เรื่องสั้น 1 ใน 10 รางวัลสุภาว์เทวกุล เมื่อ...นมนานกาเลมาแล้ว
เรื่องสั้นนี้เขียนมานานมากแล้วค่ะ น่าจะ 10 กว่าปีแล้ว จำไม่ได้จริง ๆ ว่าเมื่อไร สำนวนโวหารห่างไกลจากความเป็น “นพพร” ในวันนี้อย่างกับกทม-ลอนดอน ตอนที่เขียนเรื่องนี้เสร็จส่งเข้าประกวดแล้ว ก็ส่งสำเนาไปให้ครูภิญโญอ่าน ครูก็โทรมาพูดถึงเรื่องสั้นเรื่องนี้ว่า... “อ่านไม่รู้เรื่อง” 5555555 ตอนนั้นแอบจิตตก โห ขนาดครูภาษาไทยอ่านไม่รู้เรื่อง จะได้เข้ารอบไหมนั่น
แต่แล้วก็ surprise มากค่ะ ในเวลาไม่นาน ก็เห็นเรื่องสั้นของเราถูกตีพิมพ์ในสกุลไทยในฐานะเป็นเรื่องที่ 2 ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารอบ แต่ก็คิดว่าน่าจะได้แค่นั้นแหละ ไม่เคยคิดว่าท้ายสุดแล้วจะได้รางวัล เหมือนฝันไป....เมื่อคืน มีพี่ ๆ อยากอ่าน ก็เลยไปค้นมา แล้วลองอ่านดู อืมม์...55555555 อะไรมันจะเคร่งขรึมขนาดนี้เนี่ยะ เชิญอ่านกันดูนะคะ ถ้าไม่เฮฮา ก็อย่าสะออนนะค้า 55555
โต๊ะหินขัดสีขาวใต้ซุ้มการเวกไม่ร้อนเกินไปในเวลาเกือบ 4 โมงเย็น แม้ว่าแดดวันนี้จะเปรี้ยงเป็นพิเศษ แต่ลมก็พัดอยู่จนใบไม้แลไหว ๆ กลิ่นหอมละมุนของดอกไม้สีเหลืองครอบคลุมบริเวณ นับว่าเหมาะสมยิ่งนักที่เจ้าของบ้านมักจะใช้เป็นที่รับแขกของเตี่ยโดยเฉพาะ
เตี่ยเป็นชายจีนอายุประมาณ 65 ปี ตลอดชีวิตได้ต่อสู้ทำมาหากินสร้างครอบครัวมา-ไม่ถึงกับร่ำรวยเป็นปึกแผ่น แต่ธุรกิจประกอบรถจักรยานในย่านจรัญสนิทวงศ์และหน้าร้าน 2 คูหาริมถนนวรจักรนี้ก็ได้เลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวร่วม 20 กว่าชีวิตให้ได้มีข้าวกิน มีที่นอน มีเสื้อใส่ มีอีกหลายต่อหลายอย่างที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอยู่ของคนกรุงเทพฯในยุควัตถุนิยม
แต่ทว่า ผู้สร้าง มากับมือกลับเป็นคนสมถะ หลังจากที่วางมือในกิจการโดยเด็ดขาดเมื่อ 2 ปีก่อน เตี่ยก็ใช้พื้นที่บนชั้นดาดฟ้าของหน้าร้านที่วรจักรนี้ปลูกต้นไม้ เตี่ยเป็นคนปลูกต้นไม้ได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นไม้บอนไซที่มีการจัดฉากสวยงาม 3-4 กระถาง อันเป็นสุดหวงถึงกับเมื่อมีคนมาขอซื้อด้วยราคาสูงลิ่วเท่าไรก็ไม่ปรากฏว่าเตี่ยจะยอมขาย
ต้นชวนชม ดอกไม้สีชมพูสวยสะแต่เต็มไปด้วยพิษสง เตี่ยก็มีอยู่นับเกือบ 10 ต้น แต่ละต้นได้ถูกบังคับเลี้ยงให้ท่วงท่าของลำต้นมีลีลาอ่อนช้อยสวยงาม เคยมีคนมาขอซื้อไปเช่นกัน แต่เตี่ยก็ปฏิเสธ
ที่มีอยู่มากมายที่สุดคือเกือบ 30 ต้น วางเรียงรายเต็มชั้นดาดฟ้านั้นคือไม้ประดับยอดนิยมของชาวจีน-โป๊ยเซียน ซึ่งเตี่ยเพิ่งเล่นไม่นานมานี่เอง แต่ละต้นจึงยังไม่โต และดอกก็มีสีสันที่หลากหลายคละกันไปเกือบจะไม่ซ้ำกัน ต้นโป๊ยเซียนนี้มีคนมาขอซื้อเช่นกัน และก็เหมือนกับทุก ๆ ต้น เตี่ยจะไม่ยอมขาย แต่ถ้าเป็นคนถูกคอกันมากพอ เตี่ยก็ยกให้ฟรี ๆ ไปพร้อมกระถางราคาแพงเลยทีเดียว
อาแหมะจากเตี่ยไปเกือบ 14 ปี ขณะที่ลูกชายคนเล็กยังกระเตาะกระแตะอยู่ เตี่ยกับอาแหมะมีลูกด้วยกัน 12 คน เป็นลูกสาวเรียงมาเลย 4 คนโต และลูกชายต่อคิวเป็นจำนวนถึง 8 คน ลูกสาวคนโตเมื่ออาแหมะเสียชีวิตอายุได้ 34 ปีก็เป็นแม่บ้านดูแลบ้านและเลี้ยงน้องเล็ก ๆ ในขณะที่เตี่ยก็ทำงานและฝึกลูก ๆ ขึ้นมาช่วยกันในการงานตลอดมาโดยไม่ได้แต่งงานใหม่แต่อย่างไร ครอบครัวใหญ่ขนาดนี้เตี่ยไม่เคยพบกับคำว่าเหงาพอ ๆ กับคำว่าสงบ เพราะพอลูกรุ่นเล็กเริ่มโตเกินกว่าที่จะกระจองอแง ลูกรุ่นโตก็แต่งงานออกหลานวัยกระจองอแงออกมาแทนอย่างต่อเนื่องถึงทุกวันนี้ หากจะถามเตี่ย ถึงจะไม่พึงพอใจกับความวุ่นวายที่เด็กเล็ก ๆ อยู่ในบ้าน แต่ก็ไม่ถึงกับรำคาญ
มันคงเป็นความเคยชินเสียมากกว่า เตี่ยรักความเคยชินของชีวิต เมื่อมีการไปซื้อที่หลายไร่ย่านฝั่งธนฯไว้เป็นส่วนผลิต เตี่ยก็ไม่ได้คิดจะย้ายไปอยู่ แม้ว่าลูก ๆ จะสนับสนุนเพราะที่นั่นกว้างขวางกว่า อากาศก็ดีกว่า แต่เตี่ยก็ยังยืนกรานจะอยู่ที่นี่ เพราะนอกจากจะเป็นสถานที่เคยคุ้นแล้ว เกือบทุกวันเตี่ยมักจะมีเพื่อนมานั่งคุย นั่งเล่นหมากรุกจีน หรือบางทีก็จิบน้ำชาร้อน ๆ คุยปรับทุกข์สุขร่วมกัน ถ้าไม่มีเรื่องส่วนตัวมาเล่าสู่กันฟังก็อาจจะวิจารณ์ความเป็นไปของสังคมในเวลานั้น ๆ
เมื่อครู่ใหญ่ ๆ ลูกสาวคนโตก็ได้ขึ้นมาแจ้งว่านายห้างลี้เพิ่งโทรศัพท์มาบอกว่าเดี๋ยวจะแวะมาเล่นหมากรุกจีนด้วย เตี่ยจึงได้สั่งให้ลูกไปซื้อขนมเปี๊ยะมาไว้กินกับน้ำชาซึ่งเตี่ยสั่งให้เตรียมชาจุ้ยเซียงไว้สำหรับสหายคนนี้
ขณะที่เตี่ยกำลังนั่งมองต้นไม้ฝ่าเปลวแดดเปรี้ยงอยู่ เสียงทักทายก่อนการปรากฏตัวก็ดังขึ้น
นายห้างลี้เป็นชายจีนร่างเล็ก อายุ 70 กว่าแต่กิริยายังคงกระฉับกระเฉง แต่งเสื้อเชิ้ตบางสีขาวสอดชายเข้ากางเกงสีเทาดำใส่เข็มขัดเรียบร้อย ผิดกับเตี่ยที่ชอบใส่เพียงเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงสามส่วนก๊วยสีกรมท่า ถ้าอากาศเย็นหน่อยก็จะมีเสื้อแจ๊คเก็ตสีแดงสวมโดยไม่ติดกระดุม นาน ๆ ทีจะเห็นเตี่ยใส่กางเกงขายาว เพราะเตี่ยนั้นจะออกไปข้างนอกน้อยมาก
