วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

มื้อพลังใจที่สีฟ้า

อิ่มใดไหนจะเท่าอิ่มอกอิ่มใจ

หลังจากที่ได้ไปกราบเยี่ยมคุณป้าประภา ยศสุนทรด้วยกันแล้ว ฉันก็คิดว่าจะลงรถที่หน้าบ้านท่าน แล้วจับรถเมล์กลับบ้าน แต่ท่านผู้หญิงบอกว่าเราไปกินข้าวกันที่ไหนดี ฉันเลยเสนอว่าสีฟ้า เพราะรู้ว่าท่านชอบกินขนมเบื้องญวนของร้านนี้ พอรถเลี้ยวเข้าที่จอดรถ ท่านเกิดนึกได้ว่าทำไมเราถึงไม่ชวนพี่ด้ามาด้วยกัน? ฉันก็เลยส่งมือถือของฉันให้ท่านเพื่อเรียกพี่ด้ามา แต่ท่านก็บอกว่า อย่าเลย เพราะพี่ด้าอาจจะติดธุระก็ได้ มื้อนี้จึงเป็นมื้อแรกที่ได้กินข้าวกับท่านสองคน ฉันรู้สึกตื่นเต้น ไม่รู้ว่าจะประหม่าทำอะไรเปิ่น ๆ หรือเปล่า? ถึงจะเคยกินข้าวกับท่านมาหลายมื้อแล้วก็ตาม แต่ไม่เคยกินข้าวกันตามลำพังมาก่อน

มีโต๊ะให้เลือกไม่มาก เราได้โต๊ะติดถนน ฉันให้ท่านนั่งด้านที่หันหน้าออกถนน เมื่อนั่งแล้ว ท่านก็สั่งขนมเบื้องญวนทันที ส่วนฉันเลือกข้าวผัดปู ระหว่างรออาหารมา ฉันก็หยิบมือถือมาเปิดให้ท่านดูรูปที่ถ่ายที่บ้านคุณป้าประภา

ขอเล่าถึงตอนไปบ้านคุณป้าประภาแป๊บนึงนะคะ ตอนไปถึงบ้านป้าประภา เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องเวลานัดหมาย คือทางบ้านคุณป้าเข้าใจว่าคณะเราจะมาตอนบ่าย แต่จริง ๆ ฉันบอกไปว่าประมาณ 10.30-11.00 น. เราก็เลยต้องนั่งรอคุณป้าประภาเตรียมพร้อม  แต่ก็ไม่นานมากหรอกค่ะ ก่อนหน้านี้คุณลุงดวงก็ออกมาคุยกับท่านผู้หญิง เพราะรู้จักคุ้นเคยกันอยู่ อย่าถามว่าคุยอะไรกันนะคะ รู้ ๆ อยู่ 555555

สิ่งที่ประทับใจคือเมื่อคุณป้าประภาเข้ามาในรถเข็น จัดที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านผู้หญิงก็เข้าไปย่อตัวกราบรุ่นพี่กับอก แล้วจับมือพูดทักทาย ถึงจะไม่ได้ยิน แต่ก็สามารถเดาน้ำเสียงจากกิริยาท่าทางได้ว่าอ่อนโยน อบอุ่นแน่ ๆ คุณป้ายังตื่นไม่เต็มตา ท่านผู้หญิงก็กลับมานั่งคุยกับคุณลุงดวงต่อ พอตอนลากลับคุณป้าประภาตื่นเต็มที่แล้ว ถึงคุณป้าประภาจะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าและแววตาบ่งบอกชัดว่าคุณป้าดีใจที่เห็นท่านผู้หญิงมาเยี่ยม ท่านผู้หญิงได้คุกเข่าลงข้าง ๆ เพื่อถ่ายรูปกับคุณป้าแม้ว่าจะลุกลำบากแต่ท่านก็ทำ แสดงให้เห็นว่าท่านมีความเคารพรุ่นพี่จากน้ำใสใจจริง

กลับไปที่โต๊ะกินข้าวนะคะ พอท่านดูรูปจากมือถือเสร็จ ท่านก็ถามว่าถ่ายยังไง อยากรูปฉัน...โหย ตื่นเต้นมากเลย ไม่รู้จะโพสต์ท่ายังไงให้ตากล้องกิตติมศักดิ์ นั่งซะเรียบร้อยเชียว แต่ท่านผู้หญิงกดผิดซะงั้น 555555 เก้อเลย ต้องสอนกันใหม่ค่ะ คราวนี้ relax แล้ว ถ่ายเสร็จฉันก็ขอถ่ายท่านมั่ง แล้วส่งให้ท่านดู ท่านก็บอกว่าอยากถ่ายฉันหน้าเต็มจอแบบนี้บ้าง ฉันเลยต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ กล้อง โพสต์หน้าแอ๊บแบ๊ว ตอนนี้ไม่เขินแล้ว (ปรับตัวไวเนอะ 5555) รูป 3 รูปที่ถ่ายโดยท่านผู้หญิงนี้ว่าจะไปอัดเก็บไว้เป็นที่ระลึกค่ะ แล้วฉันก็ขอถ่ายรูปท่านบ้าง วัฒเนี่ยนสองรุ่นสลับกันถ่ายรูปเป็นที่เพลิดเพลิน จนกระทั่งท่านเปรยขึ้นมาว่าโบราณเขาถือว่าถ่ายรูปมากอายุสั้น อ่าว...555555 ฉันเก็บกล้องทันที ไม่ใช่กลัวตัวเองอายุสั้นหรอกนะคะ แต่กลัวท่านจะจากไปเร็ว ทุกวันนี้ยังอาวรณ์คิดถึงพี่ลีไม่สร่างซาเลย

พออาหารยกมา ท่านก็แบ่งขนมเบื้องมาให้ฉัน พอฉันจะแบ่งข้าวผัดปูให้ ท่านบอกไม่เอา ฉันขอให้ท่านกินข้าวเยอะ ๆ จะได้มีกำลัง ท่านบอกแก่แล้วกินไปกำลังได้หรือเปล่าไม่รู้ ที่รู้คือได้พุง 555555
เราก็คุยนั่นนี่กันไปเรื่อยค่ะ จากเรื่องนั้นกระโดดไปเรื่องนี้ กระโจนไปเรื่องนู้น จนขนมเบื้องท่านหมด แต่จานฉันข้าวผัดปูยังอยู่ครึ่งจานเลย 55555 ฉันเลยต้องเร่งสปีด เพราะท่านผู้หญิงรอสั่งของหวานพร้อมกัน
เรื่องที่คุยกันก็มีสารพัด สารพันค่ะ ส่วนมากฉันคุยให้ท่านฟัง ท่านคุยกลับมา ทั้ง ๆ ที่ช้าลง และเสียงดังกว่าปกติ เพราะรู้ว่าฉันหูไม่ดี แต่กระนั้น ฉันก็ฟังออกบ้าง ไม่ออกบ้าง ประสาฉันแหละ คุยไปคุยมา มาเรื่องมัสมั่น ท่านบอกว่าชอบกินมาก แต่ที่บ้านไม่ค่อยทำเพราะไม่มีคนกิน ฉันเลยรีบบอกไปว่าวันหลังฉันจะทำไปให้กินค่ะ กลับไปบ้านต้องฝึกปรือฝีมือละ จะได้ทำให้ท่านผู้หญิงกิน

ฉันแปลกใจว่าท่านไม่เคยไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาฯเลย ทั้ง ๆ ที่เข้าวังสระปทุมบ่อย ท่านบอกว่าไปเพื่อเฝ้าสมเด็จพระเทพฯ เท่านั้น ฉันก็เลยชวนทันที งั้นไปกันไหมคะ อ่องชวนท่านผู้หญิงเที่ยวทั่วไทยแล้วมั้งเนี่ย 55555

พอกินขนมเสร็จ ฉันก็ขออนุญาตเลี้ยงอาหารท่าน แต่ท่านบอกว่าไม่อนุญาต ฉันก็เกิดนึกได้ว่าเมื่อเช้าเอากระเป๋าตังค์เล็กมา ใส่แบ้งค์ 500 มาใบเดียวกับเศษเหรียญ แวะตลาดซื้อพวงมาลัย กับส้ม ตอนนี้ไม่รู้เหลือเท่าไร ที่แน่ ๆ ไม่น่าจะพอจ่ายเลยเงียบ แต่มานึกขำตอนท่านผู้หญิงเปิดกระเป๋าแล้วเปรยว่า ไม่รู้ลืมเอากระเป๋าตังค์มาหรือเปล่านี่ซิ ...เอิ่ม...ท่านคะ ถ้าท่านลืมจริง ๆ สงสัยอ่องต้องอยู่ล้างจานที่สีฟ้าแน่เลย

ป๊ากเคยบอกว่าฉันโชคดีที่ผู้ใหญ่มักให้ความเมตตาเป็นพิเศษ  ฉันกลับคิดว่าฉันโชคดีได้อยู่ในแวดวงผู้มีเมตตาธรรมมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นอากง ครูเก่า ๆ และพี่ลีที่ล่วงลับ ตลอดจนผู้ใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนให้ความเมตตาฉันมากกว่าคนอื่น ๆ  สิ่งที่ฉันสนองกลับคือการกตเวทิตาในรูปแบบของฉัน คือการได้ใช้เวลาด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่โอกาสจะเอื้อ ไม่มีอะไรในชีวิตที่ฉันอยากได้ไปยิ่งกว่าการใช้เวลากับบุคคลอันเป็นที่รักแล้ว.




วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เพลินบุปผชาติสวนหลวงร.9 กับท่านผู้หญิงสุมาลี

ความสุขอันเป็นพลังสร้างวันใหม่

คิดว่าจะไม่สามารถกลับมาเขียนอะไร ๆ สนุก ๆ ได้อีกเสียแล้วหลังจากการจากไปโดยไม่คาดฝันของเพื่อนที่รักที่สุดในชีวิต บทความนี้คือบทความแรกที่เขียน เพราะอยากเก็บไว้เป็นความทรงจำอันอบอุ่นให้ได้รำลึกถึงทุกครั้งที่กลับมาอ่านค่ะ
ก่อนอื่นขอชี้แจงว่า การที่นำรูปมาเผยแพร่ก็ดี เขียนเรื่องสู่กันฟังก็ดี ไม่ใช่จะอวดว่าฉันสนิทกับท่านผู้หญิงนะคะ ไม่เคยคิดเช่นนั้นเวลาได้รับความรักความเมตตาจากผู้หลักผู้ใหญ่ เพราะเท่าที่เห็น ท่านก็ให้ความเมตตากับคนอื่น ๆ เฉกเดียวกัน
ที่มาที่ไปว่าทำไมจึงได้ไปเดินเที่ยวสวนหลวง ร.9 กับท่านผู้หญิงนั้น เกิดจากวันหนึ่งคุณแม่กลับจากสวนหลวง ก็เอารูปใน ipad มาอวดค่ะ ฉันไม่ค่อยได้ไปเดินเที่ยวเท่าไร เพราะส่วนมากบ้านเราอากาศร้อน เดินนาน ๆ ก็เมื่อย เหงื่อออก สวนก็ใหญ่ เลย...สั้น ๆ ว่า “ขี้เกียจ” 5555555 แต่ปีนี้เกิดแว้บขึ้นมาว่าน่าจะชวนท่านผู้หญิงไปนะ คุณแม่เองก็คิดถึงท่านผู้หญิงเช่นกันเลยกดมือถือตะเล็บเก้บไปชวนทันที ซึ่งท่านก็ตอบรับมาเกือบจะในทันใด คุณแม่ให้ท่านเป็นผู้กำหนดวัน ท่านก็บอกว่าวันที่ 5  ฉันรีบค้าน เพราะวันที่ 5 คนน่าจะเยอะมาก บางทีเจอคนงานพม่ามาเป็นกลุ่มใหญ่ บางทีเจอคนกินเหล้าเมา เสียงดัง ไม่น่าจะใช่บรรยากาศที่น่าเดินของสวนสาธารณะเท่าไร ท่านเลยเลื่อนเป็นวันที่ 6
วันที่ 4 ฉันเห็นดอกมหาหงส์ที่บ้านออกดอกเยอะเลยตัดไปฝากท่าน เมื่อไปถึงบ้านก็นัดกับท่านอีกทีเรื่องเวลา ว่าเราจะนัดกันที่บ้านท่านแล้วไปพร้อมกัน เพราะถ้าไปเจอกันที่นั่น อาจจะหากันลำบาก ฉันขอให้ท่านใส่รองเท้ากีฬา ท่านก็ว่าจะเดินไหวหรือเปล่าไม่รู้ ฉันบอกว่าไม่เป็นไร ขอให้ใส่รองเท้าเดินสบาย ๆ ไว้ก่อน ยังไงที่นั่นก็มีรถบริการอยู่แล้ว
เช้าวันที่ 6 ฉันให้อู๋พาคุณแม่ไปเจอที่สวนหลวง ส่วนฉันไปบ้านท่านผู้หญิง นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะท่านลืมไปว่าฉันจะไปเจอที่บ้านท่าน ท่านจดลงในสมุดเฉย ๆ ว่ามีนัดกับอ่องไปสวนหลวง พอฉันไปถึง แม่บ้านก็แจ้งว่าท่านออกไปพบฉัน 555555 สีหน้าแม่บ้านงง ๆ เล็กน้อยเพราะคนที่ท่านไปพบยืนอยู่ตรงหน้า ฉันเลยต้องโทรให้น้องรีบติดต่อท่าน ส่วนตัวเองก็รีบนั่งแท็กซี่ตามไป โชคดีที่จราจรค่อนข้างโล่ง จึงใช้เวลาไม่นาน
เมื่อฉันไปถึงก็โทรเข้ามือถือน้อง ถามว่าอยู่ไหน น้องบอกว่าให้รอแถวประตูทางเข้า เดี๋ยวจะเดินไปรับ สักพักใหญ่ ๆ น้องก็เดินมา เล่าให้ฟังว่าท่านผู้หญิงมาก่อนแต่โชคดีที่หากันเจอ ฉันก็นึกว่านี่น้องฉันทิ้งผู้ใหญ่สองคนตามลำพังเหรอ แล้วก็โล่งใจเพราะท่านผู้หญิงมีคนติดตามมาด้วย 1 คน
เดินไปไม่นานก็เจอท่านผู้หญิงกับคุณแม่ จูงมือกันชวนชี้ชมต้นไม้กระหนุงกระหนิงน่ารักราวกับคุ้นเคยกันมาแสนนาน ฉันก็รีบเข้าไปกราบทักทายท่าน ฉันเห็นแดดเริ่มมาก เลยเสนอหมวกให้ ท่านปฏิเสธบอกว่าเดี๋ยวผมเสียทรง 5555555 ท่านคงรู้แระว่าวันนี้โดนฉันถ่ายรูปไว้ลงเฟสบุ้คแน่ แต่วันนี้อากาศดีมาก ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป เหมาะกับการเดินเที่ยวของผู้อาวุโส
ท่านผู้หญิงเดินชมสวนแบบละเมียดละไมมากค่ะ เดินช้า ๆ ค่อย ๆ ดูไปเรื่อย ปากก็คุยนั่นคุยนี่กับคุณแม่ไม่ได้หยุด กรุณาอย่าถามฉันว่าคุยอะไรบ้าง คุณแม่บอกว่าถ้าคุยให้ฉันได้ยิน คนทั้งสวนหลวงก็คงได้ยินไปด้วย 5555555 แต่ฉันเชื่อว่าทั้งสองมีความสุข บทสนทนาต้องสนุก เพราะหัวเราะกันเป็นระยะ ๆ แม้แต่น้องชายที่บ่นปวดหัว ตอนแรกบอกเพราะไซนัส แต่บทสรุปเพราะขาดคาเฟอิน
มาถึงต้นหนึ่ง ซึ่งฉันจำชื่อไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าฉันไม่ใช่นักพฤกษศาสตร์ ปลูกได้ดีแต่มหาหงส์ แต่คุณแม่ชอบปลูกต้นไม้ค่ะ พอเห็นเมล็ดหล่นทั่วไปหมด ก็อยากเก็บเมล็ดไปเพาะ ระหว่างที่คุณแม่เดินหาเมล็ดที่เหมาะสม ท่านผู้หญิงก็ช่วยมองหาด้วย ขอบอกว่าสายตาท่านเป็นเลิศมาก เพราะท่านหยิบขึ้นมาเมล็ดหนึ่ง สีเขียวก็จริง แต่มีต้นอ่อนงอกออกมาแล้ว!
พอเจอซุ้มนิทรรศการ เห็นซุ้มไหนสวยก็หยุดถ่ายรูปกัน เดินมาถึงซุ้มหนึ่ง ท่านผู้หญิงบอกให้เด็กที่ติดตามช่วยถ่าย เอาให้ติดรูปสิงห์สองตัวด้วย จริง ๆ เป็นสิงห์ตัวนึงกับกิเลนค่ะถ่ายรูปเสร็จก็เข้าไปชมให้ละเอียดว่าเขาใช้ต้นอะไรบ้าง ท่านก็บอกว่าน่าจะเป็นซุ้มของบุญรอด เพราะสิงห์น่ะ สิงห์บุญรอดชัด ๆ แต่กลับกลายเป็นซุ้มเมืองไทยประกันชีวิตซะงั้น
เดินไปได้สักพัก น้องชายก็หาที่ขึ้นรถกอล์ฟได้ ก็เลยขึ้นรถนั่งชมไปทั่ว มาลงพักเดินแถวที่ขายต้นไม้ คุณแม่กับน้องช็อปปิ้งดิน และต้นไม้กันตามเคย ส่วนท่านผู้หญิงกับฉันก็เดินดูไปเรื่อย มาถึงดอกไม้ชนิดหนึ่ง หน้าตาเหมือนชื่อ แต่ฉันจำชื่อไม่ได้แล้ว ดอกอะไรลิปสติกสักอย่างเนี่ย ฉันนึกสนุก เอามือปิดป้ายแล้วขอให้ท่านทายว่าดอกอะไร ท่านตอบว่า...ช้าไปแล้ว อ่านชื่อไปเรียบร้อยแล้ว... 55555555
น้องชายหายไปไหนสักพักใหญ่ ฉันคิดว่าคงไปหากาแฟกินแก้ปวดหัว แต่เดินกลับมาพร้อมต้นอะไรสักอย่างห่ออยู่ในหนังสือพิมพ์ สูง 2 เมตร ฉันก็นึก คุณน้องจะไปห้อยตรงไหนในบ้าน? บ้านก็ใช่ว่าจะมีที่ทางมากมายอะไร ปรากฏว่าน้องซื้อให้ท่านผู้หญิงค่ะ น้องบอกภายหลังว่าประทับใจ ท่านเรียบร้อยมาก แล้วภาษาที่พูดก็ใช้คำโบราณ ฉันถามว่าโบราณตรงไหน? ยกตัวอย่างมาดิ๊ สรุปความตามน้องว่า ท่านผู้หญิงน่าจะเป็นแม่พลอยสี่แผ่นดินในยุค 3G
ก่อนกลับ ก็แวะกินอาหารมื้อเช้ากันที่ร้าน s&p ฉันเองตั้งแต่ออกจากบ้าน น้ำสักหยดก็ยังไม่ถึงปากถึงท้อง แต่ไม่รู้สึกหิวหรือกระหาย อาจจะเป็นเพราะอิ่มเอมใจกับช่วงเวลาในเช้านี้ ฉันสั่งกาแฟร้อนราดคาราเมล ในขณะที่ท่านผู้หญิงสั่งเกี๊ยวน้ำ น้ำราสเบอร์รี่ร้อน 1 กา คุณแม่สั่งขนมปังกับกาแฟ น้องชายสั่งกาแฟ ตอนที่ท่านกินเกี๊ยวน้ำ ในนั้นมีต้นหอมซอยเส้นผอม ๆ ไม่กี่เส้น แต่ท่านก็เขี่ยออก ฉันสังเกตมาพักหนึ่งแล้วว่าท่านไม่ค่อยกินผัก วันนี้เลยถามค่ะ  คำตอบที่ได้คือ ไม่อยากยิ้มสีมรกต 55555555
ระหว่างกินข้าวเช้ากัน ท่านผู้หญิงก็เล่าเรื่องชีวิตในวัฒนารุ่นยกหมิ่นให้คุณแม่กับน้องฟัง มีฉันกระตุ้นเป็นระยะ ท่านจำเรื่องราวหนเก่าก่อนได้เป็นอย่างดี ก็เล่ากันไป หัวเราะกันไป น้องเริ่มสีหน้าดีขึ้นหลังจากจิบกาแฟ (ยาแก้ปวดหัว) บรรยากาศชื่นมื่นมากค่ะ
กินเสร็จก็เดินออกมาเพื่อไปขึ้นรถ ท่านผู้หญิงแวะซื้อลูกโป่งฝากเหลนน้อยสองคนด้วย สักพักก็บอกฉันว่าเอ๊ะทำไมเหลือเราสองคน? 55555 แล้วแม่กับน้องของฉันหายไปไหน เด็กของท่านผู้หญิงน่ะกำลังจ่ายเงินค่าลูกโป่งอยู่ข้างหลัง ท่านผู้หญิงสายตาดี ช่างสังเกตเป็นเยี่ยมจริง ๆ ค่ะ เพราะท่านเห็นคุณแม่ก่อนฉัน กำลังซื้อลูกประคำกับของกระจุกกระจิก
เราลากันด้วยการไหว้แบบไทย แถมด้วยการลาแบบสากลฉบับวัฒเนี่ยน คือกอดและหอมแก้ม ช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงนี้จะตราตรึงในความทรงจำของฉันควบคู่กับบันทึกนี้ไปแสนนาน ความรักความเมตตาของท่านผู้หญิงเป็นประหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมหัวใจให้อบอุ่น และมีพลังมากขึ้น ถึงจะยังคิดถึงพี่ลีอยู่ แต่ก็มีความเข้มแข็งพอที่จะเผชิญกับความอาลัยอาวรณ์ให้บรรเทาลงได้ ที่ท่านบอกว่าฉันทำให้ท่านมีความสุข ขอบอกว่าท่านทำให้ฉันมีความสุขยิ่งกว่า ขอกราบด้วยความขอบคุณท่านเป็นที่สุดค่ะ

วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ท่านผู้หญิงสุมาลี จาติกวนิช

งามเอยแสนงาม งามจริงยอดหญิงชาติไทย 



                อารมณ์ดี ร้องเพลงตั้งแต่หัวเรื่องเลยนะ ฮ่า ๆ ๆ เป็นเพราะน้ำชากำลังฮิตเพลงเชย ๆ เพลงนี้  ขออภัยที่เกิดมาตั้งเกือบครึ่งศตวรรษ เพิ่งรู้จักเพลง ๆ นี้ แล้วก็แสนจะหลงใหลในคำร้องอันไพเราะ ทำนองง่าย ๆ แต่เสนาะหู  พอมาจับบทความคราวนี้  ปรึกษากับพินิจธานีแล้ว เห็นพ้องต้องกันว่าน่าจะหยิบมาตั้งชื่อเรื่อง เนื่องจากท่านผู้หญิงสุมาลี เป็นหญิงไทยที่งามจริง ๆ น้ำชาแอบชื่นชมอยู่ห่าง ๆ มาตั้งแต่เด็ก  เพิ่งได้พูดคุยใกล้ชิดกันก็วันนี้เอง แล้วก็พบว่าท่านผู้หญิงนั้น งามทั้งระยะไกล และใกล้ทีเดียว
            เราสามคน สรวรรณ นพพร สรีวิมลมาถึงบ้าน Platinum Sand ก่อนใคร (เหตุที่ไม่เรียกบ้านทรายทองเพราะบ้านสวยหลังนี้ไฮเทคกว่าบ้านทรายทองเยอะเลยค่ะ ไฮเทคยังไงติดตามอ่านไปเรื่อย ๆ นะคะ)  ระหว่างนั่งรอสมาชิกอื่น ๆ ตามมาสมทบ น้ำชาก็เดินถ่ายรูปไปเรื่อย  ถ่ายกระทั่งน้ำลำไยที่แสนอร่อย รองเท้าแตะสำหรับใส่ในบ้าน ฯลฯ  อะไรที่ไม่เตะตาชาวโลก มักจะเตะตานพพร
พี่แดง-ปริศนาตามมาในคราบของพจมานไร้เปีย แล้วสามทายาทคณะราษฎร์ก็จับกลุ่มถกกันถึงบรรพบุรุษของตน คนที่อากงขึ้นเรือมาจากจีนก็ถ่ายรูปต่อไป พี่กาญจนามาก่อนหน้าพี่ลานทิพย์และครูวรรณดีไม่นาน พอครบคณะถึงเดินเข้าไปในตัวบ้านค่ะ ท่านผู้หญิงเข้ามาต้อนรับด้วยชุดสีแดงสดใส ท่านบ่นว่าเพราะพิษการเมืองช่วงนี้ ทำให้ไม่ได้ใส่เสื้อสีแดงมานาน วันนี้วัฒนามาเยี่ยมถึงบ้าน จึงได้โอกาสใส่เพราะเป็นสีของโรงเรียน
                ห้องรับแขกมีกระจกโต๊ะเครื่องแป้งของคุณหญิงมณี..เอ่อ..ท่านผู้หญิงสุมาลีตั้งเด่นเป็นสง่า ปัจจุบันท่านเจ้าของคงไม่ได้ใช้งานแล้ว จึงเอามาตั้งอวดในห้องรับแขก มีดอกไม้ประดิษฐ์ใส่แจกันใบโตตั้งเบื้องหน้า สงสัยเพื่อป้องกันไม่ให้กระจกดูดย้อนกลับไปอดีตภพ  อย่างไรก็ตามพวกเราก็ถ่ายภาพหมู่กันหน้ากระจกทวิภพ เรียกว่าถ้ามันจะดูด ก็ดูดไปทั้งคณะแหละ  
            บ้าน Platinum Sand กว้างขวางมาก ท่านเจ้าของบ้านเล่าว่ามีรางรถไฟด้วย เนื่องจากคุณพ่อผู้สร้างบ้านชื่นชอบรถไฟมาก ตอนแรกที่ฟัง น้ำชานึกว่าสมัยแรก ๆ มีรถไฟมาวิ่งอยู่ในบ้านด้วย ฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียดซะเพี้ยนหลุดโลกไปเลย  ที่ฮือฮากันทั้งคณะ (พี่หน่อยกับพี่แดงอดดูเพราะกลับไปก่อน) ไม่ใช่ลิฟต์ในบ้าน แต่เป็นหลังคาบ้าน...เปิดได้ค่ะ ในยามที่อากาศดี ๆ ท้องฟ้ามีดวงดาราแต่งแต้ม ก็คงเปิดหลังคาแล้วนั่งชมดาวในบ้านได้สบาย ๆ  แม้ว่าจะมีเครื่องประดับบ้านมากมาย แต่ทุกอย่างก็ถูกจัดวางไว้ถูกที่ถูกทาง ถึงขนาดว่ามีคนพูดว่า ของในบ้านพี่(ท่านผู้หญิง)เข้าแถวทุกอย่าง ซึ่งท่านผู้หญิงได้ยกประโยชน์ให้กับคุณครูตลับ ที่ปลูกฝังความเป็นระเบียบให้เป็นอย่างดี แต่คงจะได้กับรุ่นเก่า ๆ รุ่นหลัง ๆ ไม่ได้เรียนกับครูตลับแล้ว จึงไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยแบบเก่า ๆ โดยเฉพาะตัวน้ำชาเอง ห่างไกลจากความเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนโลกกับพระจันทร์
            เมื่อใดที่ชาววัฒนาจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องเก่า ๆ สิ่งหนึ่งที่มักจะเป็นหัวข้อสนทนา ...ห้องน้ำห้องส้วม.. ครั้งก่อนคุณป้าจีรวัสส์เล่าให้ฟังเรื่องส้วม  วันนี้ท่านผู้หญิงสุมาลีเล่าให้ฟังเรื่องห้องอาบน้ำ..เป็นครั้งแรกที่เราได้ฟังว่าสมัยก่อน เด็กเล็ก (ป.4) เขาแก้ผ้าเดินเข้าแถวเพื่อจะเข้าไปอาบน้ำกัน  แถมห้องอาบน้ำตั้งขนานไปกับซอยร่วมใจ มีเพียงรั้วสังกะสีที่คนสามารถปีนมาแอบดูได้  โอ้จอร์จ ดีจังที่เกิดช้า ฮ่า ๆ
                ใคร ๆ คงจะทราบกันดีว่าท่านผู้หญิงสุมาลีนั้นเป็นสตรีนักบริหารชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของเมืองไทย ท่านมีพรสวรรค์มาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ โดยเฉพาะเรื่องการพูด โดยได้เคย เทศน์ ในห้องประชุมด้วย 1 ครั้ง ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจ ท่านเล่าว่าตอนนั้นท่านมีจุดเด่นคือกระโปรงนักเรียนของท่านสั้น กระโปรงมี 3 กลีบข้างหน้า 3 กลีบข้างหลัง ความที่ก้นท่านงอน จึงมีเพื่อนแซวว่า  " แหมเธอเดินก้นปัดขึ้นไปบนเวทีสง่ามาก" เมื่อขึ้นไปถึงแท่น ก็เกิดปัญหาอีกว่า แท่นโพเดี้ยมสูงไป เพราะท่านตัวเล็ก "อ้าว...หนูพูดไม่ได้..มองไม่เห็น"  ครูก็เลยเอาเก้าอี้มาแล้วก็ให้คุกเข่าพูดบนเก้าอี้ เป็นประสบการณ์พูดหน้าโพเดี้ยมครั้งแรกที่ไม่น่าประทับใจเพราะเจ็บหัวเข่ามาก แต่ก็ทำให้ท่านค้นพบความสามารถของตนเอง โดยปัจจุบันก็ได้ใช้พรสวรรค์นี้ระดมเงินเพื่อการกุศลอยู่เนือง ๆ
            ช่วงสงครามโลกที่วัฒนาย้ายไปที่ยกหมิ่น ก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย เพราะพื้นที่ไม่พอที่จะเขียนถึงทั้งหมด แต่มีเรื่องตลกแนวโรมานซ์เรื่องหนึ่งที่น้ำชาชอบ ฮ่า ๆ (ถ้าคนเขียนไม่ชอบ คนอ่านก็อดฟัง) คือในตอนนั้นด้านหลังของโรงเรียนเป็นรั้วสังกะสี  แล้วเป็นตรอกชาวบ้านห้องแถว วันหนึ่ง มีคนปีนหน้าต่างเข้ามา ห้องเรียนซึ่งอยู่ติดกับรั้วค่ะ ทีนี้มีเพื่อนคนหนึ่งเขาสวยที่สุดในชั้น เขาชื่อประจง ทีนี้เราก็กำลังเรียนภาษาอังกฤษ เขาก็ใช้หนังสือของคุณอาเขา เป็นหนังสือภาคภาษาอังกฤษ มีภาษาไทยอยู่ตัวเดียวเขียนว่า " จินตมัย" ซึ่งเป็นชื่อของอาเขา เราก็นั่งเรียนกันอยู่ ทีนี้ไอ้คนที่ปีนรั้วขึ้นมา เราก็เห็นกัน ครูก็สังเกตนักเรียนหันบ่อยๆ ก็เห็นมันแล้ว มันก็มองมา มองทีละคนเลย จนถึงประจงนี่ มันก็ตะโกนขึ้นมา "จินตมัยจ๋า..ฉันรักเธอ" เราก็หัวเราะกันครืนเลยวัยรุ่นซ่ากันทุกสมัยเลยนะ
                แม้ว่าท่านผู้หญิงจะเป็นเด็กเรียนดี  แต่ท่านก็มีจุดอ่อนที่กีฬา ท่านเล่าว่า  ในสมัยนั้นมีแหม่มคนหนึ่งชื่อ แหม่ม Box เรียกกันว่ายมบาล (ท่าจะดุได้โล่) เวลาเรียกมาเข้าแถว..ต้องยืนตรง..เอามือขึ้นไว้ที่หน้าอก แล้วเอามือวิดกางออกไป  เราทำไม่เข้มแข็งท่านก็ให้ทำใหม่ ยังเถียงแหม่มอีกว่า "ถ้าทำแรงเดี๋ยวแขนหนูหลุด"...แหม่มคงเกลียดหน้าเรามาก ว่าเราเป็นพวกอ่อนแอ...ทีนี้มาวันหนึ่ง แหม่มก็ให้เราปีนต้นไม้ ต้นจามจุรีริมสระน้ำเล็กๆหน้าตึกเรียน...มันก็จะมีกิ่งที่มันโน้มลงมา แหม่มก็ให้เราปีนแล้วก็ให้เดินไปที่ปลายแล้วก็กระโดดลงมา...เราก็เข้าแถวกัน ก็คิดว่า...โอ้ย คุณแม่เราไม่อนุญาตให้ปีนอะไรเลยนะ มีแต่นั่งพับเพียบ แต่ก็เดินตามคนอื่นเขาขึ้นไป...ทีนี้ตอนเวลาที่จะกระโดด ก็ร้อง"หนูลงไม่ได้ ๆ" ครูก็บอกว่า "ไม่ได้ก็อยู่ไป.." คนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลังเราเขาก็กระโดดลงไปจนหมดเหลือเราอยู่คนเดียว ต้องรอให้ครูไปแล้ว เพื่อนจึงขึ้นไปช่วยท่านลงจากต้นไม้ 
อีกครั้งนึง แหม่มก็ได้ให้กระโดดข้ามท้องร่อง (สมัยนั้น วัฒนายังมีลักษณะเป็นสวน มีท้องร่องค่ะ)  เราก็สไตล์เดิม "หนูกระโดดไม่ได้ค่ะ"  แหม่มก็เหมือนเดิม คือกระโดดไม่ได้ก็อยู่ตรงท้องร่องนั่นแหละ ท่านจึงจำใจกระโดด แล้วก็เป็นเด็กคนเดียวที่ตกลงไปในน้ำ เพราะข้ามไม่พ้น  แหม่ม Box คงเป็นเค้าโครงของหนังเรื่องครูไหวใจร้ายใช่ไหมคะท่านผู้หญิง? 
                เรื่องที่น้ำชาชอบที่สุด คือท่านบอกว่าท่านเคยได้คะแนนศูนย์ในวิชาวาดเขียนซึ่งเป็นวิชาที่ไม่น่าจะมีใครได้ศูนย์ (เป็นเพื่อนกับน้ำชาผู้สอบตกในวิชาขับร้องเลย) สาเหตุที่ได้ศูนย์เป็นเพราะครั้งนั้น ครูสอนให้วาดจากวัตถุจริง คือให้วาดแจกัน โดยสอนให้เหยียดแขนสุดแล้วใช้ดินสอในมือเล็งแจกัน แล้วจุดลงบนกระดาษร่างเป็นเค้าโครง เป็นพื้นฐานศิลปะที่ทุกคนน่าจะได้เคยผ่านมา  แต่ท่านผู้หญิงของพวกเราผ่านมาอย่างเจ๋งที่สุดค่ะ ฮ่า ๆ ๆ (ขออนุญาตขำนะคะ) ก็ในเวลา 1 คาบวิชา คนอื่นเขาวาดเป็นแจกันส่งครูได้หมด มีแต่ของเด็กหญิงสุมาลีที่ดูไม่ออกว่าเป็นอะไร  ต่อให้ปิกัสโซ่ก็ยังไม่ cubism เท่าเลยค่ะ ตอนแรกที่ฟังท่านผู้หญิงเล่า ยังนึกภาพไม่ออก แต่น้ำชานึกตำหนิครูวาดเขียนแล้วว่าใจร้ายจัง  พอได้เห็นตัวอย่างที่ท่านวาดให้ดูแล้ว ชักเห็นใจครูขึ้นครามครัน  ตั้งชั่วโมงวาดได้แค่นี้น่ะนะ  มันคือ Sumalee’s Code หรือเปล่าคะ?
                พอการสัมภาษณ์เสร็จสิ้นลง พี่กาญจนากับพี่ปริศนาก็ขอตัวกลับก่อน เนื่องจากนัดเพื่อน ๆ ไว้ น้ำชาจึงกินขนมจีนซาวน้ำ 2 จาน โดยอ้างว่ากินเผื่อพี่ ๆ  แต่ไม่ค่อยมีคนเชื่อ ฮ่า ๆ ที่จริงขอสารภาพว่าปกติกินขนมจีนซาวน้ำไม่เป็นนะคะ  แต่ที่กิน 2 จานเพราะอร่อยและเขาจัดได้น่ากินมาก ๆ ค่ะ  นอกจากขนมจีนซาวน้ำแล้ว ก็มีปอเปี๊ยะทอดแสนอร่อย อร่อยจนอยากขอห่อกลับบ้าน ฮ่า ๆ ๆ ของหวานเป็นผลไม้รวมมิตร และไอติมรสแปลก ๆ ขิง กระท้อน และลูกหว้าค่ะ  น้ำชาชอบไอติมกระท้อนที่สุด รสขิง กับลูกหว้าแปลกลิ้นเกินไป แต่สรีวิมลชอบมาก บอกว่าของมีประโยชน์ น้ำชาเลยยกให้เธอกินของมีประโยชน์ เราเลือกของอร่อยไว้ก่อน จะมีหรือไม่มีประโยชน์ก็ช่าง

                ก่อนจะจากลากัน ท่านผู้หญิงได้ทิ้งท้ายไว้อย่างคมคายว่า ในโรงเรียนวัฒนานั้น เราถูกอบรมมาว่าให้มีการ"ให้"กัน ซึ่งการให้ต้องตั้งต้นด้วยความรัก  เราต้องรักกันก่อนแล้วจึงให้ซึ่งกันและกัน พี่ก็รักน้อง น้องก็รักพี่ พอเกิดการให้ด้วยความมีน้ำใจ..ก็จะนำไปสู่ความรักแล้วก็ทำงานร่วมกัน ดังเพลงลำธารเล็กๆ  ....โอ้จงให้โอ้จงให้.....ซึ่งเมื่อลำธารเล็กๆ มารวมกันก็จะเป็นลำคลอง ลำคลองมารวมกันก็เป็นแม่น้ำ แม่น้ำก็ไหลลงสู่มหาสมุทรที่กว้างดังใจของเรา  หากเพลงเหล่านี้ที่เราเคยร้อง...เมื่อเด็ก ๆ เราก็ร้องไปอย่างนั้นเอง...แต่เมื่อเรามีอายุมากขึ้นเราก็จะแปลความหมายเหล่านั้นได้
            พวกเราได้เห็นความงามอีกรูปแบบหนึ่งของท่านผู้หญิง คือความประพฤติงามต่อสังคม ผ่านกิจกรรมหลากหลายอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมที่ท่านผู้หญิงได้บำเพ็ญมาตลอดจนทุกวันนี้  เราอยากจะบอกว่าท่านเป็นลำธารเล็ก ๆ ที่งดงามและยิ่งใหญ่ลำธารหนึ่งค่ะ.