งามเอยแสนงาม
งามจริงยอดหญิงชาติไทย
อารมณ์ดี
ร้องเพลงตั้งแต่หัวเรื่องเลยนะ ฮ่า ๆ ๆ เป็นเพราะน้ำชากำลังฮิตเพลงเชย ๆ
เพลงนี้
ขออภัยที่เกิดมาตั้งเกือบครึ่งศตวรรษ เพิ่งรู้จักเพลง ๆ นี้
แล้วก็แสนจะหลงใหลในคำร้องอันไพเราะ ทำนองง่าย ๆ แต่เสนาะหู พอมาจับบทความคราวนี้ ปรึกษากับพินิจธานีแล้ว เห็นพ้องต้องกันว่าน่าจะหยิบมาตั้งชื่อเรื่อง
เนื่องจากท่านผู้หญิงสุมาลี เป็นหญิงไทยที่งามจริง ๆ น้ำชาแอบชื่นชมอยู่ห่าง ๆ
มาตั้งแต่เด็ก
เพิ่งได้พูดคุยใกล้ชิดกันก็วันนี้เอง แล้วก็พบว่าท่านผู้หญิงนั้น
งามทั้งระยะไกล และใกล้ทีเดียว
เราสามคน
สรวรรณ นพพร สรีวิมลมาถึงบ้าน Platinum Sand ก่อนใคร
(เหตุที่ไม่เรียกบ้านทรายทองเพราะบ้านสวยหลังนี้ไฮเทคกว่าบ้านทรายทองเยอะเลยค่ะ
ไฮเทคยังไงติดตามอ่านไปเรื่อย ๆ นะคะ) ระหว่างนั่งรอสมาชิกอื่น ๆ ตามมาสมทบ น้ำชาก็เดินถ่ายรูปไปเรื่อย
ถ่ายกระทั่งน้ำลำไยที่แสนอร่อย
รองเท้าแตะสำหรับใส่ในบ้าน ฯลฯ
อะไรที่ไม่เตะตาชาวโลก มักจะเตะตานพพร
พี่แดง-ปริศนาตามมาในคราบของพจมานไร้เปีย
แล้วสามทายาทคณะราษฎร์ก็จับกลุ่มถกกันถึงบรรพบุรุษของตน คนที่อากงขึ้นเรือมาจากจีนก็ถ่ายรูปต่อไป
พี่กาญจนามาก่อนหน้าพี่ลานทิพย์และครูวรรณดีไม่นาน พอครบคณะถึงเดินเข้าไปในตัวบ้านค่ะ ท่านผู้หญิงเข้ามาต้อนรับด้วยชุดสีแดงสดใส
ท่านบ่นว่าเพราะพิษการเมืองช่วงนี้ ทำให้ไม่ได้ใส่เสื้อสีแดงมานาน วันนี้วัฒนามาเยี่ยมถึงบ้าน
จึงได้โอกาสใส่เพราะเป็นสีของโรงเรียน
ห้องรับแขกมีกระจกโต๊ะเครื่องแป้งของคุณหญิงมณี..เอ่อ..ท่านผู้หญิงสุมาลีตั้งเด่นเป็นสง่า
ปัจจุบันท่านเจ้าของคงไม่ได้ใช้งานแล้ว จึงเอามาตั้งอวดในห้องรับแขก มีดอกไม้ประดิษฐ์ใส่แจกันใบโตตั้งเบื้องหน้า
สงสัยเพื่อป้องกันไม่ให้กระจกดูดย้อนกลับไปอดีตภพ อย่างไรก็ตามพวกเราก็ถ่ายภาพหมู่กันหน้ากระจกทวิภพ
เรียกว่าถ้ามันจะดูด ก็ดูดไปทั้งคณะแหละ
บ้าน
Platinum Sand กว้างขวางมาก
ท่านเจ้าของบ้านเล่าว่ามีรางรถไฟด้วย เนื่องจากคุณพ่อผู้สร้างบ้านชื่นชอบรถไฟมาก
ตอนแรกที่ฟัง น้ำชานึกว่าสมัยแรก ๆ มีรถไฟมาวิ่งอยู่ในบ้านด้วย
ฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียดซะเพี้ยนหลุดโลกไปเลย ที่ฮือฮากันทั้งคณะ
(พี่หน่อยกับพี่แดงอดดูเพราะกลับไปก่อน) ไม่ใช่ลิฟต์ในบ้าน
แต่เป็นหลังคาบ้าน...เปิดได้ค่ะ ในยามที่อากาศดี ๆ ท้องฟ้ามีดวงดาราแต่งแต้ม
ก็คงเปิดหลังคาแล้วนั่งชมดาวในบ้านได้สบาย ๆ แม้ว่าจะมีเครื่องประดับบ้านมากมาย
แต่ทุกอย่างก็ถูกจัดวางไว้ถูกที่ถูกทาง ถึงขนาดว่ามีคนพูดว่า “ของในบ้านพี่(ท่านผู้หญิง)เข้าแถวทุกอย่าง”
ซึ่งท่านผู้หญิงได้ยกประโยชน์ให้กับคุณครูตลับ
ที่ปลูกฝังความเป็นระเบียบให้เป็นอย่างดี แต่คงจะได้กับรุ่นเก่า ๆ รุ่นหลัง ๆ
ไม่ได้เรียนกับครูตลับแล้ว จึงไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยแบบเก่า ๆ โดยเฉพาะตัวน้ำชาเอง
ห่างไกลจากความเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนโลกกับพระจันทร์
เมื่อใดที่ชาววัฒนาจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องเก่า
ๆ สิ่งหนึ่งที่มักจะเป็นหัวข้อสนทนา ...ห้องน้ำห้องส้วม.. ครั้งก่อนคุณป้าจีรวัสส์เล่าให้ฟังเรื่องส้วม วันนี้ท่านผู้หญิงสุมาลีเล่าให้ฟังเรื่องห้องอาบน้ำ..เป็นครั้งแรกที่เราได้ฟังว่าสมัยก่อน
เด็กเล็ก (ป.4) เขาแก้ผ้าเดินเข้าแถวเพื่อจะเข้าไปอาบน้ำกัน แถมห้องอาบน้ำตั้งขนานไปกับซอยร่วมใจ
มีเพียงรั้วสังกะสีที่คนสามารถปีนมาแอบดูได้ โอ้จอร์จ ดีจังที่เกิดช้า ฮ่า ๆ
ใคร
ๆ
คงจะทราบกันดีว่าท่านผู้หญิงสุมาลีนั้นเป็นสตรีนักบริหารชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของเมืองไทย
ท่านมีพรสวรรค์มาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ โดยเฉพาะเรื่องการพูด โดยได้เคย “เทศน์”
ในห้องประชุมด้วย 1 ครั้ง ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจ ท่านเล่าว่าตอนนั้นท่านมีจุดเด่นคือกระโปรงนักเรียนของท่านสั้น กระโปรงมี 3 กลีบข้างหน้า
3 กลีบข้างหลัง ความที่ก้นท่านงอน จึงมีเพื่อนแซวว่า
" แหมเธอเดินก้นปัดขึ้นไปบนเวทีสง่ามาก"
เมื่อขึ้นไปถึงแท่น ก็เกิดปัญหาอีกว่า แท่นโพเดี้ยมสูงไป เพราะท่านตัวเล็ก
"อ้าว...หนูพูดไม่ได้..มองไม่เห็น" ครูก็เลยเอาเก้าอี้มาแล้วก็ให้คุกเข่าพูดบนเก้าอี้ เป็นประสบการณ์พูดหน้าโพเดี้ยมครั้งแรกที่ไม่น่าประทับใจเพราะเจ็บหัวเข่ามาก
แต่ก็ทำให้ท่านค้นพบความสามารถของตนเอง โดยปัจจุบันก็ได้ใช้พรสวรรค์นี้ระดมเงินเพื่อการกุศลอยู่เนือง
ๆ
ช่วงสงครามโลกที่วัฒนาย้ายไปที่ยกหมิ่น
ก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย เพราะพื้นที่ไม่พอที่จะเขียนถึงทั้งหมด แต่มีเรื่องตลกแนวโรมานซ์เรื่องหนึ่งที่น้ำชาชอบ
ฮ่า ๆ (ถ้าคนเขียนไม่ชอบ คนอ่านก็อดฟัง) คือในตอนนั้นด้านหลังของโรงเรียนเป็นรั้วสังกะสี แล้วเป็นตรอกชาวบ้านห้องแถว วันหนึ่ง มีคนปีนหน้าต่างเข้ามา ห้องเรียนซึ่งอยู่ติดกับรั้วค่ะ
“ทีนี้มีเพื่อนคนหนึ่งเขาสวยที่สุดในชั้น
เขาชื่อประจง ทีนี้เราก็กำลังเรียนภาษาอังกฤษ
เขาก็ใช้หนังสือของคุณอาเขา เป็นหนังสือภาคภาษาอังกฤษ
มีภาษาไทยอยู่ตัวเดียวเขียนว่า " จินตมัย" ซึ่งเป็นชื่อของอาเขา
เราก็นั่งเรียนกันอยู่ ทีนี้ไอ้คนที่ปีนรั้วขึ้นมา เราก็เห็นกัน
ครูก็สังเกตนักเรียนหันบ่อยๆ ก็เห็นมันแล้ว มันก็มองมา มองทีละคนเลย
จนถึงประจงนี่ มันก็ตะโกนขึ้นมา "จินตมัยจ๋า..ฉันรักเธอ" เราก็หัวเราะกันครืนเลย” วัยรุ่นซ่ากันทุกสมัยเลยนะ
แม้ว่าท่านผู้หญิงจะเป็นเด็กเรียนดี แต่ท่านก็มีจุดอ่อนที่กีฬา ท่านเล่าว่า “ในสมัยนั้นมีแหม่มคนหนึ่งชื่อ
แหม่ม Box เรียกกันว่ายมบาล (ท่าจะดุได้โล่) เวลาเรียกมาเข้าแถว..ต้องยืนตรง..เอามือขึ้นไว้ที่หน้าอก แล้วเอามือวิดกางออกไป เราทำไม่เข้มแข็งท่านก็ให้ทำใหม่ ยังเถียงแหม่มอีกว่า
"ถ้าทำแรงเดี๋ยวแขนหนูหลุด"...แหม่มคงเกลียดหน้าเรามาก ว่าเราเป็นพวกอ่อนแอ...ทีนี้มาวันหนึ่ง
แหม่มก็ให้เราปีนต้นไม้ ต้นจามจุรีริมสระน้ำเล็กๆหน้าตึกเรียน...มันก็จะมีกิ่งที่มันโน้มลงมา แหม่มก็ให้เราปีนแล้วก็ให้เดินไปที่ปลายแล้วก็กระโดดลงมา...เราก็เข้าแถวกัน
ก็คิดว่า...โอ้ย คุณแม่เราไม่อนุญาตให้ปีนอะไรเลยนะ มีแต่นั่งพับเพียบ
แต่ก็เดินตามคนอื่นเขาขึ้นไป...ทีนี้ตอนเวลาที่จะกระโดด ก็ร้อง"หนูลงไม่ได้
ๆ" ครูก็บอกว่า "ไม่ได้ก็อยู่ไป.." คนอื่น
ๆ ที่อยู่ข้างหลังเราเขาก็กระโดดลงไปจนหมดเหลือเราอยู่คนเดียว”
ต้องรอให้ครูไปแล้ว
เพื่อนจึงขึ้นไปช่วยท่านลงจากต้นไม้
“อีกครั้งนึง
แหม่มก็ได้ให้กระโดดข้ามท้องร่อง (สมัยนั้น วัฒนายังมีลักษณะเป็นสวน
มีท้องร่องค่ะ) เราก็สไตล์เดิม
"หนูกระโดดไม่ได้ค่ะ" แหม่มก็เหมือนเดิม คือกระโดดไม่ได้ก็อยู่ตรงท้องร่องนั่นแหละ”
ท่านจึงจำใจกระโดด แล้วก็เป็นเด็กคนเดียวที่ตกลงไปในน้ำ
เพราะข้ามไม่พ้น แหม่ม Box คงเป็นเค้าโครงของหนังเรื่องครูไหวใจร้ายใช่ไหมคะท่านผู้หญิง?
เรื่องที่น้ำชาชอบที่สุด
คือท่านบอกว่าท่านเคยได้คะแนนศูนย์ในวิชาวาดเขียนซึ่งเป็นวิชาที่ไม่น่าจะมีใครได้ศูนย์
(เป็นเพื่อนกับน้ำชาผู้สอบตกในวิชาขับร้องเลย) สาเหตุที่ได้ศูนย์เป็นเพราะครั้งนั้น
ครูสอนให้วาดจากวัตถุจริง คือให้วาดแจกัน โดยสอนให้เหยียดแขนสุดแล้วใช้ดินสอในมือเล็งแจกัน
แล้วจุดลงบนกระดาษร่างเป็นเค้าโครง
เป็นพื้นฐานศิลปะที่ทุกคนน่าจะได้เคยผ่านมา
แต่ท่านผู้หญิงของพวกเราผ่านมาอย่างเจ๋งที่สุดค่ะ ฮ่า ๆ ๆ (ขออนุญาตขำนะคะ)
ก็ในเวลา 1 คาบวิชา คนอื่นเขาวาดเป็นแจกันส่งครูได้หมด
มีแต่ของเด็กหญิงสุมาลีที่ดูไม่ออกว่าเป็นอะไร
ต่อให้ปิกัสโซ่ก็ยังไม่ cubism เท่าเลยค่ะ ตอนแรกที่ฟังท่านผู้หญิงเล่า
ยังนึกภาพไม่ออก แต่น้ำชานึกตำหนิครูวาดเขียนแล้วว่าใจร้ายจัง พอได้เห็นตัวอย่างที่ท่านวาดให้ดูแล้ว
ชักเห็นใจครูขึ้นครามครัน
ตั้งชั่วโมงวาดได้แค่นี้น่ะนะ
มันคือ Sumalee’s Code หรือเปล่าคะ?
พอการสัมภาษณ์เสร็จสิ้นลง
พี่กาญจนากับพี่ปริศนาก็ขอตัวกลับก่อน เนื่องจากนัดเพื่อน ๆ ไว้
น้ำชาจึงกินขนมจีนซาวน้ำ 2 จาน โดยอ้างว่ากินเผื่อพี่ ๆ แต่ไม่ค่อยมีคนเชื่อ ฮ่า ๆ ที่จริงขอสารภาพว่าปกติกินขนมจีนซาวน้ำไม่เป็นนะคะ แต่ที่กิน 2 จานเพราะอร่อยและเขาจัดได้น่ากินมาก
ๆ ค่ะ นอกจากขนมจีนซาวน้ำแล้ว
ก็มีปอเปี๊ยะทอดแสนอร่อย อร่อยจนอยากขอห่อกลับบ้าน ฮ่า ๆ ๆ ของหวานเป็นผลไม้รวมมิตร
และไอติมรสแปลก ๆ ขิง กระท้อน และลูกหว้าค่ะ
น้ำชาชอบไอติมกระท้อนที่สุด รสขิง กับลูกหว้าแปลกลิ้นเกินไป
แต่สรีวิมลชอบมาก บอกว่าของมีประโยชน์ น้ำชาเลยยกให้เธอกินของมีประโยชน์
เราเลือกของอร่อยไว้ก่อน จะมีหรือไม่มีประโยชน์ก็ช่าง
ก่อนจะจากลากัน
ท่านผู้หญิงได้ทิ้งท้ายไว้อย่างคมคายว่า “ในโรงเรียนวัฒนานั้น
เราถูกอบรมมาว่าให้มีการ"ให้"กัน ซึ่งการให้ต้องตั้งต้นด้วยความรัก
เราต้องรักกันก่อนแล้วจึงให้ซึ่งกันและกัน พี่ก็รักน้อง น้องก็รักพี่ พอเกิดการให้ด้วยความมีน้ำใจ..ก็จะนำไปสู่ความรักแล้วก็ทำงานร่วมกัน ดังเพลงลำธารเล็กๆ ....โอ้จงให้โอ้จงให้.....ซึ่งเมื่อลำธารเล็กๆ
มารวมกันก็จะเป็นลำคลอง ลำคลองมารวมกันก็เป็นแม่น้ำ แม่น้ำก็ไหลลงสู่มหาสมุทรที่กว้างดังใจของเรา
หากเพลงเหล่านี้ที่เราเคยร้อง...เมื่อเด็ก
ๆ เราก็ร้องไปอย่างนั้นเอง...แต่เมื่อเรามีอายุมากขึ้นเราก็จะแปลความหมายเหล่านั้นได้
พวกเราได้เห็นความงามอีกรูปแบบหนึ่งของท่านผู้หญิง
คือความประพฤติงามต่อสังคม ผ่านกิจกรรมหลากหลายอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมที่ท่านผู้หญิงได้บำเพ็ญมาตลอดจนทุกวันนี้ เราอยากจะบอกว่าท่านเป็นลำธารเล็ก ๆ ที่งดงามและยิ่งใหญ่ลำธารหนึ่งค่ะ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น