วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทิ้งปลาทูไปเท็กซัส

happy rhytm in the rain..

ช่วงนี้ชีวิตดูจะอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ท่ามกลางแวดวงวัฒนาจริง ๆ ตั้งแต่เป็นสาววัยทองขึ้นมาเนี่ยะ เหมือนแสงทองจะฉายฉานให้แต่ละวันของฉันอร่ามเรืองด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ชีวิตอยู่ในช่วงขาขึ้น เช่นเดียวกับราคาทองคำเลยแหละ

เมื่อวานก็เป็นอีกวันที่ฉันได้ไปเที่ยวเยาวราชแบบไม่ได้วางแผนไว้ก่อนเลย แผนของฉันกับพี่เก็จมีแค่ว่าวันนี้เราจะทำปลาทูต้มเค็ม(ที่โคตรเค็ม) กินกัน แต่ในระหว่างที่กำลังเคี่ยวปลานั้น เป็นไงมาไงก็ไม่รู้ เกิดการตกลงใจกันว่าเราจะทิ้งปลาทูที่ใช้เวลานานเกินเหตุ แถมชิมแล้วเค็มเหลือใจ เพราะฉันดันประเคนลงไป 1 นาเกลือ เลยจะแก้เซ็งด้วยการไปหาของอร่อย ๆ กินที่เท็กซัสดีกว่า

ว่าแล้วก็จองเครื่องบิน....5555555 เว่อร์ไปนิดจิตเกือบตก ไม่ใช่เท็กซัสอเมริกาซะหน่อย ถึงจะได้นั่งเครื่องบินไปแต่เป็นเท็กซัสที่เยาวราชค่ะ นั่งรถใต้ดินไปโผล่ที่หัวลำโพงแล้วก็ต่อตุ๊ก ๆ ค่ะ ทีแรกฉันบอกพี่เก็จว่าขึ้นสาย 73 จากแถวบ้านไปเลยก็ได้ แต่พี่เก็จบอกไม่เอา เพราะรถติด สิ่งที่พี่เก็จไม่ได้พูดแต่ฉันรู้ คือพี่เก็จหิวแล้ว 555555 เนื่องจากก่อนออกจากบ้าน พี่เก็จออกกำลังกาย และยังแถมเล่นเปียโนให้ฟังตั้งนาน เคลิ้มเชียวค่ะ ไม่ได้ฟังตั้งนานแล้ว แกรนด์เปียโนบ้านพี่เก็จเนี่ยะ ฟังไม่รู้เบื่อจริง ๆ แต่คนเล่นอาจจะเบื่อนิดหน่อย เพราะคนฟังชอบ request เพลง...ตะละเพลงเนี่ย...5555555 ไม่รู้ไปขุดมาจากปิรามิดไหน เก๋ากึ้กเชีย...สิ่งที่ฉันประทับใจในพี่เก็จคือ พี่เก็จตบท้ายด้วยเพลงวัฒนาที่ฉันโปรดปรานทุกครั้ง ทั้ง ๆ ที่พี่เก็จเริ่มเบื่อแล้ว จะไม่ให้เบื่อไงไหว ก็คุณเธอมากี่รอบ ๆ จะขอแต่เพลงนี้อ่ะนะ ถึงเบื่อยังไง พี่เก็จก็ยังใจดีเล่นให้ฟังอยู่ดี ขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ ค่ะ

ไปถึงเท็กซัส กระโดดลงจากรถสามล้อปุ๊บ เจอปาท่องโก๋ยักษ์ พี่เก็จก็ซื้อทันที 555555 แปลว่าหิวจริง ๆ แต่ซื้ออันเดียวแล้วแบ่งกันค่ะ เพราะเดี๋ยวจะอิ่มซะก่อน แล้วเดินตลอดซอยไม่เจอร้านอาหารที่น่าสนใจ เลยเดินไปเข้าถนนแปลงนาม มีหลายร้านให้เลือก ในที่สุดเราก็ตัดสินใจเข้าไปกินร้านข้าวต้มเป็ด เกิดมาฉันก็เพิ่งเคยกินข้าวต้มเป็ดกับเขานี่แหละ อร่อยดีเหมือนกัน อร่อยกว่าที่นึกไว้ เพราะตอนแรกฉันคิดว่าเป็ดไม่น่าจะเข้ากับข้าวต้ม แต่ที่ร้านนี้ทำอร่อยค่ะ ของพี่เก็จสั่งแบบเต็มยศ ใส่ทั้งเป็ดทั้งเครื่องในหมู กินไปก็นึกถึงพี่เจน พี่หนิงไป ตั้งใจว่าครั้งหน้าจะชวนมาชิมค่ะ ระหว่างที่เรากำลังกินกันอยู่ ฝนก็โปรยสายซ่า ๆ ลงมา แต่เราสองคนก็ไม่เดือดร้อนอะไร นั่งปรึกษากันว่าเดี๋ยวจะเดินไปหาอะไรกินที่ไหนเป็นเป้าหมายต่อไปดี?

นึกว่าเดี๋ยวฝนก็หยุด แต่ฝนไม่หยุดค่ะ ฉันว่ามันดีใจเหมือนฉันที่มาเที่ยวกับพี่เก็จ เราเลยตัดสินลุยฝนออกไป เพราะคะเนดูแล้ว ไม่มีทางที่ฝนจะหยุดง่าย ๆ แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ มากับพี่เก็จ มีอุปกรณ์พร้อมสรรพไม่แพ้มากับป๊าก มีร่มค่ะ การเดินก็ค่อนข้างทุลักทุเลสักหน่อย ปกติไม่มีฝน..เยาวราชก็เดินแบบสบาย ๆ ยากเพราะคนเยอะ นี่คนก็เยอะแถมน้ำฝนอีก เดิน ๆ อยู่...พี่เก็จพูดขึ้นมา ตอนนี้ไข้หวัดใหญ่ระบาด 5555555

ถามพี่เก็จว่าจะไปเดินดูอะไรกันดี - สำเพ็งไหม? พี่เก็จบอกเดินดูของกินดีกว่า แต่สิ่งที่ฉันยังไม่รู้คือพี่เก็จไม่อิ่ม 55555555 เห็นนั่นก็น่ากิน นี่ก็น่ากิน ซื้อของเดินกินกันไป แบกกันไป มีความสุขกันน่าดู ฉันแนะนำหลายอย่างในฐานะคนที่ช่ำชองตลาดเก่ากว่าพี่เก็จ เช่นกุยช่ายก้วย ขนมกุยช่ายของจีนจะมีสีชมพู ที่แป้งจะคนละอย่างกับสีขาว ฉันไม่รู้ละเอียดหรอกค่ะว่าสีขาวทำมาจากแป้งอะไร และสีชมพูแป้งอะไร ถ้าป๊ากมาด้วยเราอาจจะได้ปริญญาสาขาขนมกุยช่ายกลับบ้านด้วย มากับพี่แจ้อาจจะกลับไปทำเองได้เลย แต่มากับอ่องก็...ขามารู้แค่ไหน ขากลับก็รู้แค่นั้น 55555555 อย่างไรก็ตาม ฉันก็เชียร์ให้พี่เก็จลองกุยช่ายสีชมพู พี่เก็จส่ายหัวดิก...ม่ายอาว พี่กลัวสี  ขอดนตรีค่ะ ทำนองเพลงไข่เจียวของวงเฉลียงนะคะ....~~เพราะมานม่าย-ออ-แก-นิก~~

แต่ก็ไม่ใช่ว่าพี่เก็จจะอนามัยจัดจนหมดสนุก เพราะเราสองคนก็แวะซื้อขนมจีบหมู เนื่องจากมีคนซื้อเยอะ พี่เก็จเลยมั่นใจว่ามันต้องอร่อย พี่เก็จขา...แม่อ่องบอกว่าในตลาดเก่าเนี่ย อร่อยทุกเจ้าค่ะ เดินหลบฝนได้มั่ง ไม่ได้มั่งมาจนถึงเจริญกรุง ยังแวะซื้อขนมหัวไช่เท้า หรือคนไทยเรียกขนมผักกาด แต่ขนมผักกาดทั่วไปจะไม่อร่อยอย่างของจีน และไช่เท้าก้วยที่ขายก็ไม่อร่อยเท่าที่อาม่าฉันทำด้วย พี่เก็จถามว่าทำยากไหม? ขอบอกว่ายุ่งยากน่าดูค่ะ ถ้าเอาแบบเต็มยศอย่างที่คนจีนสมัยก่อนเขาทำไหว้เจ้าน่ะนะ

เราสองคนเดินกันไกลมากกว่าจะไปถึงป้ายรถเมล์ที่เลยแยกพลับพลาไชยไป แวะซื้อต้นไม้ กับน้อยหน่าอีก แบกกันซะให้พอ 555555 ทีแรกฉันชวนว่าให้ขึ้น 73 กลับบ้านเลย แต่ยืนรออยู่นาน ฝนก็ยังไม่หายตก เลยตัดสินใจขึ้นคันหนึ่ง จำสายไม่ได้ แต่เพื่อไปต่อรถใต้ดินที่หัวลำโพง

ไม่น่าเชื่อว่าขึ้นรถเมล์ธรรมดา ๆ ก็มีเรื่องให้ฉันได้หัวเราะได้อีก เพราะมากับพี่เก็จแท้ ๆ เลย...เรื่องของเรื่องคือเราก็นั่งคุยกันมาเรื่อย จนรถเลี้ยวเข้าหัวลำโพง แต่ฉันไม่รู้ว่ามีทางลงรถใต้ดินตรงหัวลำโพงเลย คิดว่าจะไปลงป้ายพระราม 4  จนเมื่อกระเป๋าบอกว่ามันสุดสายแล้ว รถจะกลับไปเยาวราชใหม่ อ้าวงั้นก็ต้องลงซิ แต่มีขบวนคนขึ้นเพียบ สองคนพี่น้องก็จะลง กว่าจะลงมาได้ก็เล่นเอาทุลักทุเลพอสมควร พี่เก็จหน้างอ เพราะมีผู้โดยสารที่สวนทางขึ้นรถเมล์พูดว่า..เฟอะฟะนัก ไว้ลงทีหลังละกัน....55555555

ฉันเพิ่งรู้เป็นครั้งแรกว่ามีทางลงรถใต้ดินที่หน้าหัวลำโพงเลย โง่มานาน เพิ่งฉลาดวันนี้ เมื่อได้กลับมาเหยียบหัวลำโพงอีกในรอบไม่ต่ำว่า 10 ปีมั้ง ทำให้ฉันนึกถึงวันวานอันแสนสนุกที่ฉันพาครูจินตา และครูชัชว์ล่องใต้ http://noppaul.blogspot.com/2010/10/blog-post_24.html จึงได้มีการนัดแนะกับพี่เก็จว่าไว้เรานั่งรถไฟไปเที่ยวกัน

กลับมาถึงบ้านพี่เก็จฝนก็ยังตกอยู่ ไหนลองรื้อดูดิ๊ ซื้ออะไรมาบ้าง โอ้...ของกินเยอะมาก อาทิ หมูตั้ง เกาลัด วุ้นข้าวต้ม ขนมจีบ ไช่เท้า-กุยช่ายก้วย  ฯลฯ  มีของที่กินไม่ได้อย่างเดียว คือต้นไม้ ไม่รู้ชื่อเหมือนกันว่าต้นอะไร เป็นกิ่งไม้ที่เอามาปักก็ขึ้นน่ะค่ะ ฉันก็ด้วยความอยากกินขนมไช้เท้าก้วยกับกุยช่ายก้วย เลยเอามาทอด ถามพี่เก็จว่าจะกินไหมจะได้ทอดเผื่อ พี่เก็จบอกว่าไม่นิยมของทอด พอฉันทอดเสร็จก็ตื้อให้พี่เก็จลองชิม พี่เก็จติดใจทอดไช่เท้าก้วยที่เหลือ บอกจะทำให้ก็ไม่ยอม เอามานั่งกินไปบ่นไป ทำไมไม่อร่อยเหมือนอ่องทอด 5555555 ก็คุณพี่ใจร้อนเหลือเกินนิ ยังไม่ได้ที่เลยก็เอาขึ้นแล้ว

คืนนั้นกลับถึงบ้านเกือบ 3 ทุ่ม ฝนตกตลอดตั้งแต่เยาวราชถึงบ้านที่อ่อนนุช แต่ใจฉันฉ่ำชื่นกว่าแผ่นดินเสียอีก.


วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

The day I turned 50 - Part 2

Oh, boy…never feel this happy~~

หลังจากได้ฉลองกับเพื่อน ๆ มา วันพุธหัวหน้าแก๊งสุโค่ยก็นัดฉลองให้ แต่ไม่ใช่ให้ฉันคนเดียวหรอกค่ะ เพราะมีคนเกิดร่วมเดือนเดียวกันอีก 2 คนคือพี่พัช และบุ๋มลูกสาวพี่เจน ทีแรกว่าจะไม่เขียนถึงแล้ว เพราะมันออกจะ เยอะ ไปหน่อย เดี๋ยวจะเป็นที่หมั่นไส้ของผู้คน 5555555 แต่คิดอีกที ตรงนี้เป็นบล็อกส่วนตัว เราน่าจะเขียนอะไรที่เราอยากเขียนได้ไม่ใช่หรือ?  และอีกอย่าง อีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะได้มี หนังสือส่วนตัว ไว้อ่านบนเก้าอี้โยกริมหน้าต่างตามลำพัง จะได้ยิ้ม ได้หัวเราะกับตัวเองกับความสุขที่มีในวันนี้

พี่เจนพาน้อง ๆ แก๊งสุโค่ยไปกินข้าวกลางวันที่อยุธยาค่ะ ไม่ได้แวะเที่ยวที่ไหนเลย ไปกินข้าวอย่างเดียวจริ๊ง ๆ เพราะสมาชิก 2 คนคือพี่พัชกับป๊าก ต้องรีบกลับมาประชุมสวว.ตอนเย็น ระหว่างทางในรถ ก็คุยจ๊อกแจ๊กไปตามเรื่อง ฉันก็ตามเคย ใบ้รับประทาน แต่ครั้งนี้ดีหน่อย เพราะมีพี่เก็จ พี่พัช และป๊ากช่วยพากย์ให้บางตอน แต่จะให้พากย์ตลอดก็น่ะ  นี่ถ้าไม่ได้อยู่บนรถ..พี่เก็จคงได้จดเล็คเช่อร์ให้แล้ว พี่เก็จบอกว่าเดชะบุญที่อยู่ในรถ อ้างเรื่องเวียนหัวได้ 55555555

คุยไปคุยมา ป๊ากเกิดคอแห้งควักโบตันมา ฉันก็แบมือขอทันที แล้วเกิดยังไงไม่รู้ มีบรรยายภาควิชาลูกอมโบตัน 55555555 ป๊ากผู้รอบรู้แจงซะละเอียดยิบว่าส่วนประกอบของโบตันทำมาจากสมุนไพรอะไรบ้าง และสมุนไพรนั้น ๆ มีคุณประโยชน์อย่างไร กว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง แก๊งสุโค่ยได้รับความรู้เรื่องโบตันมากกว่าผู้จัดการฝ่ายผลิตของบริษัทอีกมั้งคะ 5555555

ร้านอาหารที่ไปกิน อยู่ตรงไหนก็ไม่แน่ใจ อธิบายไม่ถูก เพราะไม่ได้ดูทางเลย รู้แต่ว่าอยู่ในตลาดชุมชนริมทางหลวง เป็นร้านเล็ก ๆ ติดลำคลอง อาหารอร่อยค่ะ โดยเฉพาะกระเพราไข่เยี่ยวม้า อร่อยมาก เป็นครั้งแรกที่กินไข่เยี่ยวม้า แต่ก็กินเฉพาะไข่ขาวสีดำ รสชาติเหมือนไข่ดาวเลยค่ะ และวันนี้ได้กินกุ้ง เนื่องจากที่ร้านบริการแกะให้  คือผ่ามาให้เรียบร้อยในจาน แต่กระนั้น..คุณอ่องยังเรื่องมาก 555555 จนเพื่อนผู้น่ารักที่ชื่อป๊าก ผู้แสนจะรู้ใจต้องแกะเฉพาะเนื้อบริการพิเศษสุดพิเศษให้

ฉันว่าคงเพราะพี่เจนสั่งให้ร้านแกะมาให้แหง ๆ หลังจากที่อ่านมหากาพย์แก๊งแม่กลอง พี่เจนคงอยากให้ฉันกินกุ้ง ขอบคุณนะคะพี่เจน และป๊าก - ป๊ากผู้บอกพี่เจนว่า..อย่าตามใจพี่อ่องมากนะคะ..แต่ตัวเองแอบตามใจและเอาใจเสมอมา 5555555 มันก็ช่วยไม่ได้เลยที่ฉันจะกลายเป็นมนุษย์ spoiled เพราะเติบโตและแก่ไปในแวดวงของผู้คนผู้อารีกับฉันมาตลอด 50 ปี ตอนเด็ก ๆ ก็มีพ่อแม่ปู่ย่าตายายเอาใจ แก่ ๆ ก็มีพี่น้องผองเพื่อนวัฒนาตามใจ จะหามนุษย์ผู้ใดบนโลกมีความสุขได้เยี่ยงนี้?...ไม่มี๊ ไม่มีอีกแล้ว 5555555

นอกจากกระเพรา กุ้งย่าง แล้วยังมีอีกอย่างที่ฉันอยากกิน และได้กินจำนวนมาก สิ่งนั้นคือหอยแครงย่างค่ะ พอเห็นปุ๊บก็คิดถึงอากงปั๊บ เลยขอให้พี่เจนสั่งให้ พี่เจนก็ใจดีสั่งมาตั้ง 2 จาน ฉันกินคนเดียวไป 1 จานกว่าได้มั้ง อิ่มตื้อเลยค่ะ ลืมไปเลยว่ามีเค้กรออยู่ เค้กช็อคโกแลตฝีมือพี่หนิง อร่อยมากค่ะ นุ่มกินแล้วคิดถึงครูผิน แต่พี่พัชคิดถึงครูภิญโญเพราะเคยโดนทำโทษให้ไปทำเค้กช็อกโกแลตมาก่อน ทำเอาเด็กเรียบร้อยอย่างพี่เก็จอย่างป๊ากตาโต รู้งี้สมัยเรียนไม่เรียบร้อยหรอก เพราะโดนทำโทษแบบนี้มันก็น่าโดนนะ 5555555

ตอนจะปักเทียนเป่าเค้ก พี่เจนซื้อปืนเป่าลูกโป่งฟองสบู่มาเสริมบรรยากาศด้วย แต่ทั้งฉันทั้งบุ๋มไม่สามารถทำฟองลูกโป่งได้ ต้องนี่เลย...คุณป๊ากค่ะ เก่งรอบตัวจริง ๆ เพื่อนฉัน ยืนยันว่าที่ป๊ากสอบได้ที่ 1 นั้นไม่ใช่โชคช่วย แต่ได้มาด้วยความสามารถล้วน ๆ จริง ๆ  ป๊ากดูทางลมค่ะ ยืนถูกที่ ฉีดด้วยแรงนิ้วพอเหมาะ ลูกโป่งฟองสบู่วิ่งออกมาเป็นพรวนเลย...

ความที่เค้กอร่อย แม้ว่าจะอิ่ม แต่ฉันกับพี่เก็จก็เบิ้ลอีกคนละ 1 ชิ้น คราวหน้ามีงานวันเกิดใคร ต้องขอสั่งเค้กพี่หนิงแล้วล่ะค่ะ

ก่อนที่อาหารจะมา (555555 มาถึงก็คุยเรื่องกินก่อนเลยลืมเล่าอะไรบางอย่าง 555555) พี่เจนได้ให้ของขวัญคนวันเกิดค่ะ เป็นการ์ดใบที่สองที่เป็น paper production พี่เจนเขียนหน้าซองว่า...to my dearest gig… เรื่องของเรื่องมาจากว่าตอนกลับจากแม่กลอง มีการคุยกัน แล้วพี่เก็จ (มั้ง) ถามฉันว่า...ฉันเป็นอะไรกับพี่เจน? ไอ้ฉันก็ด้วยความทะลึ่งทะเล้น ตอบว่า...เป็นกิ๊กบุญธรรมค่า.... พี่เจนคงโดนกับคำ ๆ นี้มาก และพี่เจนได้ให้ของขวัญเป็นตุ้มหูทอง 1 คู่  มาอีกแล้วตุ้มหู 55555 เมื่อ 2 ปีก่อนตอนชมรมผู้รู้คุณแผ่นดิน พี่เจนคงลืมไปแล้วว่าป๊ากปล้ำใส่ตุ้มหูอีกข้างให้ซะหูแดงเถือก เพราะมันตันไป 1 ข้างค่ะ วันนี้ก็เลยใส่ข้างเดียว ก็เท่ไปอีกแบบ พี่เก็จให้ที่วางเม้าส์อย่างดี กับถุงเท้า กลับมาถึงบ้านก็โละที่วางเม้าส์อันเก่าทันที 5555555 ไม่ค่อยจะบ้าเห่อเลย ส่วนพี่พัชให้เข็มกลัดรูปโน้ตดนตรีค่ะ ขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนสำหรับของขวัญนะคะ จริง ๆ ของขวัญต่าง ๆ ก็เป็นเพียงองค์ประกอบ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...ความรักที่พวกเรามีต่อกันเสมอมาต่างหาก...

กินข้าวกับเค้กอิ่ม ก็ต้องเดินเที่ยวย่อยอาหารสักหน่อย ไปเจอผลิตภัณฑ์เจ๋ง ๆ ของชาวบ้านค่ะ มันคือ...นกไม้ แต่มันเจ๋งตรงที่มันสามารถพูดตามเราได้ทันทีเลย ทีแรกทุกคนก็ไม่ได้สนใจอะไร นึกว่ามันเป็นเหมือนตุ๊กตาไขลาน ร้องไปตามเรื่องตามราว แต่คนหูดีอย่างพี่พัชบอกว่า...เอ๊ะทำไมมันร้องเสียงเหมือนอ่อง 555555  คงเพราะฉันเสียงดังสุดในกลุ่ม 55555555 ฟัง ๆ ไป เออแฮะ มันเป็นเหมือนกระจกเลยค่ะ แต่กระจกเงาสะท้อนภาพตัวเรา เจ้านกฝูงนี้สะท้อนเสียงค่ะ ทีนี้เลยเอาใหญ่เลยสาว ๆ วัฒนา 55555 แย่งกันพูดให้นกว่าตาม จนพี่เจนต้องเดินไปก่อน กลัวน้อง ๆ จะทำนกเขาเจ๊งเพราะพูดตามไม่ทัน  55555555 เดี๋ยวได้เหมานกฝูงนี้กลับบ้านโดยจำยอมแน่

ขากลับในรถ ก็มีการคุยกันอีก คราวนี้เป็นเรื่องซีเรียส เป็นงานเป็นการนิดหน่อย ไม่สามารถนำมาเผยแพร่ได้ค่ะ ที่เผยแพร่ไม่ได้เพราะฟังได้ไม่หมด เดี๋ยวเล่าผิด จะโดนมิใช่น้อย 555555555 และก็มีการคุยถึงผลลัพธ์ของทัวร์แม่กลอง ทั้งมีการเสนอให้จัดอีก คราวนี้ขอค้างคืน  เอ้อ.....จะมีใครไปด้วยไหมคะ? ลงชื่อไว้แต่เนิ่น ๆ กันก่อนได้นะคะ ส่วนที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ไว้จะแจ้งให้ทราบในวาระต่อไปค่ะ

