วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

ผู้ชายคนหนึ่งที่รักฉันมากที่สุดในโลก

ขอพื้นที่ตรงนี้คิดถึงผู้ชายคนนั้นได้ไหม?
ฉันเกิดมาได้รับความรักอย่างล้นเหลือจากผู้คนรอบข้าง เริ่มตั้งแต่พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติ ๆ ผู้ใหญ่แทบทุกคน ส่วนหนึ่งนอกจากฉันเป็นลูกคนโตของพ่อ....ที่เป็นที่รักที่สุดของย่า และแม่...ที่เป็นที่รักที่สุดของตา....แล้ว ฉันว่าตอนเล็ก ๆ ฉันหน้าตาน่ารัก ใครเห็นก็อดรักไม่ได้ นี่พูดแบบไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ และตอนเล็ก ๆ คุณแม่บอกว่าฉันไม่หวงตัว ใครมาอุ้มก็ให้อุ้มหมด ใครเล่นด้วยก็เล่นหมด
มีบุคคลหนึ่งที่หลงรักฉันตั้งแต่ฉันแบเบาะ และยังคงเสน่หาฉันจนถึงวันนี้..แม้ว่าฉันจะเปลี่ยนไปจากเจ้าหญิงน้อย ๆ ของทุกคน เป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเอง เป็นหญิงสาวที่ดื้อรั้น จนถึงเป็นป้าที่หน้ายาย...ความรักของผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือลดน้อยลง ยังคงเป็นความรักพิเศษที่ให้กับฉันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ปีนี้ฉันอายุเท่ากับผู้ชายคนนี้ในวันที่เขาพบฉันเป็นครั้งแรก 50 ปีที่ฉันเติบโตมาและอบอุ่นอยู่ในความรักความเมตตาของเขา วันนี้ฉันอยากเขียนอะไร ๆ ถึงเขาอย่างจริงจัง และจริงใจ เขียนเพื่อบันทึกความทรงจำทุก ๆ เม็ดที่ฉันนึกออก ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในสายตาของหลาย ๆ คน เป็นคนดีที่ใคร ๆ หลายคนเทิดทูน ยกย่อง แต่สำหรับฉัน...เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่รักฉันมากที่สุดในโลก และฉันก็รักเขามากที่สุดเช่นกัน...ความทรงจำทุกฉาก ทุกตอนระหว่างฉันกับเขา มีแต่ความรักที่เขาให้ฉันทั้งสิ้น และบางทีการที่ฉันเป็นคนที่ชอบเอาใจคนที่ฉันรัก ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่ฉันได้รับความรักความเอาใจจากผู้ชายคนนี้กระมัง แต่ฉันไม่เคยเอาใจใครได้เท่ากับที่เขาเอาใจฉัน ตามใจฉัน ยอมรับฉันอย่างที่ฉันเป็น เพราะความรักของเขาช่างลึกซึ้ง และมากมายมหาศาลจริง ๆ
อ่านมาถึงตรงนี้ คนที่รู้จักครอบครัวฉันดีคงรู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้คือใคร เพราะมีเพียงหนึ่งเดียวที่รักฉันได้ขนาดนั้น  ถูกแล้วค่ะ...ผู้ชายคนนี้คืออากงของฉันเอง...
