วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เพลินบุปผชาติสวนหลวงร.9 กับท่านผู้หญิงสุมาลี

ความสุขอันเป็นพลังสร้างวันใหม่

คิดว่าจะไม่สามารถกลับมาเขียนอะไร ๆ สนุก ๆ ได้อีกเสียแล้วหลังจากการจากไปโดยไม่คาดฝันของเพื่อนที่รักที่สุดในชีวิต บทความนี้คือบทความแรกที่เขียน เพราะอยากเก็บไว้เป็นความทรงจำอันอบอุ่นให้ได้รำลึกถึงทุกครั้งที่กลับมาอ่านค่ะ
ก่อนอื่นขอชี้แจงว่า การที่นำรูปมาเผยแพร่ก็ดี เขียนเรื่องสู่กันฟังก็ดี ไม่ใช่จะอวดว่าฉันสนิทกับท่านผู้หญิงนะคะ ไม่เคยคิดเช่นนั้นเวลาได้รับความรักความเมตตาจากผู้หลักผู้ใหญ่ เพราะเท่าที่เห็น ท่านก็ให้ความเมตตากับคนอื่น ๆ เฉกเดียวกัน
ที่มาที่ไปว่าทำไมจึงได้ไปเดินเที่ยวสวนหลวง ร.9 กับท่านผู้หญิงนั้น เกิดจากวันหนึ่งคุณแม่กลับจากสวนหลวง ก็เอารูปใน ipad มาอวดค่ะ ฉันไม่ค่อยได้ไปเดินเที่ยวเท่าไร เพราะส่วนมากบ้านเราอากาศร้อน เดินนาน ๆ ก็เมื่อย เหงื่อออก สวนก็ใหญ่ เลย...สั้น ๆ ว่า “ขี้เกียจ” 5555555 แต่ปีนี้เกิดแว้บขึ้นมาว่าน่าจะชวนท่านผู้หญิงไปนะ คุณแม่เองก็คิดถึงท่านผู้หญิงเช่นกันเลยกดมือถือตะเล็บเก้บไปชวนทันที ซึ่งท่านก็ตอบรับมาเกือบจะในทันใด คุณแม่ให้ท่านเป็นผู้กำหนดวัน ท่านก็บอกว่าวันที่ 5  ฉันรีบค้าน เพราะวันที่ 5 คนน่าจะเยอะมาก บางทีเจอคนงานพม่ามาเป็นกลุ่มใหญ่ บางทีเจอคนกินเหล้าเมา เสียงดัง ไม่น่าจะใช่บรรยากาศที่น่าเดินของสวนสาธารณะเท่าไร ท่านเลยเลื่อนเป็นวันที่ 6
วันที่ 4 ฉันเห็นดอกมหาหงส์ที่บ้านออกดอกเยอะเลยตัดไปฝากท่าน เมื่อไปถึงบ้านก็นัดกับท่านอีกทีเรื่องเวลา ว่าเราจะนัดกันที่บ้านท่านแล้วไปพร้อมกัน เพราะถ้าไปเจอกันที่นั่น อาจจะหากันลำบาก ฉันขอให้ท่านใส่รองเท้ากีฬา ท่านก็ว่าจะเดินไหวหรือเปล่าไม่รู้ ฉันบอกว่าไม่เป็นไร ขอให้ใส่รองเท้าเดินสบาย ๆ ไว้ก่อน ยังไงที่นั่นก็มีรถบริการอยู่แล้ว
เช้าวันที่ 6 ฉันให้อู๋พาคุณแม่ไปเจอที่สวนหลวง ส่วนฉันไปบ้านท่านผู้หญิง นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะท่านลืมไปว่าฉันจะไปเจอที่บ้านท่าน ท่านจดลงในสมุดเฉย ๆ ว่ามีนัดกับอ่องไปสวนหลวง พอฉันไปถึง แม่บ้านก็แจ้งว่าท่านออกไปพบฉัน 555555 สีหน้าแม่บ้านงง ๆ เล็กน้อยเพราะคนที่ท่านไปพบยืนอยู่ตรงหน้า ฉันเลยต้องโทรให้น้องรีบติดต่อท่าน ส่วนตัวเองก็รีบนั่งแท็กซี่ตามไป โชคดีที่จราจรค่อนข้างโล่ง จึงใช้เวลาไม่นาน
เมื่อฉันไปถึงก็โทรเข้ามือถือน้อง ถามว่าอยู่ไหน น้องบอกว่าให้รอแถวประตูทางเข้า เดี๋ยวจะเดินไปรับ สักพักใหญ่ ๆ น้องก็เดินมา เล่าให้ฟังว่าท่านผู้หญิงมาก่อนแต่โชคดีที่หากันเจอ ฉันก็นึกว่านี่น้องฉันทิ้งผู้ใหญ่สองคนตามลำพังเหรอ แล้วก็โล่งใจเพราะท่านผู้หญิงมีคนติดตามมาด้วย 1 คน
เดินไปไม่นานก็เจอท่านผู้หญิงกับคุณแม่ จูงมือกันชวนชี้ชมต้นไม้กระหนุงกระหนิงน่ารักราวกับคุ้นเคยกันมาแสนนาน ฉันก็รีบเข้าไปกราบทักทายท่าน ฉันเห็นแดดเริ่มมาก เลยเสนอหมวกให้ ท่านปฏิเสธบอกว่าเดี๋ยวผมเสียทรง 5555555 ท่านคงรู้แระว่าวันนี้โดนฉันถ่ายรูปไว้ลงเฟสบุ้คแน่ แต่วันนี้อากาศดีมาก ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป เหมาะกับการเดินเที่ยวของผู้อาวุโส
ท่านผู้หญิงเดินชมสวนแบบละเมียดละไมมากค่ะ เดินช้า ๆ ค่อย ๆ ดูไปเรื่อย ปากก็คุยนั่นคุยนี่กับคุณแม่ไม่ได้หยุด กรุณาอย่าถามฉันว่าคุยอะไรบ้าง คุณแม่บอกว่าถ้าคุยให้ฉันได้ยิน คนทั้งสวนหลวงก็คงได้ยินไปด้วย 5555555 แต่ฉันเชื่อว่าทั้งสองมีความสุข บทสนทนาต้องสนุก เพราะหัวเราะกันเป็นระยะ ๆ แม้แต่น้องชายที่บ่นปวดหัว ตอนแรกบอกเพราะไซนัส แต่บทสรุปเพราะขาดคาเฟอิน
มาถึงต้นหนึ่ง ซึ่งฉันจำชื่อไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าฉันไม่ใช่นักพฤกษศาสตร์ ปลูกได้ดีแต่มหาหงส์ แต่คุณแม่ชอบปลูกต้นไม้ค่ะ พอเห็นเมล็ดหล่นทั่วไปหมด ก็อยากเก็บเมล็ดไปเพาะ ระหว่างที่คุณแม่เดินหาเมล็ดที่เหมาะสม ท่านผู้หญิงก็ช่วยมองหาด้วย ขอบอกว่าสายตาท่านเป็นเลิศมาก เพราะท่านหยิบขึ้นมาเมล็ดหนึ่ง สีเขียวก็จริง แต่มีต้นอ่อนงอกออกมาแล้ว!
พอเจอซุ้มนิทรรศการ เห็นซุ้มไหนสวยก็หยุดถ่ายรูปกัน เดินมาถึงซุ้มหนึ่ง ท่านผู้หญิงบอกให้เด็กที่ติดตามช่วยถ่าย เอาให้ติดรูปสิงห์สองตัวด้วย จริง ๆ เป็นสิงห์ตัวนึงกับกิเลนค่ะถ่ายรูปเสร็จก็เข้าไปชมให้ละเอียดว่าเขาใช้ต้นอะไรบ้าง ท่านก็บอกว่าน่าจะเป็นซุ้มของบุญรอด เพราะสิงห์น่ะ สิงห์บุญรอดชัด ๆ แต่กลับกลายเป็นซุ้มเมืองไทยประกันชีวิตซะงั้น
เดินไปได้สักพัก น้องชายก็หาที่ขึ้นรถกอล์ฟได้ ก็เลยขึ้นรถนั่งชมไปทั่ว มาลงพักเดินแถวที่ขายต้นไม้ คุณแม่กับน้องช็อปปิ้งดิน และต้นไม้กันตามเคย ส่วนท่านผู้หญิงกับฉันก็เดินดูไปเรื่อย มาถึงดอกไม้ชนิดหนึ่ง หน้าตาเหมือนชื่อ แต่ฉันจำชื่อไม่ได้แล้ว ดอกอะไรลิปสติกสักอย่างเนี่ย ฉันนึกสนุก เอามือปิดป้ายแล้วขอให้ท่านทายว่าดอกอะไร ท่านตอบว่า...ช้าไปแล้ว อ่านชื่อไปเรียบร้อยแล้ว... 55555555
น้องชายหายไปไหนสักพักใหญ่ ฉันคิดว่าคงไปหากาแฟกินแก้ปวดหัว แต่เดินกลับมาพร้อมต้นอะไรสักอย่างห่ออยู่ในหนังสือพิมพ์ สูง 2 เมตร ฉันก็นึก คุณน้องจะไปห้อยตรงไหนในบ้าน? บ้านก็ใช่ว่าจะมีที่ทางมากมายอะไร ปรากฏว่าน้องซื้อให้ท่านผู้หญิงค่ะ น้องบอกภายหลังว่าประทับใจ ท่านเรียบร้อยมาก แล้วภาษาที่พูดก็ใช้คำโบราณ ฉันถามว่าโบราณตรงไหน? ยกตัวอย่างมาดิ๊ สรุปความตามน้องว่า ท่านผู้หญิงน่าจะเป็นแม่พลอยสี่แผ่นดินในยุค 3G
ก่อนกลับ ก็แวะกินอาหารมื้อเช้ากันที่ร้าน s&p ฉันเองตั้งแต่ออกจากบ้าน น้ำสักหยดก็ยังไม่ถึงปากถึงท้อง แต่ไม่รู้สึกหิวหรือกระหาย อาจจะเป็นเพราะอิ่มเอมใจกับช่วงเวลาในเช้านี้ ฉันสั่งกาแฟร้อนราดคาราเมล ในขณะที่ท่านผู้หญิงสั่งเกี๊ยวน้ำ น้ำราสเบอร์รี่ร้อน 1 กา คุณแม่สั่งขนมปังกับกาแฟ น้องชายสั่งกาแฟ ตอนที่ท่านกินเกี๊ยวน้ำ ในนั้นมีต้นหอมซอยเส้นผอม ๆ ไม่กี่เส้น แต่ท่านก็เขี่ยออก ฉันสังเกตมาพักหนึ่งแล้วว่าท่านไม่ค่อยกินผัก วันนี้เลยถามค่ะ  คำตอบที่ได้คือ ไม่อยากยิ้มสีมรกต 55555555
ระหว่างกินข้าวเช้ากัน ท่านผู้หญิงก็เล่าเรื่องชีวิตในวัฒนารุ่นยกหมิ่นให้คุณแม่กับน้องฟัง มีฉันกระตุ้นเป็นระยะ ท่านจำเรื่องราวหนเก่าก่อนได้เป็นอย่างดี ก็เล่ากันไป หัวเราะกันไป น้องเริ่มสีหน้าดีขึ้นหลังจากจิบกาแฟ (ยาแก้ปวดหัว) บรรยากาศชื่นมื่นมากค่ะ
กินเสร็จก็เดินออกมาเพื่อไปขึ้นรถ ท่านผู้หญิงแวะซื้อลูกโป่งฝากเหลนน้อยสองคนด้วย สักพักก็บอกฉันว่าเอ๊ะทำไมเหลือเราสองคน? 55555 แล้วแม่กับน้องของฉันหายไปไหน เด็กของท่านผู้หญิงน่ะกำลังจ่ายเงินค่าลูกโป่งอยู่ข้างหลัง ท่านผู้หญิงสายตาดี ช่างสังเกตเป็นเยี่ยมจริง ๆ ค่ะ เพราะท่านเห็นคุณแม่ก่อนฉัน กำลังซื้อลูกประคำกับของกระจุกกระจิก
เราลากันด้วยการไหว้แบบไทย แถมด้วยการลาแบบสากลฉบับวัฒเนี่ยน คือกอดและหอมแก้ม ช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงนี้จะตราตรึงในความทรงจำของฉันควบคู่กับบันทึกนี้ไปแสนนาน ความรักความเมตตาของท่านผู้หญิงเป็นประหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมหัวใจให้อบอุ่น และมีพลังมากขึ้น ถึงจะยังคิดถึงพี่ลีอยู่ แต่ก็มีความเข้มแข็งพอที่จะเผชิญกับความอาลัยอาวรณ์ให้บรรเทาลงได้ ที่ท่านบอกว่าฉันทำให้ท่านมีความสุข ขอบอกว่าท่านทำให้ฉันมีความสุขยิ่งกว่า ขอกราบด้วยความขอบคุณท่านเป็นที่สุดค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น: