วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ดอกท้อสีทอง

เรื่องสั้น 1 ใน 10 รางวัลสุภาว์เทวกุล เมื่อ...นมนานกาเลมาแล้ว
เรื่องสั้นนี้เขียนมานานมากแล้วค่ะ น่าจะ 10 กว่าปีแล้ว จำไม่ได้จริง ๆ ว่าเมื่อไร สำนวนโวหารห่างไกลจากความเป็น นพพร ในวันนี้อย่างกับกทม-ลอนดอน ตอนที่เขียนเรื่องนี้เสร็จส่งเข้าประกวดแล้ว ก็ส่งสำเนาไปให้ครูภิญโญอ่าน ครูก็โทรมาพูดถึงเรื่องสั้นเรื่องนี้ว่า... อ่านไม่รู้เรื่อง 5555555 ตอนนั้นแอบจิตตก โห ขนาดครูภาษาไทยอ่านไม่รู้เรื่อง จะได้เข้ารอบไหมนั่น
แต่แล้วก็ surprise มากค่ะ ในเวลาไม่นาน ก็เห็นเรื่องสั้นของเราถูกตีพิมพ์ในสกุลไทยในฐานะเป็นเรื่องที่ 2 ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารอบ แต่ก็คิดว่าน่าจะได้แค่นั้นแหละ ไม่เคยคิดว่าท้ายสุดแล้วจะได้รางวัล  เหมือนฝันไป....เมื่อคืน มีพี่ ๆ อยากอ่าน ก็เลยไปค้นมา แล้วลองอ่านดู อืมม์...55555555 อะไรมันจะเคร่งขรึมขนาดนี้เนี่ยะ  เชิญอ่านกันดูนะคะ ถ้าไม่เฮฮา ก็อย่าสะออนนะค้า 55555
โต๊ะหินขัดสีขาวใต้ซุ้มการเวกไม่ร้อนเกินไปในเวลาเกือบ 4 โมงเย็น แม้ว่าแดดวันนี้จะเปรี้ยงเป็นพิเศษ แต่ลมก็พัดอยู่จนใบไม้แลไหว ๆ กลิ่นหอมละมุนของดอกไม้สีเหลืองครอบคลุมบริเวณ นับว่าเหมาะสมยิ่งนักที่เจ้าของบ้านมักจะใช้เป็นที่รับแขกของเตี่ยโดยเฉพาะ
เตี่ยเป็นชายจีนอายุประมาณ 65 ปี ตลอดชีวิตได้ต่อสู้ทำมาหากินสร้างครอบครัวมา-ไม่ถึงกับร่ำรวยเป็นปึกแผ่น แต่ธุรกิจประกอบรถจักรยานในย่านจรัญสนิทวงศ์และหน้าร้าน 2 คูหาริมถนนวรจักรนี้ก็ได้เลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวร่วม 20 กว่าชีวิตให้ได้มีข้าวกิน มีที่นอน มีเสื้อใส่ มีอีกหลายต่อหลายอย่างที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอยู่ของคนกรุงเทพฯในยุควัตถุนิยม
แต่ทว่า ผู้สร้าง มากับมือกลับเป็นคนสมถะ หลังจากที่วางมือในกิจการโดยเด็ดขาดเมื่อ 2 ปีก่อน เตี่ยก็ใช้พื้นที่บนชั้นดาดฟ้าของหน้าร้านที่วรจักรนี้ปลูกต้นไม้ เตี่ยเป็นคนปลูกต้นไม้ได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นไม้บอนไซที่มีการจัดฉากสวยงาม 3-4 กระถาง อันเป็นสุดหวงถึงกับเมื่อมีคนมาขอซื้อด้วยราคาสูงลิ่วเท่าไรก็ไม่ปรากฏว่าเตี่ยจะยอมขาย
ต้นชวนชม ดอกไม้สีชมพูสวยสะแต่เต็มไปด้วยพิษสง เตี่ยก็มีอยู่นับเกือบ 10 ต้น แต่ละต้นได้ถูกบังคับเลี้ยงให้ท่วงท่าของลำต้นมีลีลาอ่อนช้อยสวยงาม เคยมีคนมาขอซื้อไปเช่นกัน แต่เตี่ยก็ปฏิเสธ
ที่มีอยู่มากมายที่สุดคือเกือบ 30 ต้น วางเรียงรายเต็มชั้นดาดฟ้านั้นคือไม้ประดับยอดนิยมของชาวจีน-โป๊ยเซียน ซึ่งเตี่ยเพิ่งเล่นไม่นานมานี่เอง แต่ละต้นจึงยังไม่โต และดอกก็มีสีสันที่หลากหลายคละกันไปเกือบจะไม่ซ้ำกัน ต้นโป๊ยเซียนนี้มีคนมาขอซื้อเช่นกัน และก็เหมือนกับทุก ๆ ต้น เตี่ยจะไม่ยอมขาย แต่ถ้าเป็นคนถูกคอกันมากพอ เตี่ยก็ยกให้ฟรี ๆ ไปพร้อมกระถางราคาแพงเลยทีเดียว
อาแหมะจากเตี่ยไปเกือบ 14 ปี ขณะที่ลูกชายคนเล็กยังกระเตาะกระแตะอยู่ เตี่ยกับอาแหมะมีลูกด้วยกัน 12 คน เป็นลูกสาวเรียงมาเลย 4 คนโต และลูกชายต่อคิวเป็นจำนวนถึง 8 คน ลูกสาวคนโตเมื่ออาแหมะเสียชีวิตอายุได้ 34 ปีก็เป็นแม่บ้านดูแลบ้านและเลี้ยงน้องเล็ก ๆ ในขณะที่เตี่ยก็ทำงานและฝึกลูก ๆ ขึ้นมาช่วยกันในการงานตลอดมาโดยไม่ได้แต่งงานใหม่แต่อย่างไร ครอบครัวใหญ่ขนาดนี้เตี่ยไม่เคยพบกับคำว่าเหงาพอ ๆ กับคำว่าสงบ เพราะพอลูกรุ่นเล็กเริ่มโตเกินกว่าที่จะกระจองอแง ลูกรุ่นโตก็แต่งงานออกหลานวัยกระจองอแงออกมาแทนอย่างต่อเนื่องถึงทุกวันนี้ หากจะถามเตี่ย ถึงจะไม่พึงพอใจกับความวุ่นวายที่เด็กเล็ก ๆ อยู่ในบ้าน แต่ก็ไม่ถึงกับรำคาญ
มันคงเป็นความเคยชินเสียมากกว่า เตี่ยรักความเคยชินของชีวิต เมื่อมีการไปซื้อที่หลายไร่ย่านฝั่งธนฯไว้เป็นส่วนผลิต เตี่ยก็ไม่ได้คิดจะย้ายไปอยู่ แม้ว่าลูก ๆ จะสนับสนุนเพราะที่นั่นกว้างขวางกว่า อากาศก็ดีกว่า แต่เตี่ยก็ยังยืนกรานจะอยู่ที่นี่ เพราะนอกจากจะเป็นสถานที่เคยคุ้นแล้ว เกือบทุกวันเตี่ยมักจะมีเพื่อนมานั่งคุย นั่งเล่นหมากรุกจีน หรือบางทีก็จิบน้ำชาร้อน ๆ คุยปรับทุกข์สุขร่วมกัน ถ้าไม่มีเรื่องส่วนตัวมาเล่าสู่กันฟังก็อาจจะวิจารณ์ความเป็นไปของสังคมในเวลานั้น ๆ
เมื่อครู่ใหญ่ ๆ ลูกสาวคนโตก็ได้ขึ้นมาแจ้งว่านายห้างลี้เพิ่งโทรศัพท์มาบอกว่าเดี๋ยวจะแวะมาเล่นหมากรุกจีนด้วย เตี่ยจึงได้สั่งให้ลูกไปซื้อขนมเปี๊ยะมาไว้กินกับน้ำชาซึ่งเตี่ยสั่งให้เตรียมชาจุ้ยเซียงไว้สำหรับสหายคนนี้
ขณะที่เตี่ยกำลังนั่งมองต้นไม้ฝ่าเปลวแดดเปรี้ยงอยู่ เสียงทักทายก่อนการปรากฏตัวก็ดังขึ้น
