็บอกฉันว่า นพพร พาครูไปเยี่ยมครูภิญโญหน่อยซิ ตึ่ง...โป๊ะ...55555555 มึนเลยค่ะแว้บแรกที่ได้ยิน ไม่ใช่แค่ครูจินตาคนเดียว ยังมีครูชัชว์อีกคน แม้ว่าจะกังวล แต่ฉันก็สนุกไปกับการวางแผนไปนครของครู ๆ  เริ่มแรกครูจินตาบอกให้จองโรงแรม เอาที่ใกล้ ๆ บ้านครูภิญโญ แล้วฉันจะรู้ไหมว่าโรงแรมไหนใกล้ เลยต้องโทรไปถามครูภิญโญ ครูภิญโญบอกให้มาค้างที่บ้านครู มีห้องเหลือ 1 ห้อง คือห้องครูเพ็ญเพ็ชร ตอนนั้นครูเพ็ญเพ็ชรเสียไปแล้วค่ะ ฟังว่าต้องไปนอนห้องครูเพ็ญเพ็ชร หัวใจฉันมันก็แสนจะสะออน 55555 เรื่องที่พักจบไป ก็มีเรื่องการเดินทางมาอีก  จะเดินทางไปอย่างไรดี? ถ้าบินไป ก็จะลำบากว่าจะไปบ้านครูยังไง เลยตัดสินใจว่าไม่บิน เมื่อไม่บินก็เหลือรถทัวร์ กับรถไฟ  มาสรุปที่รถไฟแบบตู้นอน น่าจะเป็นการเดินทางที่ปลอดภัยและสะดวกสบายที่สุดแล้ว ตอนนั้นครู ๆ ก็น่าจะ 75 อั๊พกันแล้วค่ะ แถมครูจินตามีปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่ายอีก ส่วนครูชัชว์ก็เข่าไม่ค่อยดี โอ้วววว แล้วฉันจะดูแลไหวไหมเนี่ยะ 5555555
แต่นั่นกลับเป็นอีกครั้งที่ฉันตระหนักในความเมตตาของครูทุกท่าน เนื่องจากครูเห็นฉันมาตั้งแต่เด็ก ครูจึงรู้จักและเข้าใจฉันมากกว่าที่ฉันคิดนัก ครูชัชว์กับครูจินตานอนชั้นล่างฉันนอนชั้นบน สิ่งเดียวที่ฉันเป็นห่วงคือการเดินไปห้องน้ำ แม้ว่าจะมีที่ให้เกาะจับตลอดทาง แต่ฉันก็ไม่อาจวางใจได้ เนื่องจากก่อนที่จะออกจากบ้าน ลูก ๆ ครูทั้งสองบ้านต่างฝากฝังคุณแม่ไว้กับฉัน ถ้าเกิดอะไรขึ้น ฉันรับเละแน่นอน 
แล้วไอ้ตัวฉันก็แข็งแรงเดินดีเหลือเกินนะ 555555 แต่จริง ๆแล้วการดูแลครูจินตากับครูชัชว์กลับไม่มีเรื่องน่าเป็นห่วงอย่างที่คิดเลย เรียกว่าฉันวิตกจริตไปเอง ครูทั้งสองมีความพร้อมในการเดินทางครั้งนั้นเป็นอย่างดี  พอเขาปูเตียงเรียบร้อย ก่อนจะเข้านอน ฉันก็บอกครูว่าถ้าจะเข้าห้องน้ำต้องเรียกฉันทุกครั้ง จะถี่ หรือดึกแค่ไหนก็ห้ามเกรงใจเด็ดขาด ครูก็รับปาก แต่ดูจากสายตาครูแล้ว ...สรุปนพพรไม่ต้องนอน 555555 เพราะต้องคอยแอบดูว่าครูจะลุกไปห้องน้ำตอนไหน แต่เหตุการณ์บนรถไฟก็ผ่านไปด้วยดี ทั้งขาไปและขากลับ
เราไปถึงนครตอนสาย ๆ น่าจะประมาณ 10 โมงถ้าจำไม่ผิด ครูไพจิตรมารอรับพร้อมน้องชายครูที่ขับรถมาค่ะ ไปถึงบ้านครู ฉันตื่นเต้นมาก เพราะไม่เคยขึ้นชั้นสองมาก่อน 555555 ครูมีความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายและสมถะมาก ๆ ค่ะ ลักษณะบ้านเป็นเหมือนทาวน์เฮ้าส์พอขึ้นไปก็มีห้อง 3 ห้องเรียงแถวไป หน้าห้องก็เป็นที่นั่งเล่น ลักษณะยาวๆ เรียบๆ คล้ายห้องที่ตึกห้าแหละค่ะ เมื่อขึ้นไปถึง ก็เจอโต๊ะกินข้าวที่เรียงรายไปด้วยขนมจีนและน้ำยาไม่ต่ำกว่า 7 ชนิด จำนวนที่เห็นนี่รับแขกได้สิบกว่าคนสบาย ๆ ค่ะ แต่ครูภิญโญจัดเพื่อต้อนรับเรา 3 คน
โหย ทำไมเยอะแยะนักล่ะ ครูจินตายังพูดแบบนี้เลย
นพพรเขาชอบร้านนี้ ครูภิญโญตอบ เดี๋ยวนี้ฉันมันออกไปข้างนอกไม่ไหวแล้วเลยให้ราศีไปซื้อมาเมื่อเช้านี้
ดูเอาเถอะ ครูยังจำได้เสมอว่าฉันชอบ แต่ว่ามันเยอะไปหรือเปล่านั่น????
มากันแค่ 3 คน จัดรับซะอย่างกับมา 20 คน ครูจินตาบ่น คงจะเสียดายของมั้งคะ เพราะยังไงก็กินไม่หมดหรอกค่ะ แบบว่าเยอะจริง ๆ
แล้ววัฒนาทุกรุ่น...พอเจอกันก็เม้าท์แตกกระจายจริง ๆ ฉันไม่เคยเห็นครูภิญโญพูดมาก...ไม่ใช่แล้ว เรื่องพูดมากนี่เห็นบ่อย ๆ แต่ไม่เคยเห็นครูคุยเล่นมาก่อน ประทับใจมากค่ะ ครู ๆ 4 ท่าน ครูภิญโญ ครูจินตา ครูไพจิตร ครูชัชว์ คุยกันสารพัดสารพันเรื่อง แถมบางทีใช้ภาษาปักษ์ใต้  ไอ้ฉันก็...ปกติใช้ภาษาไทยแล้วมาเม้าท์แตกต่อหน้าฉันก็ฟังไม่ทันอยู่แล้ว มาเจอภาษาต่างถิ่นเข้าก็นั่งบื้อไปเท่านั้น แต่ไม่เบื่อเลยค่ะ ได้เห็นครู ๆ ยิ้มแย้ม หัวเราะเฮฮากัน ความสุขก็เต็มตื้นหัวใจแล้วค่ะ ตามเคย นพพรถ่ายรูปแหลก ครูก็คุยไป นพพรก็ถ่ายรูปไป ถ่ายครูภิญโญเยอะสุด เพราะอยู่ไกล นาน ๆ จะมาหา ทุกทีที่มาก็ไม่เคยมีกล้องมา ครั้งนี้จึงถ่ายจนครูถามดุ ๆ ว่า เธอจะถ่ายรูปฉันเยอะไปหรือเปล่า? แต่ตอนนี้ฉันไม่กลัวครูแล้วค่ะ เลยยิ้ม ๆ แล้วกดแชตเตอร์ต่อไป จนเช้าอีกวัน ครูก็เรียกฉันมา แล้วถอดแว่นตาออก นพพร ถ่ายรูปฉันรูปนี้ แล้วพอได้แล้วนะ 55555  ที่จริง...กล้องสมัยก่อนเป็นกล้องฟิล์ม ฉันทำได้แค่ถ่ายจนหมดฟิล์ม 1 ม้วนเท่านั้น เพราะฉันถอดและใส่ฟิล์มไม่เป็น ต้องเอาไปให้ที่ร้านทำให้ ก็เลยถ่ายมาได้แค่ 36 รูป แต่ก็เป็น 36 รูปที่มีค่ามาก ส่วนภาพที่เหลือต้องเก็บไว้ในเมโมรี่สติ๊กของสมอง ทุกวันนี้ ขณะที่เขียนก็ยังจดจำภาพระเบียงหน้าห้องที่ครู ๆ 4 ท่านนั่งคุยกันหัวเราะกันได้ดี ฉันคงเสียดายแย่ถ้าไม่ได้พาครูจินตากับครูชัชว์ไปนครตอนนั้น เพราะดูเหมือนจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ท่านทั้ง 4 ได้พบกัน ในเวลาต่อมาไม่นานเท่าไร ครูไพจิตรก็จากไป  และครูภิญโญ ครูจินตาก็ตามไปในเวลาไม่กี่ปีถัดมา... แม้ว่าครู ๆ จะจากไป และฉันไม่สามารถจะไปหาครูทุกครั้งที่คิดถึงอีกแล้วก็ตาม แต่ความทรงจำเหล่านั้นยังอยู่ดี  เสียงหัวเราะ ใบหน้ากระจ่างสว่างไสวของครู ๆ ตอนเม้าท์กระจายยังคงตราตรึง และคงจะอยู่ไปอีกนาน....
