วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

นั่งรถไฟไปนคร

ช่างสะออนในหัวใจ
เหตุการณ์บางอย่าง แม้ว่าจะผ่านไปนานแสนนาน ความที่มันทำให้หัวใจสะออน เลยจำได้แม่น ตอนนี้ต้องมีคนถามก่อนเลยว่า สะออน มันแปลว่าอะไร  ไปถามอัสนี-วสันต์ค่ะ ได้คำตอบแล้วมาบอกด้วยนะคะ 5555555 เอ้า ถ้าฉันไม่รู้ความหมายแล้วเอามาเขียนได้ไง ก็แบบว่าคำมันเท่ห์ดี เปล่าหรอกค่ะ ฉันเข้าใจความหมาย แต่ไม่รู้จะอธิบายยังไงนอกจากจะบอกว่า มันสะออนน่ะ เข้าใจไหมว่ามันสะออน 555555
ครูภิญโญ เคยเป็นชื่อที่ฉันรู้สึกเกรงขาม เกรงใจ เกรงกลัว...บอกได้เลยว่าตอนเป็นนักเรียนวัฒนา ไม่เคย รักครูภิญโญสักนิด ไม่เคยอยากใกล้ชิดแม้แต่นิดเดียวจริง ๆ ค่ะ  เพราะอะไร...เชื่อว่าหลาย ๆ คนเข้าใจ แล้วไฉนจึงกลับเป็นว่าฉันรักครูภิญโญไปได้?  ไม่เพียงแต่รัก แต่ยังเคารพในจิตวิญญาณความเป็นครูอย่างเหลือล้น เพราะพอได้ปีนข้ามกำแพงมารู้จักตัวตนครูจริง ๆ  ใครที่ได้ทำอย่างฉันคงเข้าใจ
ตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ ครูภิญโญ ครูเพ็ญเพ็ชร ครูไพจิตร เป็นเสมือน 3 แม่เสือแห่งโรงเรียนวัฒนา แต่ละคนมีความดุไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย แต่ผู้ที่ดุสุดคือครูภิญโญ ฉันจำได้ว่าสมัยเด็ก ๆ เวลาเดินไปไหน ๆ ถ้าเห็นครูภิญโญเดินมาตามโรงเตี๊ยม และมีเวลาหลบทัน ฉันจะเลี่ยงไปทันที เวลามีเพื่อนมาตามว่า นพพร ครูภิญโญเรียก ก็จะถามตัวเองไปตลอดทางว่า วันนี้เราทำไรผิดหว่า? ไม่เค้ย ไม่เคยปลอดโปร่งใจเวลาโดนครูภิญโญเรียกหา จริง ๆ ค่ะ
พอวันนี้มานึกย้อนไป ในชีวิตความเป็นนักเรียนวัฒนา ฉันยังไม่เคยโดนครูภิญโญทำโทษเลยแม้แต่ครั้งเดียว แล้วทำไมถึงได้กลัวครูนักหนา?  อาจจะเพราะตัวครูสูงใหญ่ ใส่เสื้อผ้าแบบเดียวเป็น pattern เท่าที่จำได้มีครูผินกับครูประพิธด้วยที่แต่งตัวเหมือน ๆ กันแทบทุกวัน แต่ pattern ของครูภิญโญดูน่ากลัว 55555555 ทั้ง ๆ ที่ก็เสื้อขาวเรียบ ๆ กับกระโปรงไม่มีกลีบสีดำ-น้ำตาล-กรมท่าเท่านั้นเอง แต่คงเป็นเพราะบุคลิกกับใบหน้าที่มักจะถมึงขึงขัง เวลาครูภิญโญจ้องมองใคร บางทีเราก็ไม่แน่ใจ เพราะลูกตาข้างหนึ่งมองเรา อีกข้างมองไปทางอื่น เลยเดาใจครูยาก
ตอนที่จบออกจากโรงเรียน ฉันมักจะกลับเข้าไปเดินเล่น ไปสวัสดีครูเก่า ๆ ด้วยความรักและคิดถึง แต่ไม่เคยคิดจะเข้าไปหาครูภิญโญเลยสักครั้ง
จำได้ดีว่าวันหนึ่ง ครูเสริมศรีบอกฉันว่า นพพร วันนี้มีแกงคั่วสับปะรด ไปกินไหม  ไปค่ะ ๆ ตอบอย่างลัลล้ามาก เพราะชอบแกงคั่วสับปะรดสุด ๆ นึกว่าครูเสริมศรีเป็นครูเวรกินข้าว คงพาฉันไปนั่งกินที่โต๊ะนักเรียน แต่มันยังไม่ 5 โมงนิ ครูจะจูงฉันไปไหนเนี่ยะ ทันใดนั้น ฉันก็เห็นครูผู้ใหญ่ครบทีมนั่งในห้องอาหาร อารมณ์ตอนนั้นขนลุกชัน 555555 หยุดเดินทันที ครูฮ้า...หนูไม่กินแล้วฮ่ะ มือครูเสริมศรีจับแน่นที่ข้อมือฉันยังกับผู้คุมจับนักโทษ ทำไมล่ะ เข้ามากินเถอะ และแล้วครูทั้งหมดในห้องอาหารก็หันมามองนอกห้อง สมัยก่อนมีมุ้งลวดค่ะ ถึงภาพจะไม่ชัดแต่ก็สัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิต 55555 เป็นใคร ๆ จะเข้าไปได้อย่างสบายใจมั่ง? ในเมื่อโต๊ะที่ว่ามีครูประพิธ ครูภิญโญ ครูเพ็ญเพ็ชร เป็นอาทิ เรียกว่ารวบรวมระดับหัวกระทิดุ ๆ ของวัฒนาอ่ะ หนูไม่กินจริง ๆ นะครูอ่ะ อยากร้องไห้ 555555 ไม่น่าตะกละแต่ต้นเล้ยพับเผื่อย แต่ด้วยรังสีที่ผ่านทะลุมุ้งลวดมา..มันทำให้ขาอ่อน ไร้แรงต้านทาน ในที่สุดครูเสริมศรีก็ลากฉันเข้าไปในห้องอาหารครูจนได้   ปกติห้องอาหารครูก็เป็นพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่นักเรียนไม่ได้เข้ามาเหยียบกันอยู่แล้ว นี่ยังมานั่งกินข้าวอีก? 55555 หัวเราะเสียงสั่น ๆ ค่ะ บรรยากาศตอนนั้นน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ นะคะ ฉันยังจำความรู้สีกได้ดีถึงเดี๋ยวนี้เลย หัวใจเต้นแรงมาก ๆ ความดันขึ้นจนปวดหัวตึ้บ ตอนนั้นยั๊วะครูเสริมศรีหน่อย ๆ 555555 เหงื่อก็ออกตามมือ พอเดินเข้าห้องอาหารก็ก้มหน้างุดเลย ไม่พูดอะไร ไม่ได้ไปไหว้สวัสดีครู ๆ ด้วยซ้ำไป กลัวขนาดนี้แหละค่ะคิดดู
แต่ครูเสริมศรีก็ทำเหมือนไม่รู้อะไร ตักข้าวให้แล้วก็อธิษฐานก่อนกินข้าว ระหว่างนั้นฉันนั่งใจสั่น จำไม่ได้ว่ามองอะไรรู้แต่ว่าไม่ได้มองไปทิศนั้นละกัน พอครูเสริมศรีขอบคุณพระเจ้าเสร็จก็ชวนให้ฉันกิน ฉันก็ได้แต่งึมงำ ๆ บ่นว่า ครูอ่ะ ๆ อยู่เบา ๆ เพราะในโต๊ะก็มีครูอื่น ๆ อีก และโต๊ะครูผู้ใหญ่แม้จะอยู่ในสุดติดกำแพงห้อง แต่ก็ไม่ไกลเท่าไร รังสีพุ่งมากระทบเปรี๊ยะ ๆ เป็นระยะ ๆ 555555 ครูโต๊ะอื่น ๆ ก็มองมาเหมือนกันแต่ไม่มีใครพูดอะไร หรือจะพูดก็ไม่รู้ โดนรังสีจนหูดับไปแล้ว 555555 อย่าว่าแต่หู ตาก็พร่ามัวไปหมด แต่จมูกยังดี อยากกินแกงจัง.....แต่จะกลืนลงไหมเนี่ยะ 5555555
หลังจากที่ฉันเข้าไป ไม่น่าจะเกิน 5 นาที ครูผู้ใหญ่ก็พร้อมใจกันลุกแล้วเดินออกไปเงียบ ๆ นพพรนั่งใจสั่นตัวสั่นอยู่ที่โต๊ะนั่นแหละ พอครูผู้ใหญ่เดินออกไปหมดแล้ว ครูเสริมศรีก็แซวฉันแบบหัวเราะ ๆ ว่า ไปหมดแล้ว ทีนี้กินได้แล้วนะจ๊ะ ครูอ่ะ ฉันตัดพ้อครูเสียงดังขึ้น แต่ก็กินอย่างมีความสุข อา...แกงคั่วที่คิดถึง 5555555
นั่นคือครั้งแรกที่ฉันรู้ว่าครูเหล่านั้นไม่ได้ดุร้ายอย่างที่คิด จริง ๆ แล้วครูออกจะมีเมตตาสูงด้วยซ้ำไป เพราะรู้ว่าฉันกลัวจนอึดอัดแทบหายใจไม่ออก เลยออกจากห้องอาหารไป ทั้ง ๆ ที่อาจจะยังไม่อิ่มกันเท่าไรก็ได้ มานึก ๆ ดู ฉันนี่แย่ชะมัด ไม่ไปสวัสดีครูแล้วยังทำให้ครูกินไม่เต็มที่ในมื้อนั้นอีก หากครูสามารถรับรู้ได้ในญาณวิถีใด ๆ ขอได้รับความขอบคุณอย่างเต็มตื้นจากหนูด้วยนะคะ
บุคคลแรกที่ทำให้ฉันอยากใกล้ชิดครูภิญโญ คือครูชัชว์ค่ะ ครูชัชว์บอกว่าครูภิญโญรักฉันมาก ...ครั้งแรกที่ได้ยิน จำได้ว่าเหวอเลยค่ะ แต่ครูชัชว์ก็เล่าให้ฟังว่าครูภิญโญสนิทกับครูจินตา และครูชัชว์ มักจะพูดถึงฉันให้ครูชัชว์ฟัง แต่ฉันก็ไม่ได้ถามครูชัชว์ว่าครูภิญโญพูดถึงฉันว่ายังไง ในหัวมันมึนงงค่ะว่าฉันไปทำอะไรให้ครูภิญโญรัก? 5555555 แต่ก็นะ เป็นความรู้สึกที่อบอุ่นดีค่ะ  ทำให้นึกได้ว่าเพื่อนเคยเล่าว่าตอนที่ฉันไปเมกาแล้วเขียนจดหมายมาถึงคณาจารย์โรงเรียนวัฒนาฯ นั้น ครูภิญโญเอาจดหมายฉันไปอ่านในโบสถ์ แล้วพูดชื่นชมฉัน แต่ฉันก็ยังไม่มีความคิดที่จะเข้าไปคุยกับครู หรือเขียนจดหมายถึงครูโดยตรง  บอกแล้วไงคะว่ามีกำแพงที่สูงและหนาเตอะระหว่างครูภิญโญและฉัน
แต่พอครูชัชว์พูดหลายครั้งว่าครูภิญโญรักฉัน ของงี้มันต้องพิสูจน์ 55555 ตอนนั้นครูภิญโญกลับไปอยู่นครแล้ว แต่ครูเพ็ญเพ็ชรยังอยู่ฉันจึงไปขอที่อยู่มา แล้วก็เขียนจดหมายไปถึงครู จำไม่ได้ว่าเขียนอะไรไป แต่ครูภิญโญตอบจดหมายมาค่ะ เสียดายที่จดหมายเหล่านั้นฉันเก็บไว้ แต่ย้ายที่อยู่บ่อยเกินไปทำให้สาบสูญไป เสียดายจริง ๆ ค่ะ ตอนนี้กำแพงนั้นก็บางและเตี้ยลงหน่อยแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่คิดจะข้ามอยู่ดี จนวันหนึ่งฉันไปเที่ยววัฒนาเช่นเคย ไม่รู้มีใครมาบอกฉันให้ไปหาครูภิญโญที่ตึก 5  และจากครั้งนั้นเอง กำแพงเบอร์ลินก็ถูกทำลายลง ฉันได้เห็นครูยิ้มแย้มทักทาย มีบุคลิกที่เข้าถึงได้ เหตุการณ์ผ่านมา 30 ปี ฉันจำไม่ได้ว่าคุยอะไรกับครูบ้าง จำได้แต่ว่าฉันบอกตัวเองว่า...ครูภิญโญไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย ตรงข้ามเป็นครูที่ใจดีมาก ๆ ด้วย
ตั้งแต่นั้นมา ถ้าฉันไปวัฒนา ถัดจากครูผิน ครูวรรณดี ...ครูภิญโญจะเป็นบุคคลที่ฉันถามหาว่ามาจากนครหรือเปล่า? ถ้าครูมาฉันจะต้องขึ้นไปนั่งคุยกับครูตลอด จนกระทั่งมาถึงช่วงที่ครูไม่ขึ้นกรุงเทพอีกเลย  ฉันก็เริ่มคิดแล้วว่าสักวัน...ฉันจะไปหาครูที่นครให้ได้ 
แล้ววันนั้นก็มาถึง ฉันรู้จักเพื่อนใหม่ เขาเป็นคนพัทลุง ปีหนึ่งเขาก็ชวนฉันไปเที่ยวบ้านเขาที่พัทลุง สิ่งแรกที่ฉันเรียกร้องก็คือเขาต้องพาฉันไปหาครูภิญโญที่นคร  และต้องตามหาบ้านให้เจอด้วย เขาบอกว่าสบายมาก เพราะเขาเคยเป็นนักเรียนที่นครมาก่อน รู้จักนครทะลุปรุโปร่ง
วันนั้นเจอครูเพ็ญเพ็ชรด้วย เป็นครั้งสุดท้ายที่เจอ..เพราะจากนั้นไม่นาน ครูเพ็ญเพ็ชรก็ไปอยู่กับพระเจ้าค่ะ ครูภิญโญพาไปกินขนมจีน และสอนให้กินแบบคนใต้คือใส่น้ำยา น้ำพริกและหลายๆ  อย่างรวมกัน อีตอนแรกฉันแอบแหยะมาก หนูไม่ใช่พระนะคะครู จะได้กินแบบนั้น แต่แบบว่ายังเกรง ๆ กลัว ๆ ครูอยู่ ครูบอกให้ทำอะไรก็ต้องทำ 555555 แต่ว่ามันอร่อยจริง ๆ ค่ะ ตั้งแต่นั้นมาฉันก็มักจะอ้อนครูว่าคิดถึงขนมจีนปักษ์ใต้ประจำ