การที่ฉันเขียนหนังสือได้มีโวหารดี ส่วนหนึ่งมาจากการสนับสนุนส่งเสริมของอากง สมัยพวกเราเล็ก ๆ ทุกตรุษจีน พวกเราต้องไปที่บ้านอากง นอกจากรับซองแดงแล้ว ก็ยังได้รับโอวาทจากอากงด้วย ฉันมักจะนั่งหน้าสุดฟังอากงตาแป๋ว อากงเป็นผู้ชายที่ทรงเสน่ห์มากค่ะ หล่อ เท่ เจ้าโวหาร สิ่งที่อากงสอน ฉันคงไม่สามารถบอกได้หมดเพราะมันเยอะมาก ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดที่อากงต้องการให้ลูกหลานทุกคนมีคือ ความกตัญญู  อากงไม่เพียงแต่สอนด้วยคำพูด แต่สอนด้วยการกระทำของตัวเองให้เป็นเยี่ยงอย่าง ภาพอากงจูงประคองอาไท่เป็นภาพที่คุ้นตาลูกหลานและผู้คนที่ได้พบเห็น
อากงเป็นนักพูดชั้นยอดจริง ๆ ค่ะ แม้ว่าจะพูดไปคิดไป ไม่ได้ร่างเป็นกระดาษมา แต่เด็ก ๆ อย่างฉันก็ฟังเพลิน เดชะบุญที่ตอนนั้นยังฟังได้ถึง 40%  ไม่ใช่แต่วิธีการพูด ลีลาท่าทางของอากงตอนยืนเทศนาลูกหลานก็ชวนมอง ฉันจำได้ติดตา เพราะทุกปี ๆ จะคล้าย ๆ กัน คืออากงจะยืนสบาย ๆ มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า สายตามองคนฟังไปทั่ว ลูกหลานเยอะค่ะ ไม่ใช่แค่ลูก ๆ หลาน ๆ ของอากง ยังมีลูกหลานของน้องชายน้องสาว และญาติ ๆ อีก น้ำเสียงอากงน่าฟังมาก ไม่ใช่ว่าไพเราะอะไรหรอกนะคะ แต่เป็นน้ำเสียงที่มีความเป็นมิตรสูง ฟังแล้วอบอุ่น ฟังแล้วดึงดูดให้อยากฟัง
มีอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนฉันยังไม่ถึง 10 ขวบ ตรุษจีนก็จะไปเล่นกับญาติที่บ้านนเรศ ส่วนมากแล้วจะค้าง 1 คืน พอวันรุ่งขึ้นอากงก็จะพาทุกคนไปช็อปปิ้งที่เซ็นทรัลสีลม จำได้ว่าเป็นกลุ่มใหญ่มาก ก่อนไปอากงกำหนดไว้ว่าให้ทุกคนเลือกซื้อของเล่นได้คนละ 1 ชิ้น ฉันเห็นอากงต้องจ่ายตังค์เยอะ ก็สงสารเลยไม่เลือก พอกลับมาบ้าน อากงก็เอาของทั้งหมดมากองไว้ ลูกหลานล้อม ยังกับซานตาคลอสเลย แล้วอากงก็จะหยิบของขึ้นมาถามว่าของใคร  ใครที่เลือกไว้ก็จะมารับ ใครแอบซื้อเกิน 1 ชิ้นก็จะโดนดุนิดหน่อย พอแจกหมด เห็นฉันไม่ได้ อากงก็ถาม ฉันก็บอกว่าเห็นอากงซื้อของให้คนอื่นเยอะแยะแล้ว เลยไม่ซื้อ อากงก็ควักตังค์ให้ 1 พันเป็นการขอบใจที่เป็นห่วงอากง จำได้ว่าโดนพี่ ๆ น้อง ๆ น้า ๆ เหล่...ไอ้นี่ฉลาดแฮะ ได้เยอะกว่าใครเพื่อนเลย เนื่องจากสมัยนั้นค่าครองชีพยังไม่สูงค่ะ ของเล่นส่วนใหญ่ที่แต่ละคนเลือก หรูสุดก็ไม่เกิน 500 บาท