นายห้างลี้เป็นชายจีนร่างเล็ก อายุ 70 กว่าแต่กิริยายังคงกระฉับกระเฉง แต่งเสื้อเชิ้ตบางสีขาวสอดชายเข้ากางเกงสีเทาดำใส่เข็มขัดเรียบร้อย ผิดกับเตี่ยที่ชอบใส่เพียงเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงสามส่วนก๊วยสีกรมท่า ถ้าอากาศเย็นหน่อยก็จะมีเสื้อแจ๊คเก็ตสีแดงสวมโดยไม่ติดกระดุม นาน ๆ ทีจะเห็นเตี่ยใส่กางเกงขายาว เพราะเตี่ยนั้นจะออกไปข้างนอกน้อยมาก
หลังจากเล่นหมากรุกจีนจบไปเพียง 1 กระดาน นายห้างลี้ก็พูดขึ้นว่า
วันนี้เล่นกระดานเดียวพอแล้ว รู้สึกใจคอไม่ค่อยมีสมาธิ
เตี่ยมองเห็นแต่แรกแล้วว่าวันนี้นายห้างลี้มีเรื่องบางอย่างรบกวนจิตใจอยู่ ทั้งสองคบกันเป็นเพื่อนมาช้านานแล้ว ระยะหลังที่เตี่ยเกษียณตัวเองจากกิจการต่าง ๆ ก็มีการพบปะกับนายห้างลี้โดยสม่ำเสมอประมาณอาทิตย์ละครั้ง การที่นายห้างลี้มาพบในวันนี้ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานเพิ่งมาก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าคงมีปัญหาอะไรบางอย่างที่นายห้างลี้ต้องการปรึกษาใครสักคน
ลูกสาวลื้อที่แต่งงานไปหลายคนนั้น...มีความสุขดีไหม? นายห้างลี้ถามขึ้นก่อนจะออกตัวว่า ที่ถามนี่ไม่ใช่ว่าจะยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวหรอกนะ
มีคนมาขอลูกสาวอีกซิท่า เตี่ยเดายิ้ม ๆ เฮียไม่เห็นต้องถามอะไรอั๊วเลย ลองมองดูสะใภ้ที่เข้ามาอยู่ในบ้านเราก็ได้ พวกเขาก็เป็นลูกสาวบ้านอื่นมาเหมือนกัน
จะเหมือนกันได้อย่างไร คนละบ้านกัน นายห้างลี้เถียง อั๊วมันเป็นคนไม่ก้าวก่ายเรื่องลูกสะใภ้ พวกเขาก็อยู่อย่างสงบพอสมควร ทีนี้ที่ถามลื้อนี่เผื่อจะรู้ว่าคนอื่นเป็นแบบไหนบ้างเท่านั้นเอง
เตี่ยหยิบพัดใบตาลขึ้นโบกช้า ๆ ไม่ใช่ว่าร้อน แต่เวลาใช้ความคิด การทำอะไรสักอย่างเป็นจังหวะจะโคนจะช่วยให้ความคิดแล่นได้ นายห้างลี้มีลูกสาวหลายคน และทุกคนล้วนแต่เคยมีบุรุษมาหมายปองทั้งสิ้น เคยมีการทาบทามขอลูกสาวที่บ้านนี้ไม่ต่ำกว่า 10 หนแน่นอนนับแต่วันที่ลูกสาวคนโตเข้าสู่วันดรุณี แต่นายห้างลี้ไม่เคยนำมาปรึกษาเพื่อน ไม่เคยแม้แต่มาเล่าสู่กันฟัง กระนั้นเตี่ยก็ได้ยินมาจากที่อื่นว่าจวบจนบัดนี้ บ้านของนายห้างลี้ยังไม่เคยต้อนรับขบวนขันหมากเลยแม้สักครั้งเดียว จนเป็นที่พูดกันไปทั่วว่าบ้านนายห้างลี้นั้นหวงลูกสาวไม่แพ้งูจงอางหวงไข่เลยทีเดียว
ลูกผู้หญิงแต่งงานไปมักเสียเปรียบผู้ชาย นายห้างลี้เปรย ตอนที่ได้อุ้มลูกสาวคนแรกในอ้อมแขนนะ ลื้อเชื่อไหม ความรักที่มีต่อลูกแล่นไปทั่วตัวและหัวใจเลย นิ่งได้เฝ้าดูพวกเขาเติบโตขึ้นมา ก็ยิ่งหลงใหล ยิ่งเสน่หา พ่อคนอื่นจะเป็นยังไง อั๊วไม่รู้หรอกนะ สำหรับอั๊ว ลูกชายเป็นความภาคภูมิใจแต่ลูกสาวนั้นเป็นความชื่นใจ
ก็เลยหวง อยากเก็บความชื่นใจไว้กับตัวตลอดชีวิตหรือไง
ไม่ใช่หวงหรอก เป็นห่วงมากกว่า กลัวว่าจะไปตกระกำลำบาก กลัวว่าผัวมันจะไม่รักลูกเราอย่างที่เรารัก
ของมันแหงอยู่แล้วล่ะ ผัวที่ไหนจะรักเมียอย่างพ่อรักลูกสาว เตี่ยแหย่สหายเล่น พ่อแม่น่ะรักลูก ห่วงใยลูกทุกคนแหละ แต่ว่าบางทีคนเป็นพ่อแม่ก็ต้องควบคุมอารมณ์ไว้บ้าง อย่าให้ห่วงเสียจนไม้เอกหายกลายเป็นหวงไป
แล้วมันเสียหายตรงไหนถ้าอั๊วจะหวงลูกสาวอั๊ว
แน่ะ ยอมรับแล้วไหมล่ะ เตี่ยหัวเราะชอบใจ ทำให้นายห้างลี้พลอยเห็นขำไปด้วยที่ตนตกหลุมพรางของเพื่อน เตี่ยชงน้ำชาใหม่ รินใส่ถ้วยชาใบเล็ก ๆ เชื้อเชิญเพื่อนให้จิบพลางยกขึ้นจิบเองถ้วยหนึ่ง
จู่ ๆ แดดก็ร่มลงในทันใด เมฆทะมึนเคลื่อนตัวมาทำให้ท้องฟ้ามืดครึ้มลงอย่างรวดเร็ว ลมก็กรรโชกแรง มองดูคล้ายกับพายุฝนตั้งเค้าจะเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก แต่ในเวลาอันสั้นเหลือเชื่อ ไม่ทันที่ชายชราทั้งสองจะตัดสินใจทำอย่างไร กระแสลมก็เบาลงในขณะที่ก้อนเมฆดำนั้นเคลื่อนผ่านไป ฟ้าก็ค่อยขาวขึ้นจนกลายเป็นเหลืองจ้าแวบตาดังเดิม โดยไม่มีหยาดฝนตกลงมาแม้สักหยด
ลูกสาวคนไหนล่ะคราวนี้ เตี่ยถาม
คนเล็ก
อ้าว..หัวแก้วหัวแหวนนี่ เตี่ยร้องพร้อมกับหัวเราะหึ ๆ อย่างนึกขัน
ลูกทองของแม่เขา นายห้างลี้แก้
เตี่ยชวนนายห้างลี้ลุกขึ้นเดินชมต้นไม้เมื่อแดดได้ร่มลงแล้ว นายห้างลี้เป็นคนชอบศิลปะ ดังนั้นจึงออกจะนิยมบรรดาบอนไซของเตี่ยอยู่ครามครัน แต่ถึงจะมีความสนิทสนมมากเพียงไหนก็ไม่เคยเอ่ยปากขอของรักของเพื่อนแต่อย่างไร ด้วยเกรงว่าเอาไปปลูกดูแลเองถ้าไม่มีเวลาก็อาจจะเฉาตายให้เป็นที่เสียดายประการหนึ่ง เกรงว่าเตี่ยอาจจะปฏิเสธให้เสียความรู้สึกอีกประการหนึ่ง
การเลี้ยงให้ต้นไม้ใหญ่มากลายเป็นต้นไม้แคระแต่คงสภาพให้ดูเหมือนของดั้งเดิมต้นฉบับ หรือพูดง่าย ๆ ว่าจำลองภาพของจริงของป่ามาสู่กระถางขนาดไม่เกิน 2-3 ฟุต นั้นไม่ใช่เรื่องยากก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่เรื่องของการปอกกล้วยเข้าปาก นอกจากความรู้ความเชี่ยวชาญแล้ว ต้องอาศัยการเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ และความอดทนสูงพอสมควร ถ้าเป็นคนใจร้อนล่ะก็ลืมได้เลยกับการเลี้ยงบอนไซ โดยเฉพาะเตี่ยปลูกบอนไซแบบสร้างตำนานในแต่ละกระถาง ไม่ใช่มีเพียงต้นไม้แคระเท่านั้น แต่จะมีการจัดฉากตามแต่จินตนาการจะพาไป และเจ้าต้นไม้แคระจะให้ความร่วมมือ
เตี่ยหยิบกรรไกรมาตัดแต่งต้นหนึ่งที่เห็นว่าบางส่วนได้โผล่แหร็มออกมาตามธรรมชาติของการเติบโต หากแต่ถ้าปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ มันก็คงไม่สวยดังใจของเจ้าของ มือทำไป ปากก็ชวนคุยไป
ใครล่ะ ว่าที่ลูกเขย
จะเรียกว่าที่ได้อย่างไร ยังไม่ได้ตกลงยกให้ซะหน่อย นายห้างลี้อดแก้ไม่ได้ ไอ้หนุ่มนี่มันเป็นเพื่อนสมัยเรียนหนังสือ
เตี่ยหันมามองหน้านายห้างลี้พร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก
ดูท่าทางลื้อจะไม่ค่อยยอมรับเขาสักเท่าไรนะ
ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า เขาก็เป็นคนดี แต่อั๊วว่าลูกเรายังไม่รู้จักผู้ชายมากพอที่จะตกลงใจร่วมชีวิตด้วย นายห้างลี้ถอนใจเฮือกใหญ่ เด็กสมัยนี้มันทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ให้เป็นเรื่องเล็กขนาดจูงมือไปซื้อยาสีฟันได้
อายุเท่าไรแล้วอาหมวยน่ะ
31
ตอนเราอายุขนาดนี้ก็มีลูกเกือบครึ่งโหลกันแล้วนะ เตี่ยตบบ่าเพื่อนเบา ๆ เชิงหยอกล้อ มีรอยขันกระจายทั่วตาคู่ฝ้าฟาง อั๊วว่าลูกสาวลื้อคงจะคิดรอบคอบน่า เพราะอายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แถมความรู้ก็สูง คงจะศึกษาฝ่ายชายดีพอหรอก
ศึกษาอะไร ถามกี่ข้อ ๆ บอกอยู่อย่างเดียว หนูไม่รู้ ๆ อั๊วอยากจะคลั่งตายนัก นายห้างลี้ทำท่าฮึดฮัด ช่างไม่รู้เลยหรือว่าพ่อเป็นห่วง พ่อรักขนาดไหน กับเรื่องสำคัญของชีวิตยังมาทำเป็นเรื่องเล่น
เอ้า ใจเย็นหน่อยเถอะ อั๊วว่าที่ลูกเขาบอกไม่รู้นี่อาจจะแปลได้ว่าไม่บอกก็ได้นี่นา เฮียลี้..ลูกสาวลื้อนะที่จะแต่งงาน ไม่ใช่ตัวลื้อ ถ้าลูกเขาพอใจ ลื้อก็น่าจะยินดีสนับสนุน ภาษิตไทยเขาว่าปลูกเรือนตามใจผู้อยู่จะปลูกอู่ก็ต้องตามใจผู้นอน ไม่ใช่ตามใจคนปลูก เพราะจะสุขจะสบายก็ต้องอยู่ที่ผู้อยู่ผู้นอนถูกใจมากน้อยแค่ไหน เตียงตัวนี้ลื้ออาจจะเห็นว่ามันนิ่มเกินไป นอนแล้วจะปวดหลัง แต่คนนอนเขาอาจจะชอบนิ่ม ๆ ถ้าเขานอนแล้วหลับฝันดีได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นจะไปกลัวว่าเขาจะตื่นขึ้นมาแล้วปวดหลัง
แต่อั๊วกลัวลูกจะไปตกระกำลำบาก
พ่อแม่รักลูกได้ ปกป้องลูกได้ก็ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นแหละ เราอายุกันปูนนี้แล้ว อีกไม่นานก็ต้องกลับบ้านเก่า หรือว่าลื้อจะหอบลูกกลับบ้านเก่าด้วย
พูดบ้า ๆ นายห้างลี้บ่นฮึมฮัม
เตียหัวเราะ
อั๊วรู้ นายห้างลี้พูดอย่างครุ่นคิด รู้ยิ่งกว่ารู้อีกว่าวัฏจักรวงจรชีวิตนั้นมีสุขกับทุกข์เป็นเครื่องปรุงแต่ง แต่คงจะเป็นเพราะความรักที่มีต่อลูกมั้ง ยังไงก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นลูกเป็นทุกข์
ไม่คิดบ้างหรือว่าถ้าไม่ให้แต่ง ลูกก็อาจจะเสียใจ
รอยหม่นระคนคลางแคลงปรากฏขึ้นบนสีหน้าของนายห้างลี้ เตี่ยลอบส่ายหน้า ตัวเตี่ยเองก็เป็นคนรักลูก แต่เห็นจะไม่ถึงครึ่งของสหายคนนี้
อย่าด่วนตีตนไปก่อนไข้เลย เตี่ยปลอบ ฟ้ามืดบางครั้งก็ไม่ได้แปลว่าพายุฝนจะกระหน่ำเสียเมื่อไรกัน
นายห้างลี้มองไกลออกไป ตอนนี้ท้องฟ้ากำลังอยู่ในสภาพสบายสายตาที่สุด เมฆดำลอยอยู่ไกลลิบ..มันผ่านไปแล้ส คงไม่ย้อนกลับมาอีก แต่พายุลูกใหม่อาจจะกำลังก่อตัวอยู่เงียบ ๆ ที่ไหนสักแห่ง สายตาผู้เฒ่ากลับมามองสิ่งใกล้ตัว เพื่อนรักเดินทอดน่องชมต้นไม้ของตนอย่างสบายอารมณ์ เห็นใบไม้ไหนเหลืองก็จัดการปลิดเด็ดออกจากต้น เห็นหนอนกินใบไม้ก็คีบทิ้งไป ไม่ต่างจากความเป็นพ่อของนายห้างลี้เลยสักนิด..
สองมือของพ่อได้ทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูลูก ๆ สองมือเดียวกันนี้ได้โอบอุ้มคุ้มครองลูก ๆ ให้รู้สึกอบอุ่นปลอดภัย และสองมือที่ทำหน้าที่ล้อมกันลูกไม่ให้ออกไปจากปราการความรักของพ่อ..เพราะเชื่อมั่นว่าไม่มีที่ใดที่จะดีไปกว่านี้อีกแล้ว
ต้นไม้มีชีวิต คนก็มีชีวิต
คนมีจิตใจ แต่ต้นไม้ไม่มี
เฮ้อ...นายห้างลี้ถอนหายใจ คงจะถึงเวลาแล้วใช่ไหมที่ต้นท้อในสวนพ่อจะไปออกดอกเบ่งบานให้บ้านอื่นได้ชื่นใจบ้าง
จะเป็นไรไปล่ะเพื่อนรัก...ยังไงก็ยังเหลือดอกท้ออยู่หลายกระถางไม่ใช่หรือ?
สายตาสองคู่ประสานกัน แล้วต่อมาเสียงหัวเราะดังลั่นก็ได้ยินไปทั่วสวนของเตี่ย
ไป เราไปเล่นหมากรุกกันอีกสักหลายกระดานเถอะ

ท้องฟ้ามืดแล้ว แต่ใต้ซุ้มการเวกยังมีชายชราสองคนนั่งเล่นหมากรุกจีนภายใต้แสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุ เตี่ยโบกพัดไปมาไล่ยุงขณะที่ดวงตาจดจ่อความสนใจไปยังกระดานตรงหน้า เวลาอยู่กับเพื่อนเช่นนี้เป็นสิ่งที่เตี่ยรับรู้มาตลอดชีวิตหลายสิบปีว่ามีค่า จะเอาอะไรมาแลกเตี่ยเป็นไม่ยอม

ไม่มีความคิดเห็น: