อิ่มใดไหนจะเท่าอิ่มอกอิ่มใจ
หลังจากที่ได้ไปกราบเยี่ยมคุณป้าประภา ยศสุนทรด้วยกันแล้ว
ฉันก็คิดว่าจะลงรถที่หน้าบ้านท่าน แล้วจับรถเมล์กลับบ้าน
แต่ท่านผู้หญิงบอกว่าเราไปกินข้าวกันที่ไหนดี ฉันเลยเสนอว่าสีฟ้า
เพราะรู้ว่าท่านชอบกินขนมเบื้องญวนของร้านนี้ พอรถเลี้ยวเข้าที่จอดรถ
ท่านเกิดนึกได้ว่าทำไมเราถึงไม่ชวนพี่ด้ามาด้วยกัน?
ฉันก็เลยส่งมือถือของฉันให้ท่านเพื่อเรียกพี่ด้ามา แต่ท่านก็บอกว่า อย่าเลย
เพราะพี่ด้าอาจจะติดธุระก็ได้ มื้อนี้จึงเป็นมื้อแรกที่ได้กินข้าวกับท่านสองคน ฉันรู้สึกตื่นเต้น
ไม่รู้ว่าจะประหม่าทำอะไรเปิ่น ๆ หรือเปล่า?
ถึงจะเคยกินข้าวกับท่านมาหลายมื้อแล้วก็ตาม แต่ไม่เคยกินข้าวกันตามลำพังมาก่อน
มีโต๊ะให้เลือกไม่มาก เราได้โต๊ะติดถนน ฉันให้ท่านนั่งด้านที่หันหน้าออกถนน
เมื่อนั่งแล้ว ท่านก็สั่งขนมเบื้องญวนทันที ส่วนฉันเลือกข้าวผัดปู ระหว่างรออาหารมา
ฉันก็หยิบมือถือมาเปิดให้ท่านดูรูปที่ถ่ายที่บ้านคุณป้าประภา
ขอเล่าถึงตอนไปบ้านคุณป้าประภาแป๊บนึงนะคะ ตอนไปถึงบ้านป้าประภา
เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องเวลานัดหมาย
คือทางบ้านคุณป้าเข้าใจว่าคณะเราจะมาตอนบ่าย แต่จริง ๆ ฉันบอกไปว่าประมาณ
10.30-11.00 น. เราก็เลยต้องนั่งรอคุณป้าประภาเตรียมพร้อม แต่ก็ไม่นานมากหรอกค่ะ
ก่อนหน้านี้คุณลุงดวงก็ออกมาคุยกับท่านผู้หญิง เพราะรู้จักคุ้นเคยกันอยู่
อย่าถามว่าคุยอะไรกันนะคะ รู้ ๆ อยู่ 555555
สิ่งที่ประทับใจคือเมื่อคุณป้าประภาเข้ามาในรถเข็น จัดที่นั่งเรียบร้อยแล้ว
ท่านผู้หญิงก็เข้าไปย่อตัวกราบรุ่นพี่กับอก แล้วจับมือพูดทักทาย ถึงจะไม่ได้ยิน
แต่ก็สามารถเดาน้ำเสียงจากกิริยาท่าทางได้ว่าอ่อนโยน อบอุ่นแน่ ๆ
คุณป้ายังตื่นไม่เต็มตา ท่านผู้หญิงก็กลับมานั่งคุยกับคุณลุงดวงต่อ
พอตอนลากลับคุณป้าประภาตื่นเต็มที่แล้ว ถึงคุณป้าประภาจะไม่ได้พูดอะไร
แต่สีหน้าและแววตาบ่งบอกชัดว่าคุณป้าดีใจที่เห็นท่านผู้หญิงมาเยี่ยม
ท่านผู้หญิงได้คุกเข่าลงข้าง ๆ เพื่อถ่ายรูปกับคุณป้าแม้ว่าจะลุกลำบากแต่ท่านก็ทำ
แสดงให้เห็นว่าท่านมีความเคารพรุ่นพี่จากน้ำใสใจจริง
กลับไปที่โต๊ะกินข้าวนะคะ พอท่านดูรูปจากมือถือเสร็จ ท่านก็ถามว่าถ่ายยังไง
อยากรูปฉัน...โหย ตื่นเต้นมากเลย ไม่รู้จะโพสต์ท่ายังไงให้ตากล้องกิตติมศักดิ์
นั่งซะเรียบร้อยเชียว แต่ท่านผู้หญิงกดผิดซะงั้น 555555 เก้อเลย ต้องสอนกันใหม่ค่ะ
คราวนี้ relax แล้ว ถ่ายเสร็จฉันก็ขอถ่ายท่านมั่ง
แล้วส่งให้ท่านดู ท่านก็บอกว่าอยากถ่ายฉันหน้าเต็มจอแบบนี้บ้าง
ฉันเลยต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ กล้อง โพสต์หน้าแอ๊บแบ๊ว ตอนนี้ไม่เขินแล้ว
(ปรับตัวไวเนอะ 5555) รูป 3 รูปที่ถ่ายโดยท่านผู้หญิงนี้ว่าจะไปอัดเก็บไว้เป็นที่ระลึกค่ะ
แล้วฉันก็ขอถ่ายรูปท่านบ้าง วัฒเนี่ยนสองรุ่นสลับกันถ่ายรูปเป็นที่เพลิดเพลิน
จนกระทั่งท่านเปรยขึ้นมาว่าโบราณเขาถือว่าถ่ายรูปมากอายุสั้น อ่าว...555555
ฉันเก็บกล้องทันที ไม่ใช่กลัวตัวเองอายุสั้นหรอกนะคะ แต่กลัวท่านจะจากไปเร็ว
ทุกวันนี้ยังอาวรณ์คิดถึงพี่ลีไม่สร่างซาเลย
พออาหารยกมา ท่านก็แบ่งขนมเบื้องมาให้ฉัน พอฉันจะแบ่งข้าวผัดปูให้
ท่านบอกไม่เอา ฉันขอให้ท่านกินข้าวเยอะ ๆ จะได้มีกำลัง
ท่านบอกแก่แล้วกินไปกำลังได้หรือเปล่าไม่รู้ ที่รู้คือได้พุง 555555
เราก็คุยนั่นนี่กันไปเรื่อยค่ะ จากเรื่องนั้นกระโดดไปเรื่องนี้
กระโจนไปเรื่องนู้น จนขนมเบื้องท่านหมด แต่จานฉันข้าวผัดปูยังอยู่ครึ่งจานเลย 55555
ฉันเลยต้องเร่งสปีด เพราะท่านผู้หญิงรอสั่งของหวานพร้อมกัน
เรื่องที่คุยกันก็มีสารพัด สารพันค่ะ ส่วนมากฉันคุยให้ท่านฟัง ท่านคุยกลับมา ทั้ง
ๆ ที่ช้าลง และเสียงดังกว่าปกติ เพราะรู้ว่าฉันหูไม่ดี แต่กระนั้น ฉันก็ฟังออกบ้าง
ไม่ออกบ้าง ประสาฉันแหละ คุยไปคุยมา มาเรื่องมัสมั่น ท่านบอกว่าชอบกินมาก
แต่ที่บ้านไม่ค่อยทำเพราะไม่มีคนกิน ฉันเลยรีบบอกไปว่าวันหลังฉันจะทำไปให้กินค่ะ
กลับไปบ้านต้องฝึกปรือฝีมือละ จะได้ทำให้ท่านผู้หญิงกิน
ฉันแปลกใจว่าท่านไม่เคยไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาฯเลย ทั้ง ๆ
ที่เข้าวังสระปทุมบ่อย ท่านบอกว่าไปเพื่อเฝ้าสมเด็จพระเทพฯ เท่านั้น
ฉันก็เลยชวนทันที งั้นไปกันไหมคะ อ่องชวนท่านผู้หญิงเที่ยวทั่วไทยแล้วมั้งเนี่ย 55555
พอกินขนมเสร็จ ฉันก็ขออนุญาตเลี้ยงอาหารท่าน แต่ท่านบอกว่าไม่อนุญาต ฉันก็เกิดนึกได้ว่าเมื่อเช้าเอากระเป๋าตังค์เล็กมา
ใส่แบ้งค์ 500 มาใบเดียวกับเศษเหรียญ แวะตลาดซื้อพวงมาลัย กับส้ม
ตอนนี้ไม่รู้เหลือเท่าไร ที่แน่ ๆ ไม่น่าจะพอจ่ายเลยเงียบ แต่มานึกขำตอนท่านผู้หญิงเปิดกระเป๋าแล้วเปรยว่า
ไม่รู้ลืมเอากระเป๋าตังค์มาหรือเปล่านี่ซิ ...เอิ่ม...ท่านคะ ถ้าท่านลืมจริง ๆ
สงสัยอ่องต้องอยู่ล้างจานที่สีฟ้าแน่เลย
ป๊ากเคยบอกว่าฉันโชคดีที่ผู้ใหญ่มักให้ความเมตตาเป็นพิเศษ ฉันกลับคิดว่าฉันโชคดีได้อยู่ในแวดวงผู้มีเมตตาธรรมมากกว่า
ไม่ว่าจะเป็นอากง ครูเก่า ๆ และพี่ลีที่ล่วงลับ ตลอดจนผู้ใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่
ทุกคนให้ความเมตตาฉันมากกว่าคนอื่น ๆ
สิ่งที่ฉันสนองกลับคือการกตเวทิตาในรูปแบบของฉัน
คือการได้ใช้เวลาด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่โอกาสจะเอื้อ
ไม่มีอะไรในชีวิตที่ฉันอยากได้ไปยิ่งกว่าการใช้เวลากับบุคคลอันเป็นที่รักแล้ว.