เหมือนคนจีนทั่วไป อากงไม่ชอบเสื้อผ้าสีดำ คุณแม่จะบอกเสมอว่าเวลาไปบ้านนเรศห้ามใส่ขาวดำนะ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง น้าฉันให้เสื้อตัวหนึ่ง เป็นสีขาว-ดำ ฉันชอบมาก และใส่บ่อย มีอยู่วันหนึ่งก็เผลอใส่ไปบ้านนเรศ แล้วอากงเดินมาเห็น สิ่งที่อากงพูดคือ วันนี้แต่งตัวสวย ทำเอาพี่ที่ได้ยินแอบเม้าอากงว่า ทีคนอื่นใส่น่ะว่าทำไมใส่สีดำ..ใครตาย แต่พี่อ่องใส่ชมว่าสวย ลำเอียงของแท้ อากงเป็นคนลำเอียงจริง ๆ ซึ่งอากงก็ยอมรับ บอกกับใคร ๆ เสมอเวลาโดนตัดพ้อว่านิ้วมือคนเราเอง 5 นิ้วยังยาวไม่ทันเลย ฉะนั้นการที่อากงจะรักคนไม่เท่ากันก็เป็นเรื่องปกติ ลูกบางคนบอกอากงว่า อาป๊าจะรักลูก ๆ ไม่เท่ากันน่ะไม่ว่า แต่อย่าลำเอียงได้ไหม?  อากงก็สวนกลับว่า...บ๊ะ...ก็เพราะรักไม่เท่ากัน ลำถึงได้เอียงไงเล่า แต่ถึงอากงจะลำเอียงแค่ไหน ฉันก็เห็นลูกหลานรักอากงทุกคน
ญาติผู้น้องคนหนึ่ง ตอนเด็ก ๆ เคยสอบตก อากงโกรธมาก ถึงขนาดบอกว่า...ต่อไปเวลาไปสอบไม่ต้องเอานามสกุลอั๊วไปสอบนะ ...แต่พอหลานคนโปรดสอบตก ...เงียบสนิท ไม่ตำหนิแม้แต่ครึ่งคำ ฉันก็แก้แทนอากงว่า...เพราะฉันไม่เคยใช้นามสกุลอากงไปสอบอยู่แล้ว อากงเลยไม่รู้สึกอะไร
สมัยไปเรียนที่อเมริกา อากงเขียนจดหมายไปคุยกับฉันบ่อย ๆ แต่ฉันเขียนมาคุยบ่อยกว่า พี่ ๆ น้า ๆ ไม่รู้ รู้แต่ว่าอากงเขียนไปหาฉัน น้าคนเล็กมักจะบ่นว่า ... ทีลูกไม่เคยเขียนมาคุยด้วย แต่หลานคนโปรดเขียนด้วยลายมือตัวเองอีกต่างหาก ปกติอากงจะใช้เลขาพิมพ์แล้วเซ็นชื่อน่ะค่ะ  ส่วนพี่อีกคนก็เคยได้รับจดหมายจากอากง แต่ก็ยังไม่วายอิจฉา เพราะ... ของพี่น่ะ คุณปู่มีแต่เขียนมาด่า ๆ ๆ ไม่เหมือนของพี่อ่องหาคำด่าไม่เจอสักครึ่งคำ 
เรื่องความลำเอียงของอากงมีเยอะ เล่าได้ไม่จบไม่สิ้น ฉันโชคดีที่อยู่ถูกด้าน จึงไม่เคยขาดความรักจากอากงเลย แม้ในยามที่อากงเริ่มจำลูกหลานไม่ได้ แต่อากงจะจำฉันได้เสมอ ไม่ว่าฉันจะไม่ได้ไปหาเลยเป็นเวลานาน อากงก็จำฉันได้ ซึ่งหลายคนอดน้อยใจไม่ได้ บางคนอยู่บ้านเดียวกัน แวะมาสวัสดีอากงเกือบทุกวัน อากงก็ไม่เคยจำชื่อได้ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ฉันเชื่อได้ยังไงว่าผู้ชายคนนี้รักฉันมากที่สุดในโลก? ในเมื่อชีวิตเขาแวดล้อมด้วยผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นลูกหลาน บริวาร มิตรสหายในสังคม...แต่ฉันกลับได้เป็นบุคคลสำคัญสำหรับเขา ทั้ง ๆ ที่ฉันไม่ได้มีความดีความพิเศษอะไรกว่าใครอื่น จะว่าเป็นหลานใกล้ชิดก็ไม่ใช่ เพราะอยู่คนละบ้าน จะว่าเป็นคนเก่งก็ไม่เชิง มีคนเก่งกว่าฉันมากมายที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขา แต่อากงมองเห็นฉันเสมอ และในสายตาที่มองมาก็เปี่ยมไปด้วยความรักเมตตาที่หล่อเลี้ยงฉันตลอดมาจนโตเป็นสาวจนแก่ ไม่ว่าจะทำอะไร เวลาทำดี แม้เล็กน้อย อากงจะชื่นชมราวกับฉันได้ทำคุณความดีใหญ่หลวง แต่เวลาทำผิด อากงก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ซะงั้น
ส่วนมากแล้วเวลาอยู่กับอากง ฉันจะทำตัวดี การที่ฉันเขียนหนังสือได้ดี อากงคือแรงบันดาลใจเบอร์ 1 ของฉัน ตั้งแต่ฉันยังไม่รู้จักบทสัมผัสในกลอน เพียงแต่เขียน ๆ ให้อ่านฟังเป็นกลอน แต่สัมผัสนอกในอะไรไม่มีเพราะไม่เคยเรียน แต่อากงจะให้ความสำคัญมาก ทุกปีวันเกิดฉันต้องเขียนไปอ่านให้อากงฟังทุกปี มีอยู่ปีหนึ่งจำได้ว่าไปถึงสาย มีแขกเหรื่อมาเต็มห้องโถงที่บ้านนเรศ พอฉันไป พ่อ-แม่ก็พาไปสวัสดีอากง แล้วให้ฉันอ่านกลอนให้ฟัง อันฉันนั้นขี้อายแก้ไม่ตกจริง ๆ ห้องเต็มด้วยแขกอากงใส่สูท ยืนเต็มห้อง ฉันไม่อยากอ่านแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะปีนั้นน้อง ๆ ไม่ได้ไปด้วย พอเริ่มอ่าน..มีคนเอาไมโครโฟนมาตั้งอีก ...โอไม่นะ! ฉันแพ้ไมโครโฟน แต่สายตาอากงที่มองมาเป็นกำลังใจให้ฉันสู้อ่านจนจบ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นกลอนเด็ก ๆ ไม่ได้มีสัมผัสตามแบบแผน แต่พออ่านจบ เสียงปรบมือลั่นห้องโถง จำได้ว่าฉันอายมาก วิ่งไปซุกแม่ทันทีที่อ่านจบ อากงเดินตามมาลูบหัว พร้อมคำชม ฉันจำไม่ได้ว่าอากงพูดอะไรบ้าง จำได้แต่ว่า..ความอายความกลัวนั้นหายไป ความภาคภูมิใจกลับมาแทนที่เต็มหัวใจ
นับแต่นั้นมา...พอเริ่มเรียนรู้บทสัมผัส ฉันก็จะขวนขวายฝึกฝนตัวเอง จนกลายเป็นนักกลอนมือหนึ่งของเพื่อน ๆ ไป อันดับสองที่สนับสนุนฉันนอกจากอากงแล้วก็คือพ่อกับแม่ ผู้ไม่เคยปฏิเสธถ้าฉันจะซื้อหนังสือ เว้นหนังสือเอ็นไซโคพิเดีย ที่จริงพ่อจะตามใจ แต่แม่เบรกไว้ค่ะ ถามว่าจะอ่านหรือว่าอยากมีไว้ประดับบารมี? ฮ่า ๆ ๆ แบบว่าอีตอนที่ร้องจะซื้อเนี่ยะ เพิ่งจะ 12-13 ขวบเองค่ะ คะแนนภาษาอังกฤษในสมุดพกยังเป็นตัวเลขสีแดงเล้ย แล้วหนังสือหลักหมื่น...ซื้อรถได้ 1 คันเลยแหละค่ะ...สมควรให้แม่ถามแบบนั้นแล้ว
พอฉันโตขึ้นมา มีอยู่ช่วงหนึ่งทำงานที่ตึกเดียวกับอากง ทุกวันฉันจะซื้อแอ๊ปเปิ้ลวันละ 1 ลูก แล้วเอาไปให้เลขาอากงปอกให้อากงกิน ตัวฉันเองก็จะไปนั่งคุยกับอากง อู้งาน ทุกวันเช่นกัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง น้าคนหนึ่งหิ้วแอ๊ปเปิ้ลมาให้อากงตะกร้าใหญ่ เดินมาพร้อม ๆ กับที่ฉันเข้าไปพอดี เขาก็ทักว่า..  อะไร เอาแอ๊ปเปิ้ลให้อากงทั้งที ให้ลูกเดียว? ฉันก็บอกว่า ให้ลูกเดียว แต่ให้ทุกวัน และอากงก็กินที่อ่องให้ทุกวันแหละ เพราะอากงกินแอ๊ปเปิ้ลวันละ 1 ลูกเท่านั้น น้าก็อึ้งไปตามระเบียบ คำคมประจำวันนี้ - ความอร่อยของแอ๊ปเปิ้ลอยู่ที่...เป็นแอ๊ปเปิ้ลของใคร...
เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่หยิบยกมา เพียงเพื่อสนับสนุนว่า...อากงเป็นผู้ชายที่รักฉันจริง ๆ รักอย่างไม่มีเงื่อนไข  พ่อฉันยังรักฉันได้ไม่เท่าอากงเลยค่ะ เพราะเวลาฉันดื้อ พ่อก็จะไม่พอใจ จะโกรธ แต่อากงไม่เคย ในเรื่องฉันไม่มีเหตุผล..เช่นมีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณแม่ใช้ฉันไปขอน้ำตาลอากง 1 กระสอบ  คืออากงมีกิจการโรงงานน้ำตาลน่ะค่ะ อากงก็มีบ่นว่าน้ำตาลแค่ 1 กระสอบทำไมต้องมาขอ? แล้วก็จะให้เงินไปซื้อ อารมณ์ฉันตอนนั้นฉุนอย่างไร้เหตุผลมาก บอกอากงแบบงอน ๆ ว่า ...ก็โรงงานเรามี ทำไมจะต้องไปซื้อ ถ้าอากงไม่อยากให้ก็บอก ไม่ต้องมาให้เงินหรอก เดี๋ยวบอกคุณแม่ไปซื้อเองค่ะ.... (ร้ายไหมเนี่ยะ หลานบังเกิดเกล้า) แล้วก็เดินงอนตุ๊บป่องออกไป ไม่ไปนั่งคุยกับอากง 3 วัน อากงขึ้นมาชั้น 10 ซึ่งฉันนั่งทำงานอยู่ ก็ไม่ยอมเข้าไปทัก  จนอากงทนไม่ได้ ส่งน้ำตาลไปให้ที่บ้าน แต่ฉันก็ยังงอนต่อไม่พูดกับอากงเหมือนเคย อากงต้องให้เลขามาเชิญลงไปคุย พอเจอหน้าก็ถามแบบง้อ ๆ ว่า...ยังไม่หายงอนอีกเหรอ น้ำตาลก็ส่งไปให้แล้วอ่ะ... จริง ๆ แล้วฉันหายงอนตั้งแต่วันแรกแล้วค่ะ คือมานึก ๆ เรานี่งี่เง่าเหลือเกิน แต่ยังไงล่ะคะ จะเข้าไปพูดด้วยก่อนก็รู้สึกเสียหน้า... เลยรอให้อากงพูดก่อน ซึ่งก็...ได้ผล  แต่มานึกตอนนี้ (ตอนที่เขียนบันทึก) ทำไมเรางี่เง่าขนาดนี้ฟระ? แล้วก็ยิ่งซึ้งใจจริง ๆ ว่าอากงรักฉันมากจริง ๆ ฉันเชื่อว่าถ้าฉันทำตัวอย่างนี้กับมนุษย์คนอื่น ไม่ว่าหน้าไหนในโลกก็คงไม่มีใครง้อหรอกค่ะ จะมีก็แต่ผู้ชายคนนี้จริง ๆ ผู้ชายที่รักฉันมากที่สุดในโลกคนนี้
ในวันนี้ วันที่อากงอยู่มาจนถึง 1 ศตวรรษแล้ว อากงเหนื่อย ไร้แรงที่จะลุก ไร้แรงที่ลืมตาขึ้นมาพูดคุย จริง ๆ ฉันก็คิดว่า...อากงคงจะถึงเวลาที่จะละทิ้งสังขารแล้ว ฉันคิดทุกครั้งที่ไปเยี่ยม แล้วเห็นอากงนอนเฉย ๆ เหมือนคนโคม่า แต่อาการไม่มีอะไร ฉันรู้เลยว่าอากงเบื่อมาก ฉันเองก็อยากปล่อยให้อากงจากไป แต่ฉันไม่มีสิทธิ์ในชีวิตของอากง ได้แต่เห็นใจ และสงสาร แต่ทำอะไรไม่ได้จริง ๆ
ว่าไปแล้วฉันเองก็ทำปากเก่ง บอกว่าอยากปล่อยให้อากงจากไป ปีที่แล้วอากงไม่สบายมาก ฉันไปเยี่ยมที่วิชัยยุทธ จับมืออากงแล้วคุยทางกระแสจิต ตั้งใจจะบอกให้อากงสบายใจ ไม่ต้องห่วงถ้าอากงจำเป็นต้องไปจริง ๆ ...แค่นั้นก็ยังไม่สามารถบอกได้ แถมทำท่าจะร้องไห้อีก .... แต่ถ้าถามว่า แล้วอยากให้อากงอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ หรือ  ก็ไม่อยากอีกนั่นแหละ ไม่อยากให้อากงทรมาน แต่ก็ยังใจหายเกินกว่าจะพูดได้เต็มปากว่าขอให้อากงจากไป...
มีคนเคยถามฉันว่า...อยากอายุยืนอย่างอากงไหม ฉันตอบว่า ไม่อยาก  เขาถามต่อ..แล้วอยากอายุเท่าไรถึงตาย...ฉันตอบแบบไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ...ฉันอยากตายพร้อมอากง  เลยโดนเอ็ดเอาว่าบ้าแล้ว... มันไม่ใช่ว่าฉันขาดความรักหรอกค่ะ จริง ๆ มีคนให้ความรักฉันอยู่บ้าง แต่ฉันกลัวที่ขาดอากงไป กลัวความว้าเหว่ เพราะไม่มีคนตามใจฉันได้อย่างที่อากงทำ และคงไม่มีวันจะมี...

ไม่มีความคิดเห็น: