ความสุขอันเป็นพลังสร้างวันใหม่
คิดว่าจะไม่สามารถกลับมาเขียนอะไร ๆ สนุก ๆ
ได้อีกเสียแล้วหลังจากการจากไปโดยไม่คาดฝันของเพื่อนที่รักที่สุดในชีวิต
บทความนี้คือบทความแรกที่เขียน เพราะอยากเก็บไว้เป็นความทรงจำอันอบอุ่นให้ได้รำลึกถึงทุกครั้งที่กลับมาอ่านค่ะ
ก่อนอื่นขอชี้แจงว่า การที่นำรูปมาเผยแพร่ก็ดี
เขียนเรื่องสู่กันฟังก็ดี ไม่ใช่จะอวดว่าฉันสนิทกับท่านผู้หญิงนะคะ
ไม่เคยคิดเช่นนั้นเวลาได้รับความรักความเมตตาจากผู้หลักผู้ใหญ่ เพราะเท่าที่เห็น
ท่านก็ให้ความเมตตากับคนอื่น ๆ เฉกเดียวกัน
ที่มาที่ไปว่าทำไมจึงได้ไปเดินเที่ยวสวนหลวง
ร.9 กับท่านผู้หญิงนั้น เกิดจากวันหนึ่งคุณแม่กลับจากสวนหลวง ก็เอารูปใน ipad มาอวดค่ะ
ฉันไม่ค่อยได้ไปเดินเที่ยวเท่าไร เพราะส่วนมากบ้านเราอากาศร้อน เดินนาน ๆ ก็เมื่อย
เหงื่อออก สวนก็ใหญ่ เลย...สั้น ๆ ว่า “ขี้เกียจ” 5555555
แต่ปีนี้เกิดแว้บขึ้นมาว่าน่าจะชวนท่านผู้หญิงไปนะ คุณแม่เองก็คิดถึงท่านผู้หญิงเช่นกันเลยกดมือถือตะเล็บเก้บไปชวนทันที
ซึ่งท่านก็ตอบรับมาเกือบจะในทันใด คุณแม่ให้ท่านเป็นผู้กำหนดวัน
ท่านก็บอกว่าวันที่ 5 ฉันรีบค้าน
เพราะวันที่ 5 คนน่าจะเยอะมาก บางทีเจอคนงานพม่ามาเป็นกลุ่มใหญ่
บางทีเจอคนกินเหล้าเมา เสียงดัง ไม่น่าจะใช่บรรยากาศที่น่าเดินของสวนสาธารณะเท่าไร
ท่านเลยเลื่อนเป็นวันที่ 6
วันที่ 4
ฉันเห็นดอกมหาหงส์ที่บ้านออกดอกเยอะเลยตัดไปฝากท่าน
เมื่อไปถึงบ้านก็นัดกับท่านอีกทีเรื่องเวลา
ว่าเราจะนัดกันที่บ้านท่านแล้วไปพร้อมกัน เพราะถ้าไปเจอกันที่นั่น อาจจะหากันลำบาก
ฉันขอให้ท่านใส่รองเท้ากีฬา ท่านก็ว่าจะเดินไหวหรือเปล่าไม่รู้ ฉันบอกว่าไม่เป็นไร
ขอให้ใส่รองเท้าเดินสบาย ๆ ไว้ก่อน ยังไงที่นั่นก็มีรถบริการอยู่แล้ว
เช้าวันที่ 6 ฉันให้อู๋พาคุณแม่ไปเจอที่สวนหลวง
ส่วนฉันไปบ้านท่านผู้หญิง นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
เพราะท่านลืมไปว่าฉันจะไปเจอที่บ้านท่าน ท่านจดลงในสมุดเฉย ๆ ว่ามีนัดกับอ่องไปสวนหลวง
พอฉันไปถึง แม่บ้านก็แจ้งว่าท่านออกไปพบฉัน 555555 สีหน้าแม่บ้านงง ๆ
เล็กน้อยเพราะคนที่ท่านไปพบยืนอยู่ตรงหน้า ฉันเลยต้องโทรให้น้องรีบติดต่อท่าน
ส่วนตัวเองก็รีบนั่งแท็กซี่ตามไป โชคดีที่จราจรค่อนข้างโล่ง จึงใช้เวลาไม่นาน
เมื่อฉันไปถึงก็โทรเข้ามือถือน้อง
ถามว่าอยู่ไหน น้องบอกว่าให้รอแถวประตูทางเข้า เดี๋ยวจะเดินไปรับ สักพักใหญ่ ๆ
น้องก็เดินมา เล่าให้ฟังว่าท่านผู้หญิงมาก่อนแต่โชคดีที่หากันเจอ
ฉันก็นึกว่านี่น้องฉันทิ้งผู้ใหญ่สองคนตามลำพังเหรอ แล้วก็โล่งใจเพราะท่านผู้หญิงมีคนติดตามมาด้วย
1 คน
เดินไปไม่นานก็เจอท่านผู้หญิงกับคุณแม่ จูงมือกันชวนชี้ชมต้นไม้กระหนุงกระหนิงน่ารักราวกับคุ้นเคยกันมาแสนนาน
ฉันก็รีบเข้าไปกราบทักทายท่าน ฉันเห็นแดดเริ่มมาก เลยเสนอหมวกให้
ท่านปฏิเสธบอกว่าเดี๋ยวผมเสียทรง 5555555
ท่านคงรู้แระว่าวันนี้โดนฉันถ่ายรูปไว้ลงเฟสบุ้คแน่ แต่วันนี้อากาศดีมาก
ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป เหมาะกับการเดินเที่ยวของผู้อาวุโส
ท่านผู้หญิงเดินชมสวนแบบละเมียดละไมมากค่ะ
เดินช้า ๆ ค่อย ๆ ดูไปเรื่อย ปากก็คุยนั่นคุยนี่กับคุณแม่ไม่ได้หยุด
กรุณาอย่าถามฉันว่าคุยอะไรบ้าง คุณแม่บอกว่าถ้าคุยให้ฉันได้ยิน คนทั้งสวนหลวงก็คงได้ยินไปด้วย
5555555 แต่ฉันเชื่อว่าทั้งสองมีความสุข บทสนทนาต้องสนุก เพราะหัวเราะกันเป็นระยะ
ๆ แม้แต่น้องชายที่บ่นปวดหัว ตอนแรกบอกเพราะไซนัส แต่บทสรุปเพราะขาดคาเฟอิน
มาถึงต้นหนึ่ง ซึ่งฉันจำชื่อไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าฉันไม่ใช่นักพฤกษศาสตร์ ปลูกได้ดีแต่มหาหงส์
แต่คุณแม่ชอบปลูกต้นไม้ค่ะ พอเห็นเมล็ดหล่นทั่วไปหมด ก็อยากเก็บเมล็ดไปเพาะ
ระหว่างที่คุณแม่เดินหาเมล็ดที่เหมาะสม ท่านผู้หญิงก็ช่วยมองหาด้วย
ขอบอกว่าสายตาท่านเป็นเลิศมาก เพราะท่านหยิบขึ้นมาเมล็ดหนึ่ง สีเขียวก็จริง
แต่มีต้นอ่อนงอกออกมาแล้ว!
พอเจอซุ้มนิทรรศการ เห็นซุ้มไหนสวยก็หยุดถ่ายรูปกัน
เดินมาถึงซุ้มหนึ่ง ท่านผู้หญิงบอกให้เด็กที่ติดตามช่วยถ่าย
เอาให้ติดรูปสิงห์สองตัวด้วย จริง ๆ เป็นสิงห์ตัวนึงกับกิเลนค่ะถ่ายรูปเสร็จก็เข้าไปชมให้ละเอียดว่าเขาใช้ต้นอะไรบ้าง
ท่านก็บอกว่าน่าจะเป็นซุ้มของบุญรอด เพราะสิงห์น่ะ สิงห์บุญรอดชัด ๆ
แต่กลับกลายเป็นซุ้มเมืองไทยประกันชีวิตซะงั้น
เดินไปได้สักพัก น้องชายก็หาที่ขึ้นรถกอล์ฟได้
ก็เลยขึ้นรถนั่งชมไปทั่ว มาลงพักเดินแถวที่ขายต้นไม้ คุณแม่กับน้องช็อปปิ้งดิน
และต้นไม้กันตามเคย ส่วนท่านผู้หญิงกับฉันก็เดินดูไปเรื่อย มาถึงดอกไม้ชนิดหนึ่ง
หน้าตาเหมือนชื่อ แต่ฉันจำชื่อไม่ได้แล้ว ดอกอะไรลิปสติกสักอย่างเนี่ย ฉันนึกสนุก
เอามือปิดป้ายแล้วขอให้ท่านทายว่าดอกอะไร ท่านตอบว่า...ช้าไปแล้ว
อ่านชื่อไปเรียบร้อยแล้ว... 55555555
น้องชายหายไปไหนสักพักใหญ่
ฉันคิดว่าคงไปหากาแฟกินแก้ปวดหัว
แต่เดินกลับมาพร้อมต้นอะไรสักอย่างห่ออยู่ในหนังสือพิมพ์ สูง 2 เมตร ฉันก็นึก
คุณน้องจะไปห้อยตรงไหนในบ้าน? บ้านก็ใช่ว่าจะมีที่ทางมากมายอะไร ปรากฏว่าน้องซื้อให้ท่านผู้หญิงค่ะ
น้องบอกภายหลังว่าประทับใจ ท่านเรียบร้อยมาก แล้วภาษาที่พูดก็ใช้คำโบราณ
ฉันถามว่าโบราณตรงไหน? ยกตัวอย่างมาดิ๊ สรุปความตามน้องว่า ท่านผู้หญิงน่าจะเป็นแม่พลอยสี่แผ่นดินในยุค
3G
ก่อนกลับ ก็แวะกินอาหารมื้อเช้ากันที่ร้าน s&p
ฉันเองตั้งแต่ออกจากบ้าน
น้ำสักหยดก็ยังไม่ถึงปากถึงท้อง แต่ไม่รู้สึกหิวหรือกระหาย
อาจจะเป็นเพราะอิ่มเอมใจกับช่วงเวลาในเช้านี้ ฉันสั่งกาแฟร้อนราดคาราเมล
ในขณะที่ท่านผู้หญิงสั่งเกี๊ยวน้ำ น้ำราสเบอร์รี่ร้อน 1 กา คุณแม่สั่งขนมปังกับกาแฟ
น้องชายสั่งกาแฟ ตอนที่ท่านกินเกี๊ยวน้ำ ในนั้นมีต้นหอมซอยเส้นผอม ๆ ไม่กี่เส้น
แต่ท่านก็เขี่ยออก ฉันสังเกตมาพักหนึ่งแล้วว่าท่านไม่ค่อยกินผัก วันนี้เลยถามค่ะ คำตอบที่ได้คือ ไม่อยากยิ้มสีมรกต 55555555
ระหว่างกินข้าวเช้ากัน
ท่านผู้หญิงก็เล่าเรื่องชีวิตในวัฒนารุ่นยกหมิ่นให้คุณแม่กับน้องฟัง
มีฉันกระตุ้นเป็นระยะ ท่านจำเรื่องราวหนเก่าก่อนได้เป็นอย่างดี ก็เล่ากันไป
หัวเราะกันไป น้องเริ่มสีหน้าดีขึ้นหลังจากจิบกาแฟ (ยาแก้ปวดหัว)
บรรยากาศชื่นมื่นมากค่ะ
กินเสร็จก็เดินออกมาเพื่อไปขึ้นรถ
ท่านผู้หญิงแวะซื้อลูกโป่งฝากเหลนน้อยสองคนด้วย
สักพักก็บอกฉันว่าเอ๊ะทำไมเหลือเราสองคน? 55555 แล้วแม่กับน้องของฉันหายไปไหน
เด็กของท่านผู้หญิงน่ะกำลังจ่ายเงินค่าลูกโป่งอยู่ข้างหลัง ท่านผู้หญิงสายตาดี
ช่างสังเกตเป็นเยี่ยมจริง ๆ ค่ะ เพราะท่านเห็นคุณแม่ก่อนฉัน
กำลังซื้อลูกประคำกับของกระจุกกระจิก
เราลากันด้วยการไหว้แบบไทย แถมด้วยการลาแบบสากลฉบับวัฒเนี่ยน คือกอดและหอมแก้ม
ช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงนี้จะตราตรึงในความทรงจำของฉันควบคู่กับบันทึกนี้ไปแสนนาน ความรักความเมตตาของท่านผู้หญิงเป็นประหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมหัวใจให้อบอุ่น
และมีพลังมากขึ้น ถึงจะยังคิดถึงพี่ลีอยู่
แต่ก็มีความเข้มแข็งพอที่จะเผชิญกับความอาลัยอาวรณ์ให้บรรเทาลงได้ ที่ท่านบอกว่าฉันทำให้ท่านมีความสุข
ขอบอกว่าท่านทำให้ฉันมีความสุขยิ่งกว่า ขอกราบด้วยความขอบคุณท่านเป็นที่สุดค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น