วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Stainless Castle ..โลหะปราสาท สถาปัตยกรรมแห่งศรัทธา

แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจอินเตอร์เน็ต        เพราะเหตุว่ามันพลิกล็อคได้เสมอ....
ตอนที่ค้นข้อมูลขี่จักรยานในอินเตอร์เน็ตครั้งก่อน...ไปอ่านเจอในเฟสบุ๊คว่าเขามีทัวร์จักรยานเที่ยวทัศนศึกษาชุมชนหลังวัดราชนัดดาราม เห็นเขียนไว้น่าสนใจมากว่ามีบ้านเก่าแก่สมัยรัชกาลที่ 5 ให้ชม อ่านแล้วก็อยากไปดูให้เป็นบุญตาสักหน เพราะชื่นชอบบ้านเก่า ๆ ประสาคนแก่ ๆ แต่ที่ไม่ได้นึกคือ...ไว้บอกเมื่อถึงเวลาดีกว่า ตอนนี้พร้อมไปเที่ยวกับน้ำชาหรือยังคะ ถ้าพร้อมก็...ลุย!
เมื่อคืนก่อนบอกเพื่อนว่าจะไปเที่ยวชุมชน เพื่อนบอกว่าไปทำไมแถวนั้น มันเป็นแหล่งอาชญากรรม ก็เถียงเพื่อนไปว่า กทม เขาคงเข้าไปเคลียร์แล้วมั้ง ไม่งั้นจะลงประชาสัมพันธ์ในเน็ตให้คนไปขี่จักรยานเที่ยวทำไม เพื่อนก็รู้ว่าคงห้ามไม่ได้ เลยอวยพรให้รอดพ้นจากนักวิ่งราว เป็นการขู่ทางอ้อมนะนั่น ดังนั้นมาเที่ยวนี้เลยพกศาตราวุธร้ายแรงที่ชื่อว่า “อำเบรลล่ะ” ติดตัวไปไว้สู้กับโจร 555555
ออกเดินทางแต่เช้าวันอาทิตย์ มารอต่อรถเมล์แยกอโศก ก็พอรู้ว่าสาย 60 แต่นั่งรอนาน เห็น 23 -72 ผ่านมาบ่อย อ่านดูไปเทเวศร์ มันก็ไปทางนั้นนะ แต่ด้วยประสบการณ์ครั้งก่อนเลยถามกระปี๋ก่อนขึ้นว่าไปเฉลิมไทยไหม? กระปี๋เซย์โน เลยนั่งรอรถต่อไป ระหว่างนั่งรอรถเกิดนึกถึงอะไรขำ ๆ นั่งอมยิ้ม มองไปมองมาสบตากับชายวัยกลางคน ๆ หนึ่ง ปิ๊ง~~~ 5555555 เขาก็เลยแสดงความอารี บอกว่าต้องขึ้นสาย 60ถึงจะไปลงหน้าเฉลิมไทย ไม่เท่านั้น พอรถมาก็เรียกให้ขึ้นรถ ขึ้นเสร็จยังดูแลให้ยืนตรงนั้นตรงนี้ พอมีคนลุกก็กันที่ไว้เรียกให้ไปนั่ง แอบนึกสงสัยถ้าเขาอยู่แถววัดราชนัดดาราม สงสัยจะได้ไกด์กิตติมศักดิ์
มาถึงบริเวณโรงหนังเฉลิมไทยเก่าในเวลาไม่นาน เดินทางตอนเช้านี่ดีอย่างนี้แหละ ถนนโล่งอากาศดี สายตาป๊ะเข้ากับโลหะปราสาทอันเลื่องลือ เลยว่า..ไหน ๆ ก็มาแล้ว ลองเข้าไปเที่ยวชมดูเป็นไร ค่าผ่านประตูแค่ 20 บาทเอง ที่จริงต้องการเวลานอกทำใจก่อนเข้าไปผจญภัยในแหล่งอาชญากรรมตามคำขู่ของเพื่อนน่ะค่ะ ถึงจะมั่นใจในโชคชะตาของตัวเองว่าคงไม่ถูกฆ่าตายอย่างน้อยก็ไม่ใช่วันนี้ 555555555
ตอนเดินมาใกล้ ๆ ปราสาท แอบเคาะดูว่าทำไมถึงชื่อโลหะปราสาท อืม มันเป็นโลหะจริง ๆ ด้วย แต่ไม่รู้ว่าเป็นเหล็กหรืออะไร ที่แน่ ๆ คือไม่มีสนิม สมัยที่สร้างใหม่ ๆ อาจจะไม่สีดำอย่างนี้ อาจจะเป็นสีเงินมันวาว คงแปลกตาทีเดียว เพราะวัดวาในไทยส่วนมากเน้นสีทอง
พอได้เข้าไปแล้วรู้สึกชอบค่ะ เหมือนเป็นใต้ถุนอาคาร ลมทะลุได้ตลอดรอบทิศ ทำให้อากาศปลอดโปร่งไม่อับทึบ ที่สำคัญคือสะอาดพอดูทีเดียว แต่ก็น่ะ...ลืมตัวไปว่า...เดี๋ยวค่อยบอกนะคะว่าลืมว่าอะไร  เดิน ๆ ไปเจอกะไดเวียนของชอบค่ะ สมัยเด็ก ๆ บ้านอากงที่นเรศมีกะไดเวียน ชอบวิ่งขึ้นลงบ่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีกิจอะไรที่ชั้นสอง แต่พอรื้อออก ก็ไม่เคยได้ไปขึ้นกะไดเวียนที่ไหนอีกเลย เขาไม่มีป้ายห้ามขึ้น ลองขึ้นไปดูดีกว่า
ขึ้นไปถึงชั้นสอง มีพระพุทธรูปวางเรียงรายมากมาย ไร้ผู้คน เดินรอบถ่ายรูปเพลิดเพลินเป็นอย่างมากค่ะ พอเดินทั่วแล้วมาที่กะไดอีกทีว่าจะลงไปแล้วเพื่อจะไปปฏิบัติภารกิจที่ชุมชนเสียที มองกะไดแล้วอดอยากรู้ไม่ได้ว่าชั้นบนมีอะไร ก็เลยไต่ขึ้นไปอีก ชั้นนี้เป็นที่ให้อ่านหนังสือค่ะ เยี่ยมมากเลยนะคะ มีที่อ่านหนังสือน่าสบายขนาดนี้ เผอิญว่าเดี๋ยวนี้อ่านหนังสือน้อยลง เพราะเล่นเน็ตมากไป สมาธิเลยสั้นลงเยอะ ไม่งั้นคงได้วางแผนหิ้วหนังสือมานั่งอ่านที่นี่สักวันแน่ ๆ เงียบสงบ วิวก็สวยค่ะ มองออกไป..เบื้องหลังหลังคาโลหะ จะเห็นภูเขาทองโดดเด่น แต่ตอนขึ้นภูเขาทองนี่เหนื่อยมาก ที่นี่ไม่เหนื่อยเลย มีเก้าอี้โซฟาให้นอน เอ๊ยนั่งอ่านหนังสืออยู่ติดหน้าต่าง อ่านไปดูวิวไป โรแมนติกน่าดูเลยแหละค่ะ
ตอนนี้ชักอยากรู้แล้วว่ากะไดจะพาไปได้สูงแค่ไหน แล้วข้างบนมีอะไร เริ่มตั้งเป้าหมายชีวิตว่า...ไม่ถึงจุดสูงสุด จะไม่ลงจากปราสาท 555555555 ชั้นที่ 3 เป็นที่สำหรับให้นั่งสมาธิ มีป้ายคำสอนเตือนใจประเทืองปัญญาติดไว้ เดินไปฉงนไปว่าที่สวย ๆ อย่างนี้ทำไมไม่มีคนมาเที่ยว? ตั้งแต่ขึ้นมาจนถึงเดี๋ยวนี้เจอนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียวเอง แต่ก็ดี เพราะถ่ายรูปได้เสรีดี..ชอบ ไม่มีคนถ่ายให้ก็ตั้งกล้องอัตโนมัติถ่ายเองก็ได้ ไม่เห็นต้องง้อผู้ใด เที่ยวครั้งหน้าต้องพกขาตั้งอันจิ๋วมาด้วย
ถัดจากชั้นนั่งสมาธิก็คือชั้นสูงสุดแล้วค่ะ เดินชมทัศนียภาพได้รอบ ตรงกลางยังยกสูงมีกะไดปูนสูงชัน แต่แค่ 4-5 ขั้นให้ขึ้นไปกราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุค่ะ ขึ้นมาถึงชั้นนี้มีพุทธศาสนิกชนชาวไทยหลายคนเลย แสดงว่าแต่ละคนมาถึงก็ direct มากราบพระบรมสารีริกธาตุเลย ไม่ได้แวะรายทางไปเรื่อยเหมือนน้ำชา
ตอนลงมาข้างล่างแล้วจะใส่รองเท้า คุณพระช่วย!!! อยู่ในวัดต้องอุทานอย่างนี้ 55555 ถุงเท้าอะฮั้นย้อมสีโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากเจ้าของ ขอถือโอกาสนี้เตือนผู้ที่จะมาเที่ยวปราสาทเลยนะคะ ใส่ถุงเท้าสีดำมาค่ะ ที่จริงตลอดรายทางก็มีเด็กถือไม้ม็อบมาเช็ดถูพื้น ถูกะไดนะคะ แต่สถานที่โปร่งโล่งและกว้าง จะให้สะอาดเดินเท้าขาวตลอดก็คงไม่ใช่
ออกจากโลหะปราสาทด้วยความประทับใจ ได้เวลาออกไปปฏิบัติภารกิจแล้ว เดินมาทางด้านหลังเจอห้องน้ำเรียงเป็นแถว เมียงมองไปเห็นสะอาดสะอ้านดี เลยเข้าไปใช้สักหน่อย 55555555
หลังวัดเป็นชุมชนขนาดเล็ก ไม่มีอะไรเลย บ้านเก่าที่ว่าก็เก่าและทรุดโทรมมาก เข้าไปเดินชมไม่ได้ด้วยว่าสัมภาระอุรังอุตังมากเลยค่ะ ผิดหวังอย่างแรงนึกว่าจะมีอะไรให้เข้าไปชมดู โชคดีที่มีโลหะปราสาท มิเช่นนั้นการเดินทางครั้งนี้คงเสียเปล่า ไม่มีอะไรมาเล่าสู่กันฟัง ขากลับต้องเดินไปขึ้นรถเมล์ไกลมาก เกือบถึงสี่แยกคอกวัวที่ไปบางลำพูครั้งก่อนทีเดียว แต่ไม่เหนื่อยค่ะ เพราะเดินไปถ่ายรูปไป อุตส่าห์ข้ามไปถ่ายรูปดอกไม้ที่เกาะกลางถนนด้วย คราวหน้าจะไปเที่ยวไหนดีหนอ? ขอ search internet ก่อนนะคะ น่าน...รู้ทั้งรู้ว่าไว้ใจไม่ได้ ยังไม่หลากจำนะ ก็...555555555.

วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Anna and เจ้าป้ากรุงสยาม

Decoupage Class Number 2
ที่จริงแตนนับว่าเป็นคนแรกที่พี่เก็จรับเป็นลูกศิษย์ แต่เพราะต้องกระพือปีกบินข้ามมหาสมุทร ข้ามทวีปมาจากอังกฤษ เลยมาถึงชั้นเรียนช้ากว่าบี้ ไหน ๆ มาช้าแล้วก็พ่วงลูกสาวมาด้วยจะเป็นไร  
นัด 10 โมง แต่ด้วยว่าถนนในกรุงเทพเป็นที่รู้ ๆ กันว่าบทจะติดนั้นสาหัสมหาโหดเพียงไหน ราว 11 โมงกว่าแตนจึงมาถึง ระหว่างรอแตน ฉันก็เตรียมเลือกของที่จะขนกลับบ้าน และถ่ายรูปของชิ้นใหม่ ๆ แต่...เอ้า..กล้องถ่ายรูปอยู่ไหนอ่ะ 555555 ดันลืมซะงั้น เง้อ...พอเพื่อนมาถึงคำถามแรก ๆ ที่ถามคือ เธอเอากล้องมาป่าว? ชีวิตนี้คงอยู่ยากหากปราศจากกล้อง ปลาหายใจทางเหงือก มนุษย์คนอื่นหายใจกันทางจมูก แต่ฉันหายใจทางกล้อง – การห้ามฉันถ่ายรูป ก็ประหนึ่งห้ามฉันหายใจ ฆ่ากันเลยดีกว่า 5555555 W E R อีกแล้วนะ
ฉันบอกให้พี่เก็จทำพานกะลาไว้สัก 20 อัน พี่เก็จบอกว่าจะบ้าเหรอ เอาไปทำอะไรเยอะแยะ – เอาไว้ไปขอตังค์ 5555555 ขอทานไฮโซ กะลาสวยจัดขนาดนี้ เปล่าหรอกค่ะไม่ได้ตอบพี่เก็จแบบนี้ แต่เอาไว้จำหน่ายไงคะ เพราะฉันชอบพานกะลาของพี่เก็จมาก พี่เก็จบ่นอุบ..หาซื้อพานก็ไม่ได้ง่าย ๆ ต้องไปเดินงานโอท็อป แล้วงานน่ะมันง่ายอยู่เหรอ ให้ทำตั้ง 20 อัน ฉันเลยบอกว่าเดี๋ยวฉันช่วยทาสี พี่เก็จมองหางตา...ชั้นไม่ไว้ใจเธอ 5555555555555
แล้วเพื่อนก็เดินทางมาถึง แอนนามาในชุดหวานน่ารักสมวัย แต่ป้าอ่องก็ยังแซวเสื้อหลานว่า decoupage ตัวเองมาเหรอ...อ้อ..ถึงหนูน้อยจะเกิดและโตในต่างแดน แต่คุณแม่ก็พากลับมาเมืองไทยเกือบทุกปี และทุกครั้งที่พูดกับลูก จะใช้ภาษาไทย ดังนั้น แอนนาจึงสื่อสารภาษาไทยได้ดีมาก ไม่งั้นป้าอ่องคงอดคุยกับหลาน เพราะเดี๋ยวนี้สมองทำงานช้า ไหนจะเรื่องไม่ได้ยินอีก
แตนหอบฟางมากองใหญ่ ฟาง napkin ...ทั้งอุปกรณ์จำเป็นอื่น ๆ ด้วย นี่ถ้าฉันทำดีคูผาดคงจะตื่นเต้นกับกองทิชชู่สวย ๆ หลากหลายนั้นแน่ ๆ ขนาดไม่ได้ทำก็ยังมานั่งดู นั่งเลือกให้พี่เก็จเลย แต่พี่เก็จไม่ชอบที่ฉันเลือกไว้ บอกว่าฉันไม่มีรสนิยม...55555555
หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอ และเยี่ยมชมสินค้าร้าน Jedvarong พอเป็นกษัยให้เกิดความมุมานะ มุ่งมั่น ไม่ย่อท้อที่จะเรียนเพื่อผลิตผลงานสวย ๆ แบบนี้..คงได้ผลกับคนอื่น แต่ไม่ใช่ฉัน ยิ่งดูก็ยิ่งขยาด ไม่กล้าลองทำ เพราะรู้และเห็นว่าการทำดีคูผาดของพี่เก็จนั้น ละเอียดลออ พิถีพิถันจริง ๆ
สายแล้ว เริ่มเรียนกันทีดีไหม? พี่เก็จเลือกถาดให้แตน ส่วนแอนนา เริ่มด้วยตระกร้าเหมือนบี้ ฉันร้องขอทาสีด้วย พี่เก็จก็ส่งถาดให้แบบไม่เต็มใจเท่าไร 5555555 เพราะฉันจะทาสีอย่างเดียวเท่านั้น ขั้นตอนที่เหลือ...มอบไว้แด่เธอ...5555555
พี่เก็จผสมสีเดียวกับตอนที่บี้มาทำ สีขาวไข่ไก่สาว...สีนี้น่าจะดูดีที่สุดแล้ว นอกจากสว่างสดใสแล้วยังขับลายได้ดี แล้วก็สอนแตนและแอนนาคร่าว ๆ จากนั้นพวกเราก็เริ่มทำงานกัน
เมื่อพวกเราเริ่มต้นทาสี แอนนามองหาครูป้าเก็จว่าอยู่ไหน? ยังไม่ทันได้สอนอะไรสักเท่าไรเลยหายไปไหนแล้ว อ้อ...ครูป้าเก็จไปเล่นโยคะ สามคน ฉัน แตน และแอนนาทาสีอย่างขะมักเขม้น ฉันเพิ่งพบสัจจะธรรมว่าถาดจักสานนั้น...ทาสี ย า ก ม า ก จริง ๆ ทาสีน่ะไม่ยากหรอก เพราะก็แค่จุ่มแปรงจุ้มสีแล้วเอามาละเลงลงบนถาด แต่ที่ยากเพราะพี่เก็จสั่งให้ 1.จุ้มสีแต่น้อย เพื่อประหยัดสี  2.ทาให้เรียบ อย่าให้สีไปกระจุกกัน  3.ช่องโหว่สีดำต้องอุดให้หมด ใครไม่รู้ว่ายุ่งยากยังไง แนะนำให้มาลองทำดูค่ะ ฉันล่ะอยากแอบหาถังเปล่ามาใบนึง เทสีลงไปในถัง แล้วจุ่มถาดทั้งใบลงไปในถังซะรู้แล้วรู้รอด รับรองทีเดียวเอาอยู่
ตอนนี้ทาไปงุงิไป แต่ไม่กล้าบ่นออกอากาศ เพราะอาสาทำเอง 555555 ทำไงแปรงถึงจะส่งสีไปตามซอกมุมได้เนี่ย เลยแอบจุ้มสีชุ่มแล้วประเคนลงไป 55555555 แต่พี่เก็จเดินมาตรวจงานตลอด เพราะว่าไม่ไว้ใจน้องผู้ไม่เคยอดทนกับอะไร ดูไปก็ส่ายหน้าไป สงสัยชั้นต้องทาใหม่ละมั้งถาดนี้...
ตระกร้าของแอนนาทาสีง่ายหน่อย เพราะสานสนิท และไม่ค่อยมีมิติ ดังนั้นจึงไม่มีรูโหว่ที่จะต้องปิดมากเหมือนถาดที่ป้ากับแม่กำลังทำ แค่ทาสียังกินเวลาเป็นชั่วโมง ๆ แถมผลงานของฉัน..ไม่ผ่านอีกต่างหาก 555555555
ถามว่าทำไมต้องทาสีให้ยุ่งยาก เพราะเครื่องจักสานส่วนมากสีเข้มค่ะ ถ้าไม่ทาสีอ่อน ๆ เวลาแปะลาย ลายจะจมจนบางทีหาไม่เจอ ก็จะทำให้งานไม่สวย ดังนั้นถ้าของที่เอามาทำมีสีเข้มแล้ว พี่เก็จจะรองพื้นด้วยสีอ่อน ๆ เป็นส่วนมากค่ะ 
หลังจากที่แอนนาทาสีเสร็จ แต่แม่กับป้ายังมะงุมมะหงาก้มหน้าก้มตาทาสีอย่างเอาเป็นเอาตาย พี่เก็จก็บอกให้ฉันเดินไปซื้อก๋วยเตี่ยวปากซอย ฉันเลยได้จังหวะทิ้งงาน 5555555 ก็ทาเท่าไร ๆ ก็ไม่ถูกใจท่านสักทีเลยชักเบื่อ ชวนแอนนาออกไปเที่ยว(ซื้อก๋วยเตี๋ยว)กันดีกว่า
นั่งรอก๋วยเตี๋ยวนานทีเดียว ไม่ใช่ว่าขายดีมากหรอกค่ะ แต่ลูกค้ารายนี้เรื่องมาก ทำยาก เก็บไว้ทำทีหลังสุด ที่เรื่องมากไม่ใช่ฉันหรอกนะ แต่เป็นพี่เก็จน่ะ 5555555 โห สั่งมาแบบละเอียด จนฉันเกือบบอกแม่ค้าว่า...เถิบไป ขอทำเอง ....55555555
พอได้ก๋วยเตี๋ยวปุ๊บ ฝนก็ลงเม็ดปั๊บ เราสองคนไม่ได้เอาทั้งร่มทั้งหมวกมา ความที่กลัวหลานจะเป็นหวัด เลยบอก ..”แอนนา..วิ่ง” แล้วสองคนก็วิ่งสุดฝีเท้าประมาณจะชิงเหรียญกรีฑาโอลิมปิคมาฝากพี่น้องชาวไทย ...กี่เมตรนะคะพี่เก็จ? ระยะทางจากปากซอยกับบ้านพี่น่ะ อีตอนแรกก็วิ่งเร็วดีหรอก ลมปะทะหน้าตึง ๆ แต่วิ่ง ๆ ไปแรงลมชักเฉื่อย ประทับใจแอนนามาก ตรงที่วิ่งตีคู่กับฉันตลอดทุกความเร็วและความช้า ไม่ว่าฉันจะบอกให้วิ่งเข้าบ้านไปก่อนเลย เดี๋ยวป้าตามไป แต่แอนนาก็ยังคงอยู่เคียงข้างไม่ทิ้งป้าแก่ ๆ ไว้ข้างถนน
ไอ้เราเลยแย่เลย ว่าจะหยุดแล้วเดินตากฝนเอา เพราะเหนื่อยมาก แต่ก็ห่วงหลานจะตากฝนเป็นหวัดเอา ฝนไทยกับฝนอังกฤษไม่เหมือนกันนะหลานเอ๊ย กว่าจะมาถึงเส้นชัย แทบลงไปนอนกับพื้น …I need oxygen…
แอนนากินง่ายแถมท่าทางเอร็ดอร่อย ผิดกับเด็กที่โตเมืองนอกหลายคนที่ฉันเจอ ตอนที่พี่เก็จเอาน้อยหน่ามาให้กิน แอนนาก็ลองชิมเนื้อน้อยหน่าที่ฉันเลือกส่วนไม่มีเม็ด เมื่อเห็นว่าหลานชอบก็ค่อยให้กินแบบมีเม็ด สอนว่าต้องปลิ้นเม็ดออกด้วย ซึ่งหนูน้อยก็ทำได้ดี
หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็มาเลือกลาย แอนนาไปมุงทิชชู่ของพี่เก็จ 555555 แบบว่ามีลายการ์ตูนเยอะ ถูกโฉลกเด็กกว่าลายดอกไม้ที่แม่ขนซื้อมาแทบไปตั้งแผงขายที่เจเจได้ ส่วนแตนก็เลือกเอาจากทิชชู่ที่หอบหิ้วมา จริง ๆ ที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาจำนวนมากนี้ เพื่อให้พี่เก็จเลือกไว้ใช้ด้วยค่ะ แต่น่ะ...คุณพี่เก็จ...อันนี้พี่มีแล้ว อันนั้นลายใหญ่ไปไม่ชอบทำลายใหญ่ ๆ อันนู้น ฯลฯ ฉันว่าพี่เก็จคงจะชอบที่จะไปเดินช็อปปิ้งมากกว่าระบบขายตรงถึงบ้านมั้ง 
แล้วพี่เก็จขา...ลายที่มีแล้ว จะมีเพิ่มไม่ได้เหรอ? 
ไม่ได้...เบื่อ...
งั้นถ้าพี่ทำครบทุกลายที่มีผลิตมาในโลกนี้แล้ว มิต้องเลิกทำเหรอคะ 55555555
แอนนาเลือกได้ลายหมูหรรษา ส่วนแตนก็เอาลาย English rose จริง ๆ มีชื่อแบบเป็นทางการค่ะ แต่ลืมไปแล้ว ต้องไปถามกูรูแตน  คุณเธอหาซื้อทิชชู่จากอีเบย์ ซะรู้จักชื่อลายเยอะเลย เรียกว่าอีกหน่อยคงได้ปริญญาทาง napkinologist เป็นคนแรกของโลกแน่
ระหว่างที่คุณลูกฉีกหมู คุณแม่ฉีกกุหลาบ (ไม่ต้องถามถึงคุณป้าอ่องนะ 555555) คุณป้าเก็จก็บอกว่าจะสอนเทคนิคใหม่ เรียกว่า...สาวน้อยปะแป้งละกันค่ะ วิธีทำคือผสมสีชมพู เอานิดเดียวพอ แล้วเอาฟองน้ำแห้ง ๆ แตะ ๆ มาผัด ๆ บนกระดาษ เหมือนผู้หญิงเราใช้พัฟทาแป้งน่ะค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเท่าไร เพราะมันเหมือนว่าสีเลอะ แต่พอภายหลังงานเสร็จ ก็ดูแปลกตาไปอีกแบบ เหมือนแสงเรื่อ ๆ ของรุ่งอรุณ มองนาน ๆ ก็จะได้กลิ่นอ่อน ๆ ของกุหลาบยามเช้า แว่วเสียงกระพือปีกของผีเสื้อตัวจ้อย 5555555555555 ขนาดตะโกนคุยยังหาหลายหา แต่ไปแว่วเสียงกระพือปีกของผีเสื้อเนี่ยะนะ  วิญญาณนักประพันธ์(ที่ตายไปแล้วเพราะไส้แห้ง) เข้าสิง...
ข้างแอนนา พอฉีกหมูเสร็จ ก็นั่งวางแปลนว่าหมูตัวไหนควรอยู่มุมไหนบ้าง โดยมีครูป้าเก็จให้คำปรึกษาแนะแนว แอนนาชอบหมูถือลูกโป่ง แต่พื้นที่ไม่เอื้ออำนวย เลยถามป้าเก็จว่าหนูจะแปะไว้ที่ก้นตระกร้าด้วยได้ไหมคะ ....ย่อมได้ซิจ๊ะ ระหว่างที่แม่แตนและป้าเก็จรุมปะแป้งถาดสาวน้อย แอนนาก็วางแปลนไว้เรียบร้อย พอสาวน้อยถูกปะแป้งเสร็จ ระหว่างแตนวางลาย พี่เก็จก็มาสอนหลานติดลาย เอ้อ...ดูเหมือนจะข้ามขั้นตอนการทากาวไปหรือเปล่า?  5555555 เอาเป็นว่าขอแทรกการทากาวไว้ก่อนฉีกทิชชู่นะคะ เพราะต้องทิ้งไว้ให้แห้งก่อน
ในเวลาไม่นานนัก ตระกร้าหมูน้อยก็เสร็จสมบูรณ์ แอนนาใจเย็น และทำงานได้ neat กว่าป้าเยอะเลยค่ะ ส่วนของแม่..ยังวางลายไม่ถูกใจซะที ตอนนี้สามีแตนเริ่มโทรมาตามแล้ว ในขณะที่สามีพี่เก็จก็กลับถึงบ้าน ตาโตเมื่อเห็นบ้านที่เคยโล่งสะอาดตา เต็มไปด้วยสัมภาระดีคูผาด ออกไปขี่จักรยานดีกว่า 5555555 ส่วนแตนก็เร่งสปีด เพราะเกรงใจทั้งสามีครูและสามีตัวเอง
แต่งานชิ้นใหญ่ การวางแผน วางลายไม่ใช่เรื่องง่าย  เมื่อทำเสร็จแล้ว มอง ๆ ดู ตรงกลางวันมันดูโล่ง ๆ ตอนนี้หน้าฝน...เจ้าดอกวัชพืชเลยงอกงามออกมาหน่อย เมื่อดอกไม้งามเต็มตาซะขนาดนี้ เหล่าภุมริน ..เอ้อ ผึ้งสวย ๆ หายาก เลยโทรเรียกสหาย butterfly มาเชยชมสักหน่อย ทีแรกตัวเบิ้ม ๆ มาค่ะ แต่ทั้งพี่เก็จทั้งแตนไล่ออกไป บอกว่าแย่งซีนดอกไม้ไปหน่อย ผีเสื้อใหญ่เลยส่งลูก ๆ มาแทน...
ไม่มีเวลาเคลือบงานของแตน ต้องหอบกลับไปเคลือบที่บ้าน แต่แอนนาทำเป็นค่ะ เดี๋ยวแอนนาสอนแม่เอง
คลาสนี้กินเวลายาวนานกว่าคลาสแรก เรียกว่ากว่าจะเสร็จก็ห้าโมงได้ แต่ทั้งแม่ลูกก็ได้ผลงานที่น่าภาคภูมิใจกลับไปคนละชิ้น โดยเฉพาะแอนนานั้นเห่อมากค่ะขอบอก ไม่วางตระกร้าเลย ขนาดขึ้นรถก็ยังถือไว้ตลอด กลับไปถึงบ้านยังหยิบมาเชยชมเองบ่อย ๆ (อันนี้ป้าติ่งเม้าหลานให้ฟังค่ะ) ส่วนแตนบอกว่าแอนนากำลังคิดว่าจะทำอะไรอีกดี  ติดใจแล้วล่ะซิหลานเอ๊ย.