วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

What a friend is for?

หนักนิด..เบาหน่อย..ก็เพื่อน

สิ่งล้ำค่าสิ่งหนึ่งที่วัฒนาให้ฉัน คือ...เพื่อน....  อาจจะไม่ใช่เพื่อนที่ตายแทนฉันได้ หรือยอมลำบากทิ้งทุกอย่างที่มีในชีวิตเพื่อช่วยฉันในยามที่ฉันลำบากอย่างในหนัง ละคร หรือหนังสือ   (บางทีฉันสงสัยว่า เพื่อนแบบนั้นมีจริง ๆ ในชีวิตจริงหรือ?)  แต่ทุกครั้งที่เจอเพื่อนวัฒนาฯ  ฉันรู้สึกสบายใจ ได้เป็นตัวของตัวเองเต็มที่ ไม่ต้องมีฟอร์ม สามารถเรียกร้องขอ ในขณะที่เพื่อนก็อิสระที่จะปฏิเสธโดยไม่ต้องห่วงว่าจะเสียเพื่อนคนนี้ไปหรือไม่  นั่นเป็นเพราะเราอยู่กันมาในโรงเรียน เห็นกันตลอดเวลา เรารู้จักกันและกัน

สมัยฉันเด็ก ๆ กฎข้อแรกของโรงเรียนที่บอกว่า..ห้ามนำสิ่งมีค่าเข้ามาในโรงเรียน..เป็นกฎที่ดีมาก ไม่ใช่เพียงป้องกันปัญหาของหาย แต่เป็นการถอดหน้ากาก ศักดิ์ศรีต่าง ๆ ไว้นอกรั้วแดง-ขาว  เมื่อเราเข้ามาในเขตวัฒนาแล้ว ทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน  ฉันไม่เคยคิดว่าเพื่อนสนิทฉันเป็นหลานสาวเจ้าของโรงพิมพ์ที่พิมพ์ตำราเรียนที่เราเรียนอยู่ทุกวัน  ฉันไม่เคยสนใจว่าเพื่อนคนนั้นนามสกุลผู้ดีเก่า หรือเป็นเครือญาติเศรษฐีที่ไหน  สิ่งที่ฉันสนใจคือ...เพื่อน ๆ ที่มีความจริงใจ ช่วยเหลือกันในยามคับขัน และรักฉันในความเป็นฉันเอง

แม้ว่าสมัยเด็ก ๆ ฉันจะไม่ได้สนิทติดแจอยู่กับใครคนใดคนหนึ่ง  เพราะฉันค่อนข้างชอบเล่นไปทั่ว แล้วยังขี้ประจบครูอีก 55555555 ฉันจึงไม่มีเพื่อนกลุ่มเดียว  แต่จะแทรกเป็นยาดำไปทั่วตามกลุ่มต่าง ๆ เป็นต้นว่าตอนเช้า ๆ ฉันมักจะมานั่งหน้าตึกเรียน  ก็จะเจอเพื่อนที่ชอบมานั่งอ่านหนังสือคนเดียว เช่น ป๊าก แหม่ม ศรี ฯลฯ เจอทีละคนนะคะ พอตอนเย็น ก็จะคุยกับคนนั้นคนนี้แล้วแต่สถานะการณ์  กลุ่มผลไม้ไม่มี เพราะเหตุว่าแม่ชอบเอาอะไรที่ไม่ใช่ผลไม้มาให้ ครั้งหนึ่งเคยเอาติ่มซำใส่ถุงสีน้ำตาลมาให้ ครูเวรก็ไม่ได้เปิดดู แต่อีกครั้งครูประพิธเรียกไปเพราะแม่เอาทองหยิบทองหยอดมาเต็มถุง  ตั้งแต่นั้นมาฉันจึงบอกแม่ว่า อย่าเอามาเลย

ฉันก็ตระเวณไปตามกลุ่มต่าง ๆ กลุ่มแก้วชอบกวักมือเรียกเวลามีกล้วยหอม  ไม่รู้ว่าเพราะในกลุ่มนี้ไม่ค่อยกินกล้วยหอมหรืออย่างไร หลังจากนั้นก็จะวิ่งเล่นกับโด่ง ปุ้ย พอถึงช่วงทำการบ้าน บางวันฉันจะเข้าไปนั่งคุยกับนิตยา ไหว้วานให้เขียนโน่นเขียนนี่ให้ ลายมือนิดสวยมากค่ะ  อีกคนที่ฉันขอให้เขียนโน่นนี่ให้ก็คือปุ๊กปิ  หรือบางทีก็ไปนั่งว่ากลอนสดให้เอ๋น้ำทิพย์ ไปนั่งเล่าหนังให้แหม่มสุรัสสิริฟัง ฯลฯ  ส่วนเสาร์อาทิตย์ บางทีบี้จะมาค้างที่บ้าน เราก็พูดคุยเล่นกัน   พอจะนึกภาพออกแล้วนะคะ ว่าฉันเที่ยวไปทั่วแค่ไหน 55555555

แต่เมื่อเพื่อนมีปัญหา แล้วมาคุยกัน ฉันไม่เคยเข้าข้างเมื่อเพื่อนผิด  เพราะฉันคิดเสมอว่า..ถ้ารักเพื่อนจริง ต้องทำให้เขาทำสิ่งที่ถูกต้อง เขาจะได้เป็นที่รักของคนอื่นเช่นเดียวกับที่เป็นที่รักของเรา   แต่แน่นอนค่ะ ความเป็นเพื่อน..ฉันไม่สามารถทิ้งเขาได้แม้ว่าเขาจะทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  แต่จะไม่สนับสนุน  ฉันจะพยายามแยกออกเป็น 2 เรื่องไม่ปะปนกันค่ะ หลายครั้งที่เพื่อนบางคนบ่นว่า..ทำไมฉันไม่เห็นใจเขา?  เอ้า..ก็เธอทำผิด และเพราะฉันรักเธอ ฉันจึงอยากเห็นเธอทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควร  แรก ๆ เพื่อนก็อาจจะน้อยใจ บางทีก็ไม่พอใจ  แต่พอเวลาผ่านไป...เพื่อนจะเข้าใจเจตนาของฉัน แล้วเราก็กลับมาคุยกันเหมือนเดิม 

เพราะเรื่องราวต่าง ๆ ในวัฒนาฯ ทำให้รากฐานความเป็นเพื่อนมั่นคงเกินกว่าจะคลอนแคลนได้ง่าย  ๆ

เมื่อปีที่แล้ว ป๊ากได้ชักชวนฉันเข้าไปพัวพันกับภารกิจเป็นไปไม่ได้   หรือที่ฉันตั้งชือว่า mission impossible  ฉันหัวเสียกับคุณเธอมากมาย แต่ก็นะ..ความรักโรงเรียน ความสงสารเพื่อนมันทำให้ฉันต้องฝ่าฟัน และทำไปอย่างที่เพลงร้องว่า...เราวัฒนา ขมสู้กลืน เมื่อฝืนใจครั้งทนทำงาน....ขอบอกว่า..ขมจริง ๆ ค่ะ แม้ว่าจะขมแค่ไหน ฉันก็ไม่สามารถทิ้งให้เพื่อนต้องเผชิญกับเรื่องนี้ตามลำพังได้  ปากก็บอกว่า..ไม่ทำแล้วนะ เธออยากทำก็ทำไปคนเดียว  แต่ป๊ากก็ยังดึงดันที่จะรับผิดชอบทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ใช่ว่าจะทำอะไรได้ ฉันก็..เฮ้อ..ทิ้งไม่ลงซิน่า 

ระหว่างกาล ฉันก็พยายามชักจูงให้เพื่อนตาสว่าง ให้เขาเห็นว่า..บางครั้งความตั้งใจดีก็ไม่เพียงพอหรอกนะ งานบางอย่างต้องมีความรู้ความสามารถที่จะทำด้วย โชคดีที่ป๊ากเข้าใจในที่สุด ยอมปล่อยวาง แม้ว่าจะเป็นห่วงงานของสมาคม ฉันเองก็เป็นห่วงไม่แพ้ป๊ากหรอกค่ะ  แต่ในชีวิตคนเรา มีเรื่องหลายเรื่องที่อยู่นอกเหนือความสามารถของเรา  ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับ และปล่อยวาง

เราทุกคนต่างเป็นเพียงคนตัวเล็ก ๆ เพียง 1 คน  มี 2 มือ 1 สมอง  เราต่างมีขีดจำกัดในการทำงาน ในการสรรสร้างสิ่งต่าง ๆ ได้โดยลำพัง  วัฒนาฯ ไม่สามารถยืนยงมาได้ถึงทุกวันนี้ถ้ามีคน 1 คนทำงาน  แต่วัฒนาฯ เป็นวัฒนาฯได้ถึงทุกวันนี้ เพราะคนหลาย ๆ คนร่วมมือร่วมใจกัน ด้วยสำนึก ด้วยความรักและสามัคคีต่างหาก



2 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

เป็นบทความที่ดีมากจ๊ะสำหรับเรื่องของโรงเรียน น่าจะเอาไปลงในหนังสือของศิษย์เก่าว่า แต่ก่อนพวกศิษย์เก่าแกร่งๆ ที่มีชื่อเสียง ทำไมถึงแกร่งได้ขนาดนั้น เพราะพวกเราได้ถูกหล่อหลอมมาอยางดี

อ่อง นพพร กล่าวว่า...

ใช่ค่ะพี่จี๋ สมัยก่อน คนรุ่นเก่าเขาถูกอบรมปลูกฝังมาว่าเราต้องเห็นแก่ส่วนรวม เราจะไม่เอาความอยู่รอดของคน ๆ หนึ่งมาเดิมพันกับความอยู่รอดขององค์กร แต่คนรุ่นหลัง คือรุ่นเรา..เริ่มลังเล เพราะเรารักเพื่อนกันมากไป (รึป่าว)แม้ว่าจะเห็นอยู่เต็มตา รู้อยู่เต็มอกว่า เพื่อนทำไม่ได้ แต่เมื่อเพื่อนอยากทำ เราก็จำต้องสนับสนุนกันไป

อ่องอยากจะบอกว่า...นี่แหละค่ะคือสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้สมาคมฯ อ่อนแอลง