นี่คือที่มา....ที่ยาวเหยียดกว่าจะเข้าเรื่อง 55555 ยังไม่ได้เข้าเรื่องอีกเหรอ?  ยังค่ะ 55555555 พอฉันกลับจากนคร ฉันก็ไปเล่าให้ครูจินตาฟัง ให้ปีหนึ่ง...ครูจินตาก็บอกฉันว่า นพพร พาครูไปเยี่ยมครูภิญโญหน่อยซิ ตึ่ง...โป๊ะ...55555555 มึนเลยค่ะแว้บแรกที่ได้ยิน ไม่ใช่แค่ครูจินตาคนเดียว ยังมีครูชัชว์อีกคน แม้ว่าจะกังวล แต่ฉันก็สนุกไปกับการวางแผนไปนครของครู ๆ  เริ่มแรกครูจินตาบอกให้จองโรงแรม เอาที่ใกล้ ๆ บ้านครูภิญโญ แล้วฉันจะรู้ไหมว่าโรงแรมไหนใกล้ เลยต้องโทรไปถามครูภิญโญ ครูภิญโญบอกให้มาค้างที่บ้านครู มีห้องเหลือ 1 ห้อง คือห้องครูเพ็ญเพ็ชร ตอนนั้นครูเพ็ญเพ็ชรเสียไปแล้วค่ะ ฟังว่าต้องไปนอนห้องครูเพ็ญเพ็ชร หัวใจฉันมันก็แสนจะสะออน 55555 เรื่องที่พักจบไป ก็มีเรื่องการเดินทางมาอีก  จะเดินทางไปอย่างไรดี? ถ้าบินไป ก็จะลำบากว่าจะไปบ้านครูยังไง เลยตัดสินใจว่าไม่บิน เมื่อไม่บินก็เหลือรถทัวร์ กับรถไฟ  มาสรุปที่รถไฟแบบตู้นอน น่าจะเป็นการเดินทางที่ปลอดภัยและสะดวกสบายที่สุดแล้ว ตอนนั้นครู ๆ ก็น่าจะ 75 อั๊พกันแล้วค่ะ แถมครูจินตามีปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่ายอีก ส่วนครูชัชว์ก็เข่าไม่ค่อยดี โอ้วววว แล้วฉันจะดูแลไหวไหมเนี่ยะ 5555555
แต่นั่นกลับเป็นอีกครั้งที่ฉันตระหนักในความเมตตาของครูทุกท่าน เนื่องจากครูเห็นฉันมาตั้งแต่เด็ก ครูจึงรู้จักและเข้าใจฉันมากกว่าที่ฉันคิดนัก ครูชัชว์กับครูจินตานอนชั้นล่างฉันนอนชั้นบน สิ่งเดียวที่ฉันเป็นห่วงคือการเดินไปห้องน้ำ แม้ว่าจะมีที่ให้เกาะจับตลอดทาง แต่ฉันก็ไม่อาจวางใจได้ เนื่องจากก่อนที่จะออกจากบ้าน ลูก ๆ ครูทั้งสองบ้านต่างฝากฝังคุณแม่ไว้กับฉัน ถ้าเกิดอะไรขึ้น ฉันรับเละแน่นอน 
แล้วไอ้ตัวฉันก็แข็งแรงเดินดีเหลือเกินนะ 555555 แต่จริง ๆแล้วการดูแลครูจินตากับครูชัชว์กลับไม่มีเรื่องน่าเป็นห่วงอย่างที่คิดเลย เรียกว่าฉันวิตกจริตไปเอง ครูทั้งสองมีความพร้อมในการเดินทางครั้งนั้นเป็นอย่างดี  พอเขาปูเตียงเรียบร้อย ก่อนจะเข้านอน ฉันก็บอกครูว่าถ้าจะเข้าห้องน้ำต้องเรียกฉันทุกครั้ง จะถี่ หรือดึกแค่ไหนก็ห้ามเกรงใจเด็ดขาด ครูก็รับปาก แต่ดูจากสายตาครูแล้ว ...สรุปนพพรไม่ต้องนอน 555555 เพราะต้องคอยแอบดูว่าครูจะลุกไปห้องน้ำตอนไหน แต่เหตุการณ์บนรถไฟก็ผ่านไปด้วยดี ทั้งขาไปและขากลับ
เราไปถึงนครตอนสาย ๆ น่าจะประมาณ 10 โมงถ้าจำไม่ผิด ครูไพจิตรมารอรับพร้อมน้องชายครูที่ขับรถมาค่ะ ไปถึงบ้านครู ฉันตื่นเต้นมาก เพราะไม่เคยขึ้นชั้นสองมาก่อน 555555 ครูมีความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายและสมถะมาก ๆ ค่ะ ลักษณะบ้านเป็นเหมือนทาวน์เฮ้าส์พอขึ้นไปก็มีห้อง 3 ห้องเรียงแถวไป หน้าห้องก็เป็นที่นั่งเล่น ลักษณะยาวๆ เรียบๆ คล้ายห้องที่ตึกห้าแหละค่ะ เมื่อขึ้นไปถึง ก็เจอโต๊ะกินข้าวที่เรียงรายไปด้วยขนมจีนและน้ำยาไม่ต่ำกว่า 7 ชนิด จำนวนที่เห็นนี่รับแขกได้สิบกว่าคนสบาย ๆ ค่ะ แต่ครูภิญโญจัดเพื่อต้อนรับเรา 3 คน
โหย ทำไมเยอะแยะนักล่ะ ครูจินตายังพูดแบบนี้เลย
นพพรเขาชอบร้านนี้ ครูภิญโญตอบ เดี๋ยวนี้ฉันมันออกไปข้างนอกไม่ไหวแล้วเลยให้ราศีไปซื้อมาเมื่อเช้านี้
ดูเอาเถอะ ครูยังจำได้เสมอว่าฉันชอบ แต่ว่ามันเยอะไปหรือเปล่านั่น????
มากันแค่ 3 คน จัดรับซะอย่างกับมา 20 คน ครูจินตาบ่น คงจะเสียดายของมั้งคะ เพราะยังไงก็กินไม่หมดหรอกค่ะ แบบว่าเยอะจริง ๆ
แล้ววัฒนาทุกรุ่น...พอเจอกันก็เม้าท์แตกกระจายจริง ๆ ฉันไม่เคยเห็นครูภิญโญพูดมาก...ไม่ใช่แล้ว เรื่องพูดมากนี่เห็นบ่อย ๆ แต่ไม่เคยเห็นครูคุยเล่นมาก่อน ประทับใจมากค่ะ ครู ๆ 4 ท่าน ครูภิญโญ ครูจินตา ครูไพจิตร ครูชัชว์ คุยกันสารพัดสารพันเรื่อง แถมบางทีใช้ภาษาปักษ์ใต้  ไอ้ฉันก็...ปกติใช้ภาษาไทยแล้วมาเม้าท์แตกต่อหน้าฉันก็ฟังไม่ทันอยู่แล้ว มาเจอภาษาต่างถิ่นเข้าก็นั่งบื้อไปเท่านั้น แต่ไม่เบื่อเลยค่ะ ได้เห็นครู ๆ ยิ้มแย้ม หัวเราะเฮฮากัน ความสุขก็เต็มตื้นหัวใจแล้วค่ะ ตามเคย นพพรถ่ายรูปแหลก ครูก็คุยไป นพพรก็ถ่ายรูปไป ถ่ายครูภิญโญเยอะสุด เพราะอยู่ไกล นาน ๆ จะมาหา ทุกทีที่มาก็ไม่เคยมีกล้องมา ครั้งนี้จึงถ่ายจนครูถามดุ ๆ ว่า เธอจะถ่ายรูปฉันเยอะไปหรือเปล่า? แต่ตอนนี้ฉันไม่กลัวครูแล้วค่ะ เลยยิ้ม ๆ แล้วกดแชตเตอร์ต่อไป จนเช้าอีกวัน ครูก็เรียกฉันมา แล้วถอดแว่นตาออก นพพร ถ่ายรูปฉันรูปนี้ แล้วพอได้แล้วนะ 55555  ที่จริง...กล้องสมัยก่อนเป็นกล้องฟิล์ม ฉันทำได้แค่ถ่ายจนหมดฟิล์ม 1 ม้วนเท่านั้น เพราะฉันถอดและใส่ฟิล์มไม่เป็น ต้องเอาไปให้ที่ร้านทำให้ ก็เลยถ่ายมาได้แค่ 36 รูป แต่ก็เป็น 36 รูปที่มีค่ามาก ส่วนภาพที่เหลือต้องเก็บไว้ในเมโมรี่สติ๊กของสมอง ทุกวันนี้ ขณะที่เขียนก็ยังจดจำภาพระเบียงหน้าห้องที่ครู ๆ 4 ท่านนั่งคุยกันหัวเราะกันได้ดี ฉันคงเสียดายแย่ถ้าไม่ได้พาครูจินตากับครูชัชว์ไปนครตอนนั้น เพราะดูเหมือนจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ท่านทั้ง 4 ได้พบกัน ในเวลาต่อมาไม่นานเท่าไร ครูไพจิตรก็จากไป  และครูภิญโญ ครูจินตาก็ตามไปในเวลาไม่กี่ปีถัดมา... แม้ว่าครู ๆ จะจากไป และฉันไม่สามารถจะไปหาครูทุกครั้งที่คิดถึงอีกแล้วก็ตาม แต่ความทรงจำเหล่านั้นยังอยู่ดี  เสียงหัวเราะ ใบหน้ากระจ่างสว่างไสวของครู ๆ ตอนเม้าท์กระจายยังคงตราตรึง และคงจะอยู่ไปอีกนาน....
พอกลับมาได้ไม่กี่วันก็สิ้นปี ครูภิญโญส่งพัสดุมาที่บ้านฉัน เป็นฟรุ้ตเค้กแสนอร่อย 3 ก้อน ให้ฉันนำไปฝากครูจินตาและครูชัชว์ด้วย หลังจากที่ฉันไปนครครั้งนั้น ครูก็เริ่มมีอาการหลงมากขึ้น หูก็ตึงจนแซงหน้าฉันไป ฉันโทรไปหาครูบ้าง เขียนจดหมายไปคุยบ้าง แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งครูโทรมาหาฉัน เพื่อจะบอกว่านิยายที่ฉันส่งไปให้อ่าน ครูอ่านไม่รู้เรื่อง 555555 ทำเอาใจเสียเลยครูอ่ะ แต่ก็เป็นนิยายที่ได้รับรางวัลคครั้งแรกและครั้งเดียวค่ะ
ครั้งสุดท้ายที่ฉันโทรไปหาครู เป็นอะไรที่ขำมากค่ะ ประมาณว่า
ครูจะบอกว่า อะไรนะนพพร
 ครูสบายดีหรือเปล่าคะ
 นพพรว่าอะไรนะฉันไม่ค่อยได้ยินแล้ว
ฉันตะโกนดัง ๆ ครูสบายดีหรือเปล่าคะ
 หนูอย่าโทรมาบ่อยนะ เปลืองสตังค์
 ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่ได้โทรบ่อยนี่คะ
นพพรว่าอะไรนะ
หนูคิดถึงครูค่ะ ครูรักษาสุขภาพด้วยนะคะ
  อะไรนะ
งั้นแค่นี้นะคะ
ว่าไงนะ
ฉันเน้นช้า ๆ ดัง ๆ ชัด ๆ แค่-นี้-นะ-คะ สวัสดีค่ะ
ว่าไงนะนพพร
ขอหนูคุยกับครูราศีได้ป่ะคะ
อะไรนะ
ครูราศีอยู่ไหมคะ ขอหนูคุยด้วยหน่อยค่ะ
อะไรนะหนู
แค่ก ๆ เริ่มเจ็บคอ 5555 งั้นหนูคุยแค่นี้ก่อนนะคะ
อะไรนะ หนูพูดดัง ๆ หน่อย ครูไม่ได้ยิน
55555555 จะได้วางสายไหมเนี่ยะ
สรุปว่าคุยแบบนี้อยู่อีก 10 นาทีได้ฉันตัดสินใจวางสายไป ขอโทษนะคะครู แบบว่าหนูไม่รู้จะทำฉันใดจริง ๆ โปรดอภัยให้หนูที่เสียมรรยาทอย่างแรงด้วยนะคะ
ค่ะ นี่เป็นเพียงเรื่องราวสนุก ๆ ส่วนหนึ่ง  ที่ฉันอยากเล่าเพื่อสะท้อนให้เพื่อน ๆ และพี่ ๆ เห็นครูในอีกภาคหนึ่ง ที่เพื่อนฉันที่พัทลุงผู้ไม่เคยรู้จักครูภิญโญมาก่อน ออกปากกับฉันว่า ครูพี่อ่องใจดีจัง 55555555 เขาจะนึกภาพครูที่เฮี้ยบจัดชนิดเป็นที่สุดแห่งความดุในบรรดาครูทั้งหลาย (ในยุคของฉัน) ออกไหมน้อ?   เฉกเช่นเดียวกันกับเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้เจอครูอีกเลย ก็คงนึกภาพครูในคราบของครูที่ใจดี มีเมตตาไม่ออกเช่นกันใช่ไหมคะ
บทความนี้ออกจะยาวเวิ่นเว้อไปหน่อย เพราะฉันเริ่มแก่ตัวก็เลยพูดมาก 5555555 แต่จุดประสงค์คือเพื่อบันทึกความจำของตัวเองไว้อ่านเองในภายหน้าด้วยค่ะ  มีหลายอย่างที่เริ่มจะจำไม่ได้  บางเรื่องราว คงไม่เป็นไรถ้าจะลืม แต่บางเรื่องราว ฉันคงเสียดายแย่ถ้าเกิดลืมเลือนไป  จริง ๆ แล้วครูภิญโญก็สอนให้ฉันรู้ว่า คนเรามองกันที่ภาพไม่ได้ บางครั้งอาจจะมีอะไรที่บดบังตัวตนจริง ๆ ของเขาซ่อนอยู่ จงให้โอกาสตัวเองในการทำความรู้จักคน ๆ นั้นอย่างถ่องแท้ อย่าแค่มองแล้วคิดไปเองว่าเขาจะเป็นยังไง เพราะบางครั้งเขาอาจจะมีสาเหตุ หรือความจำเป็นที่จะต้องแสดงออกเช่นนั้นก็ได้ จริง ๆ แล้วมนุษย์ทุกคนมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ในหัวใจด้วยกันทั้งสิ้น ลองค้นหา แล้วคุณจะพบ.

6 ความคิดเห็น:

Rarin กล่าวว่า...

อ่อง ... ขอบคุณมากๆ จ้ะ ที่เล่าเรื่องราวดีๆ ความทรงจำแจ่มๆ เรื่องครูภิญโญให้ฟังนะจ๊ะ .. พี่นีย์กะพี่เคยวางแผนกันว่าจะไปเยี่ยมครูภิญโญ .. แต่ได้ข่าวว่าช่วงหลังๆ เนี่ยครูไม่ค่อยสบาย และไม่อยากรับแขกเท่าไหร่ -- อันนี้ข้อมูลอาจจะคลาดเคลื่อนก็ได้นะจ๊ะ .. สรุปแล้วพี่นีย์กะพี่พลาดโอกาสทอง .. แต่ก็ดีใจที่อ่องได้ไปเยี่ยมท่าน แถมมีรูปมาให้ดูด้วย ... อ่องโชคดีจริงๆ ..

เอ้อ .. พี่เคยเล่ารึยังว่าพี่ได้คุยโทรศัพท์กะครูภิญโญครั้งนึง ตอนนั้นครูยังได้ยินเสียงชัดอยู่น่ะจ้ะ ... ที่มา-ที่ไปของโทรศัพท์แสนประทับใจครั้งนั้น ก็คือ พวกพี่ (รุ่น ๑๐๐ นั่นแหละ) ได้ข่าวว่าพี่เจนและคณะ (สมัยนั้นยังไม่ใช่แก๊งสุโค่ย) จะไปเยี่ยมครู แล้วก็กระจายข่าวกันต่อๆ มาว่าใครอยากจะฝากของไปเยี่ยมครูก็ได้ พี่เจนรับจะนำไปให้ ..

พวกพี่เกรงใจพี่เจน ไม่อยากให้ต้องขนของหนัก ก็เลยขอฝากปัจจัย (แปลว่าตังค์อะ) ใส่ซองไปให้ครู แล้วพี่เป็นคนนำไปให้พี่เจนที่ office (แถวๆ หอการค้า) ที่หน้าซองพี่เขียน note ถึงพี่เจนว่าเป็นซองจากรุ่น ๑๐๐ ขอรบกวนพี่เจนหน่อยนะคะ แล้วก็ลงชื่อพี่กะเบอร์โทรไว้ เผื่อมีปัญหาอะไร ... ปรากฏว่า note ที่พี่เขียนให้พี่เจน ไปถึงมือครูด้วย ครูเห็นเบอร์โทรศัพท์พี่ ก็เลยโทรมาขอบคุณด้วยตัวเอง!!!!!

ครูพูดคุยกะพี่แบบเป็นกันเองมากๆๆๆๆ น่ารัก ใจดีที่สุด ... หลังจากขอบอกขอบใจพวกพี่แล้ว ก็บอกว่าเงินที่ฝากไปให้ ครูจัดสรรไปบริจาคให้โบสถ์และ ฯลฯ เพราะครูแทบไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายอะไรแล้ว ... พี่ดีใจมากๆๆๆ ที่ได้คุยกะครู ...

สมัยที่อยู่วัฒนาฯ ครูภิญโญดูดุและน่าเกรงขามจริงๆ แต่พี่ชอบนะ .. พอจบออกมาแล้ว กลับจำคำสอนของครูภิญโญได้แม่นเลย ...

คิดถึงครูค่ะ ...

อ่อง นพพร กล่าวว่า...

พี่หนิง อ่องชอบคำของพี่หนิงค่ะ พี่ช่วยเอาไปโพสต์ลงในความคิดเห็นได้ไหมคะ อยากให้คนอื่น ๆ อ่านด้วย
ที่จริงเรื่องของครูภิญโญ มีมากกว่านั้นเยอะ แต่อ่องกลัวคนอ่านจะเบื่อ เลยเล่าแบบไม่ละเอียดนัก เอาแต่ใจความสำคัญ
พี่ตุ้มก็เล่าว่า ครูภิญโญเคยยืมตังค์พี่ตุ้มครั้งหนึ่ง แบบฉุกเฉิน ซึ่งพี่ตุ้มก็ให้ไปทันที ไม่ได้คิดอะไร จนวันหนึ่งครูเอาเงินใส่ซองมาคืน
พี่ตุ้มก็โยนเข้าตู้ไป ไม่ได้เปิดดูค่ะ จนเมื่อครูเสียไปแล้ว วันหนึ่งพี่ตุ้มถึงมาเปิดซองดู แล้วพี่ตุ้มให้อ่องดูด้วย ขนลุกเลยพี่หนิง
เป็นธนบัตรใหม่เอี่ยม แต่เป็นรุ่นเก่าสมัยในหลวงหนุ่ม ๆ อ่ะค่ะ แบบที่พวกเราเกิดมาก็ไม่ทันใช้แหละ คิดดูแล้วกัน
ไว้มีโอกาสจะขอพี่ตุ้มไปถ่ายรูปธนบัตรนั้นมาให้พี่ ๆ ดู ไม่รู้ว่าพี่ตุ้มจะโอเคป่าว 55555555

อ่อง นพพร กล่าวว่า...

น้องน้ำพริกอ่องที่รัก

ขอบคุณมั่กๆ ที่ส่งเรื่องครูภิญโญไปให้พี่อ่าน ขอบอกว่าเธอเขียนหนังสือได้น่าอ่านจริงๆ

หนุกหนานและเห็นภาพอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง เห็นหน้าและตา ท่าทาง ซ้ำได้ยินเสียงของ

ครูภิญโญด้วยล่ะ พี่อ่านไปหัวเราะไปเป็นระยะๆ จนเด็กๆ ในห้องสงกะสัยไปตามๆกัน

.....น้องอ่องเป็นคนดีจริงๆ นะ มีน้ำใจล้นเหลือ มีความกตัญญูเป็นเลิศ ขอชมจากใจจริง

ทำไปด้าย....... ตัวคนเดียวแท้ๆ กล้ารับผิดชอบ บังอาจพาครู ส.ว. ไปเที่ยวไกลๆ ได้เกิน

กว่า 1 คน อาจหาญไม่มีใครเกิน วันหลังพาพี่ไปบ้างนะ จะดูแลไหวมั้ย ?

พีเฉิดเองจ้ะ.

อ่อง นพพร กล่าวว่า...

อ่องจ๋า

ก็เหมือนที่บอกใน FB นั่นแหละว่า " ใช่เลย" ชั้นจินตนาการตาม ก็เห็นภาพอย่างชัดเจน แต่อย่างว่า ตอนเป็นเด็กเจอแบบครูภิญโญ ใครไม่กลัวก็ ตอแหล แล้ว

ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าดี ๆ นะจ๊ะ ขอให้มีอีกเรื่อย ๆ น้า แฟนคลับเรียกร้อง กรุณาทำต่อไป ห้าม (นี่คือคำสั่งของแฟนคลับ) หยุด

Miss u,

เช้ง

อ่อง นพพร กล่าวว่า...

เรื่องนี้พี่ก็ชอบมากค่ะ มองเห็นภาพ และสนุกไปด้วยค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ
พี่แดง

อ่อง นพพร กล่าวว่า...

สนุกมาก ขอบคุณเหลือเกินที่ทำให้ภาพครูแจ่มกระจ่างขึ้นมาอีกครั้งคะ
ขณะเดียวกัน ก็ได้เห็นอีกด้านหนึ่งของอ่องไปด้วย
พี่หมอบี๋
1สิงหาคม 2558