หลังจากเล่นหมากรุกจีนจบไปเพียง 1 กระดาน นายห้างลี้ก็พูดขึ้นว่า
“วันนี้เล่นกระดานเดียวพอแล้ว รู้สึกใจคอไม่ค่อยมีสมาธิ”
เตี่ยมองเห็นแต่แรกแล้วว่าวันนี้นายห้างลี้มีเรื่องบางอย่างรบกวนจิตใจอยู่ ทั้งสองคบกันเป็นเพื่อนมาช้านานแล้ว ระยะหลังที่เตี่ยเกษียณตัวเองจากกิจการต่าง ๆ ก็มีการพบปะกับนายห้างลี้โดยสม่ำเสมอประมาณอาทิตย์ละครั้ง การที่นายห้างลี้มาพบในวันนี้ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานเพิ่งมาก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าคงมีปัญหาอะไรบางอย่างที่นายห้างลี้ต้องการปรึกษาใครสักคน
“ลูกสาวลื้อที่แต่งงานไปหลายคนนั้น...มีความสุขดีไหม?” นายห้างลี้ถามขึ้นก่อนจะออกตัวว่า “ที่ถามนี่ไม่ใช่ว่าจะยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวหรอกนะ”
“มีคนมาขอลูกสาวอีกซิท่า” เตี่ยเดายิ้ม ๆ “เฮียไม่เห็นต้องถามอะไรอั๊วเลย ลองมองดูสะใภ้ที่เข้ามาอยู่ในบ้านเราก็ได้ พวกเขาก็เป็นลูกสาวบ้านอื่นมาเหมือนกัน”
“จะเหมือนกันได้อย่างไร คนละบ้านกัน” นายห้างลี้เถียง “อั๊วมันเป็นคนไม่ก้าวก่ายเรื่องลูกสะใภ้ พวกเขาก็อยู่อย่างสงบพอสมควร ทีนี้ที่ถามลื้อนี่เผื่อจะรู้ว่าคนอื่นเป็นแบบไหนบ้างเท่านั้นเอง”
เตี่ยหยิบพัดใบตาลขึ้นโบกช้า ๆ ไม่ใช่ว่าร้อน แต่เวลาใช้ความคิด การทำอะไรสักอย่างเป็นจังหวะจะโคนจะช่วยให้ความคิดแล่นได้ นายห้างลี้มีลูกสาวหลายคน และทุกคนล้วนแต่เคยมีบุรุษมาหมายปองทั้งสิ้น เคยมีการทาบทามขอลูกสาวที่บ้านนี้ไม่ต่ำกว่า 10 หนแน่นอนนับแต่วันที่ลูกสาวคนโตเข้าสู่วันดรุณี แต่นายห้างลี้ไม่เคยนำมาปรึกษาเพื่อน ไม่เคยแม้แต่มาเล่าสู่กันฟัง กระนั้นเตี่ยก็ได้ยินมาจากที่อื่นว่าจวบจนบัดนี้ บ้านของนายห้างลี้ยังไม่เคยต้อนรับขบวนขันหมากเลยแม้สักครั้งเดียว จนเป็นที่พูดกันไปทั่วว่าบ้านนายห้างลี้นั้นหวงลูกสาวไม่แพ้งูจงอางหวงไข่เลยทีเดียว
“ลูกผู้หญิงแต่งงานไปมักเสียเปรียบผู้ชาย” นายห้างลี้เปรย “ตอนที่ได้อุ้มลูกสาวคนแรกในอ้อมแขนนะ ลื้อเชื่อไหม ความรักที่มีต่อลูกแล่นไปทั่วตัวและหัวใจเลย นิ่งได้เฝ้าดูพวกเขาเติบโตขึ้นมา ก็ยิ่งหลงใหล ยิ่งเสน่หา พ่อคนอื่นจะเป็นยังไง อั๊วไม่รู้หรอกนะ สำหรับอั๊ว ลูกชายเป็นความภาคภูมิใจแต่ลูกสาวนั้นเป็นความชื่นใจ”
“ก็เลยหวง อยากเก็บความชื่นใจไว้กับตัวตลอดชีวิตหรือไง”
“ไม่ใช่หวงหรอก เป็นห่วงมากกว่า กลัวว่าจะไปตกระกำลำบาก กลัวว่าผัวมันจะไม่รักลูกเราอย่างที่เรารัก”
“ของมันแหงอยู่แล้วล่ะ ผัวที่ไหนจะรักเมียอย่างพ่อรักลูกสาว” เตี่ยแหย่สหายเล่น “พ่อแม่น่ะรักลูก ห่วงใยลูกทุกคนแหละ แต่ว่าบางทีคนเป็นพ่อแม่ก็ต้องควบคุมอารมณ์ไว้บ้าง อย่าให้ห่วงเสียจนไม้เอกหายกลายเป็นหวงไป”
“แล้วมันเสียหายตรงไหนถ้าอั๊วจะหวงลูกสาวอั๊ว”
“แน่ะ ยอมรับแล้วไหมล่ะ” เตี่ยหัวเราะชอบใจ ทำให้นายห้างลี้พลอยเห็นขำไปด้วยที่ตนตกหลุมพรางของเพื่อน เตี่ยชงน้ำชาใหม่ รินใส่ถ้วยชาใบเล็ก ๆ เชื้อเชิญเพื่อนให้จิบพลางยกขึ้นจิบเองถ้วยหนึ่ง
จู่ ๆ แดดก็ร่มลงในทันใด เมฆทะมึนเคลื่อนตัวมาทำให้ท้องฟ้ามืดครึ้มลงอย่างรวดเร็ว ลมก็กรรโชกแรง มองดูคล้ายกับพายุฝนตั้งเค้าจะเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก แต่ในเวลาอันสั้นเหลือเชื่อ ไม่ทันที่ชายชราทั้งสองจะตัดสินใจทำอย่างไร กระแสลมก็เบาลงในขณะที่ก้อนเมฆดำนั้นเคลื่อนผ่านไป ฟ้าก็ค่อยขาวขึ้นจนกลายเป็นเหลืองจ้าแวบตาดังเดิม โดยไม่มีหยาดฝนตกลงมาแม้สักหยด
“ลูกสาวคนไหนล่ะคราวนี้” เตี่ยถาม
“คนเล็ก”
“อ้าว..หัวแก้วหัวแหวนนี่” เตี่ยร้องพร้อมกับหัวเราะหึ ๆ อย่างนึกขัน
“ลูกทองของแม่เขา” นายห้างลี้แก้
เตี่ยชวนนายห้างลี้ลุกขึ้นเดินชมต้นไม้เมื่อแดดได้ร่มลงแล้ว นายห้างลี้เป็นคนชอบศิลปะ ดังนั้นจึงออกจะนิยมบรรดาบอนไซของเตี่ยอยู่ครามครัน แต่ถึงจะมีความสนิทสนมมากเพียงไหนก็ไม่เคยเอ่ยปากขอของรักของเพื่อนแต่อย่างไร ด้วยเกรงว่าเอาไปปลูกดูแลเองถ้าไม่มีเวลาก็อาจจะเฉาตายให้เป็นที่เสียดายประการหนึ่ง เกรงว่าเตี่ยอาจจะปฏิเสธให้เสียความรู้สึกอีกประการหนึ่ง
การเลี้ยงให้ต้นไม้ใหญ่มากลายเป็นต้นไม้แคระแต่คงสภาพให้ดูเหมือนของดั้งเดิมต้นฉบับ หรือพูดง่าย ๆ ว่าจำลองภาพของจริงของป่ามาสู่กระถางขนาดไม่เกิน 2-3 ฟุต นั้นไม่ใช่เรื่องยากก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่เรื่องของการปอกกล้วยเข้าปาก นอกจากความรู้ความเชี่ยวชาญแล้ว ต้องอาศัยการเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ และความอดทนสูงพอสมควร ถ้าเป็นคนใจร้อนล่ะก็ลืมได้เลยกับการเลี้ยงบอนไซ โดยเฉพาะเตี่ยปลูกบอนไซแบบสร้างตำนานในแต่ละกระถาง ไม่ใช่มีเพียงต้นไม้แคระเท่านั้น แต่จะมีการจัดฉากตามแต่จินตนาการจะพาไป และเจ้าต้นไม้แคระจะให้ความร่วมมือ
เตี่ยหยิบกรรไกรมาตัดแต่งต้นหนึ่งที่เห็นว่าบางส่วนได้โผล่แหร็มออกมาตามธรรมชาติของการเติบโต หากแต่ถ้าปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ มันก็คงไม่สวยดังใจของเจ้าของ มือทำไป ปากก็ชวนคุยไป
“ใครล่ะ ว่าที่ลูกเขย”
“จะเรียกว่าที่ได้อย่างไร ยังไม่ได้ตกลงยกให้ซะหน่อย” นายห้างลี้อดแก้ไม่ได้ “ไอ้หนุ่มนี่มันเป็นเพื่อนสมัยเรียนหนังสือ”
เตี่ยหันมามองหน้านายห้างลี้พร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก
“ดูท่าทางลื้อจะไม่ค่อยยอมรับเขาสักเท่าไรนะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า เขาก็เป็นคนดี แต่อั๊วว่าลูกเรายังไม่รู้จักผู้ชายมากพอที่จะตกลงใจร่วมชีวิตด้วย” นายห้างลี้ถอนใจเฮือกใหญ่ “เด็กสมัยนี้มันทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ให้เป็นเรื่องเล็กขนาดจูงมือไปซื้อยาสีฟันได้”
“อายุเท่าไรแล้วอาหมวยน่ะ”
“31”
“ตอนเราอายุขนาดนี้ก็มีลูกเกือบครึ่งโหลกันแล้วนะ” เตี่ยตบบ่าเพื่อนเบา ๆ เชิงหยอกล้อ มีรอยขันกระจายทั่วตาคู่ฝ้าฟาง “อั๊วว่าลูกสาวลื้อคงจะคิดรอบคอบน่า เพราะอายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แถมความรู้ก็สูง คงจะศึกษาฝ่ายชายดีพอหรอก”
“ศึกษาอะไร ถามกี่ข้อ ๆ บอกอยู่อย่างเดียว หนูไม่รู้ ๆ อั๊วอยากจะคลั่งตายนัก” นายห้างลี้ทำท่าฮึดฮัด “ช่างไม่รู้เลยหรือว่าพ่อเป็นห่วง พ่อรักขนาดไหน กับเรื่องสำคัญของชีวิตยังมาทำเป็นเรื่องเล่น”
“เอ้า ใจเย็นหน่อยเถอะ อั๊วว่าที่ลูกเขาบอกไม่รู้นี่อาจจะแปลได้ว่าไม่บอกก็ได้นี่นา เฮียลี้..ลูกสาวลื้อนะที่จะแต่งงาน ไม่ใช่ตัวลื้อ ถ้าลูกเขาพอใจ ลื้อก็น่าจะยินดีสนับสนุน ภาษิตไทยเขาว่าปลูกเรือนตามใจผู้อยู่จะปลูกอู่ก็ต้องตามใจผู้นอน ไม่ใช่ตามใจคนปลูก เพราะจะสุขจะสบายก็ต้องอยู่ที่ผู้อยู่ผู้นอนถูกใจมากน้อยแค่ไหน เตียงตัวนี้ลื้ออาจจะเห็นว่ามันนิ่มเกินไป นอนแล้วจะปวดหลัง แต่คนนอนเขาอาจจะชอบนิ่ม ๆ ถ้าเขานอนแล้วหลับฝันดีได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นจะไปกลัวว่าเขาจะตื่นขึ้นมาแล้วปวดหลัง”
“แต่อั๊วกลัวลูกจะไปตกระกำลำบาก”
“พ่อแม่รักลูกได้ ปกป้องลูกได้ก็ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นแหละ เราอายุกันปูนนี้แล้ว อีกไม่นานก็ต้องกลับบ้านเก่า หรือว่าลื้อจะหอบลูกกลับบ้านเก่าด้วย”
“พูดบ้า ๆ” นายห้างลี้บ่นฮึมฮัม
เตียหัวเราะ
“อั๊วรู้” นายห้างลี้พูดอย่างครุ่นคิด “รู้ยิ่งกว่ารู้อีกว่าวัฏจักรวงจรชีวิตนั้นมีสุขกับทุกข์เป็นเครื่องปรุงแต่ง แต่คงจะเป็นเพราะความรักที่มีต่อลูกมั้ง ยังไงก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นลูกเป็นทุกข์”
“ไม่คิดบ้างหรือว่าถ้าไม่ให้แต่ง ลูกก็อาจจะเสียใจ”
รอยหม่นระคนคลางแคลงปรากฏขึ้นบนสีหน้าของนายห้างลี้ เตี่ยลอบส่ายหน้า ตัวเตี่ยเองก็เป็นคนรักลูก แต่เห็นจะไม่ถึงครึ่งของสหายคนนี้
“อย่าด่วนตีตนไปก่อนไข้เลย” เตี่ยปลอบ “ฟ้ามืดบางครั้งก็ไม่ได้แปลว่าพายุฝนจะกระหน่ำเสียเมื่อไรกัน”
นายห้างลี้มองไกลออกไป ตอนนี้ท้องฟ้ากำลังอยู่ในสภาพสบายสายตาที่สุด เมฆดำลอยอยู่ไกลลิบ..มันผ่านไปแล้ส คงไม่ย้อนกลับมาอีก แต่พายุลูกใหม่อาจจะกำลังก่อตัวอยู่เงียบ ๆ ที่ไหนสักแห่ง สายตาผู้เฒ่ากลับมามองสิ่งใกล้ตัว เพื่อนรักเดินทอดน่องชมต้นไม้ของตนอย่างสบายอารมณ์ เห็นใบไม้ไหนเหลืองก็จัดการปลิดเด็ดออกจากต้น เห็นหนอนกินใบไม้ก็คีบทิ้งไป ไม่ต่างจากความเป็นพ่อของนายห้างลี้เลยสักนิด..
สองมือของพ่อได้ทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูลูก ๆ สองมือเดียวกันนี้ได้โอบอุ้มคุ้มครองลูก ๆ ให้รู้สึกอบอุ่นปลอดภัย และสองมือที่ทำหน้าที่ล้อมกันลูกไม่ให้ออกไปจากปราการความรักของพ่อ..เพราะเชื่อมั่นว่าไม่มีที่ใดที่จะดีไปกว่านี้อีกแล้ว
ต้นไม้มีชีวิต คนก็มีชีวิต
คนมีจิตใจ แต่ต้นไม้ไม่มี
“เฮ้อ...”นายห้างลี้ถอนหายใจ “คงจะถึงเวลาแล้วใช่ไหมที่ต้นท้อในสวนพ่อจะไปออกดอกเบ่งบานให้บ้านอื่นได้ชื่นใจบ้าง”
“จะเป็นไรไปล่ะเพื่อนรัก...ยังไงก็ยังเหลือดอกท้ออยู่หลายกระถางไม่ใช่หรือ?”
สายตาสองคู่ประสานกัน แล้วต่อมาเสียงหัวเราะดังลั่นก็ได้ยินไปทั่วสวนของเตี่ย
“ไป เราไปเล่นหมากรุกกันอีกสักหลายกระดานเถอะ”
ท้องฟ้ามืดแล้ว แต่ใต้ซุ้มการเวกยังมีชายชราสองคนนั่งเล่นหมากรุกจีนภายใต้แสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุ เตี่ยโบกพัดไปมาไล่ยุงขณะที่ดวงตาจดจ่อความสนใจไปยังกระดานตรงหน้า เวลาอยู่กับเพื่อนเช่นนี้เป็นสิ่งที่เตี่ยรับรู้มาตลอดชีวิตหลายสิบปีว่ามีค่า จะเอาอะไรมาแลกเตี่ยเป็นไม่ยอม