พอกลับมาได้ไม่กี่วันก็สิ้นปี ครูภิญโญส่งพัสดุมาที่บ้านฉัน เป็นฟรุ้ตเค้กแสนอร่อย 3 ก้อน ให้ฉันนำไปฝากครูจินตาและครูชัชว์ด้วย หลังจากที่ฉันไปนครครั้งนั้น ครูก็เริ่มมีอาการหลงมากขึ้น หูก็ตึงจนแซงหน้าฉันไป ฉันโทรไปหาครูบ้าง เขียนจดหมายไปคุยบ้าง แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งครูโทรมาหาฉัน เพื่อจะบอกว่านิยายที่ฉันส่งไปให้อ่าน ครูอ่านไม่รู้เรื่อง 555555 ทำเอาใจเสียเลยครูอ่ะ แต่ก็เป็นนิยายที่ได้รับรางวัลคครั้งแรกและครั้งเดียวค่ะ
ครั้งสุดท้ายที่ฉันโทรไปหาครู เป็นอะไรที่ขำมากค่ะ ประมาณว่า
ครูจะบอกว่า อะไรนะนพพร
 ครูสบายดีหรือเปล่าคะ
 นพพรว่าอะไรนะฉันไม่ค่อยได้ยินแล้ว
ฉันตะโกนดัง ๆ ครูสบายดีหรือเปล่าคะ
 หนูอย่าโทรมาบ่อยนะ เปลืองสตังค์
 ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่ได้โทรบ่อยนี่คะ
นพพรว่าอะไรนะ
หนูคิดถึงครูค่ะ ครูรักษาสุขภาพด้วยนะคะ
  อะไรนะ
งั้นแค่นี้นะคะ
ว่าไงนะ
ฉันเน้นช้า ๆ ดัง ๆ ชัด ๆ แค่-นี้-นะ-คะ สวัสดีค่ะ
ว่าไงนะนพพร
ขอหนูคุยกับครูราศีได้ป่ะคะ
อะไรนะ
ครูราศีอยู่ไหมคะ ขอหนูคุยด้วยหน่อยค่ะ
อะไรนะหนู
แค่ก ๆ เริ่มเจ็บคอ 5555 งั้นหนูคุยแค่นี้ก่อนนะคะ
อะไรนะ หนูพูดดัง ๆ หน่อย ครูไม่ได้ยิน
55555555 จะได้วางสายไหมเนี่ยะ
สรุปว่าคุยแบบนี้อยู่อีก 10 นาทีได้ฉันตัดสินใจวางสายไป ขอโทษนะคะครู แบบว่าหนูไม่รู้จะทำฉันใดจริง ๆ โปรดอภัยให้หนูที่เสียมรรยาทอย่างแรงด้วยนะคะ
ค่ะ นี่เป็นเพียงเรื่องราวสนุก ๆ ส่วนหนึ่ง  ที่ฉันอยากเล่าเพื่อสะท้อนให้เพื่อน ๆ และพี่ ๆ เห็นครูในอีกภาคหนึ่ง ที่เพื่อนฉันที่พัทลุงผู้ไม่เคยรู้จักครูภิญโญมาก่อน ออกปากกับฉันว่า ครูพี่อ่องใจดีจัง 55555555 เขาจะนึกภาพครูที่เฮี้ยบจัดชนิดเป็นที่สุดแห่งความดุในบรรดาครูทั้งหลาย (ในยุคของฉัน) ออกไหมน้อ?   เฉกเช่นเดียวกันกับเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้เจอครูอีกเลย ก็คงนึกภาพครูในคราบของครูที่ใจดี มีเมตตาไม่ออกเช่นกันใช่ไหมคะ
บทความนี้ออกจะยาวเวิ่นเว้อไปหน่อย เพราะฉันเริ่มแก่ตัวก็เลยพูดมาก 5555555 แต่จุดประสงค์คือเพื่อบันทึกความจำของตัวเองไว้อ่านเองในภายหน้าด้วยค่ะ  มีหลายอย่างที่เริ่มจะจำไม่ได้  บางเรื่องราว คงไม่เป็นไรถ้าจะลืม แต่บางเรื่องราว ฉันคงเสียดายแย่ถ้าเกิดลืมเลือนไป  จริง ๆ แล้วครูภิญโญก็สอนให้ฉันรู้ว่า คนเรามองกันที่ภาพไม่ได้ บางครั้งอาจจะมีอะไรที่บดบังตัวตนจริง ๆ ของเขาซ่อนอยู่ จงให้โอกาสตัวเองในการทำความรู้จักคน ๆ นั้นอย่างถ่องแท้ อย่าแค่มองแล้วคิดไปเองว่าเขาจะเป็นยังไง เพราะบางครั้งเขาอาจจะมีสาเหตุ หรือความจำเป็นที่จะต้องแสดงออกเช่นนั้นก็ได้ จริง ๆ แล้วมนุษย์ทุกคนมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ในหัวใจด้วยกันทั้งสิ้น ลองค้นหา แล้วคุณจะพบ.