หลังวันเกิดครบรอบ 50 ปีมา 3 วันฉันสนุกกับทุกวันของชีวิตวัยทอง ซะจนอยากจะบอกว่าตอนนี้ very looking forwards to วันแซยิดแล้วล่ะค่ะ.
ภาพประกอบเชิญทัศนาที่ http://www.facebook.com/home.php?#!/media/set/?set=a.2064943535903.2114271.1014205787


วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

The day I turned 50

Found the golden pot …Big one!!

เมื่อวานนี้...เป็นวันแรกที่ฉันย่างเข้าเขตแดนสนธยาของชีวิต พูดถึง สนธยา แล้วขอนอกเรื่องนิด 5555555 นอกเรื่องตั้งแต่ประโยคแรกเลยนะ คือหลายสิบปีก่อน...หลายสิบ???? โห!!! ไปเที่ยววัดแม่นาคพระโขนงครั้งแรกกับอู๋ค่ะ ไปตอนสนธยาซะด้วย วังเวงในความรู้สึกมาก ๆ ใครอยากรู้ว่ามันวังเวงยังไง ต้องไปเองค่ะ บางความรู้สึกไม่สามารถใช้อักษรบรรยายได้

แต่เมื่อวาน ชีวิตฉันตรงข้ามกับคำว่าวังเวง..แต่ครื้นเครง เมาอยู่ในทะเลหรรษาของเพื่อน ๆ รุ่น 105 ..ยินดีในความรักของครูและพี่ ๆ น้อง ๆ หลากหลายรุ่น ขอขอบคุณค่ะสำหรับทุก ๆ คำ Happy Birthday ที่มาทั้งทาง sms – emails – facebook…. ตั้งแต่ตื่นนอน ยันเข้านอนเลยทีเดียว ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ

ก่อนหน้าวันเกิด ป้อมโทรมาบอกว่าเพื่อน ๆ จะกินข้าวในวันเกิดฉัน จะมารับ แต่ฉันมีนัดแล้ว คือต้องไปเจอครูเสริมศรีที่โบสถ์วัฒนา (เป็นวันเกิดที่ดีนะคะ เข้าทั้งโบสถ์ทั้งวัด-ทะ-นา) แต่ก็อยากเจอเพื่อน เลยยกเลิกนัดน้องชายตัวเองซะงั้น 55555 ทั้ง ๆ วันก่อนเป็นคนนัดอู๋เอง อยากกินหมูย่างเกาหลี

เจอครู และพี่ ๆ น้อง ๆ หลายคนหลากรุ่น ตั้งแต่พี่สายสนม ลงมาถึงน้องลอร่า ครูเสริมศรีให้การ์ดอวยพร เป็นการ์ดใบเดียวที่เป็น paper production ประจำปีนี้เลยแหละค่ะ 5555555 นอกนั้นแล้วมาทางอีเลคโทนิคทั้งสิ้น ครูเขียนในการ์ดว่ายินดีสอนภาษาอังกฤษให้อีก จะได้ไม่แพ้พี่เจน...หนูว่าหนูต้องไปเกิดใหม่แล้วค่ะ ถึงจะภาษาดีเท่าพี่เจน เพราะตอนนี้ภาษาไทยก็เสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ รู้แต่ศัพท์ง่าย ๆ พื้น ๆ แต่การสื่อสารกับผู้คน...เราคงไม่ต้องการสำนวนวิลิศมาหราอะไรหรอกใช่ไหมคะ แค่ใช้หัวใจพูดก็พอแล้ว~~~โอ๊ะ โม่ 55555555 ยามนี้ต้องขออุทานเป็นภาษาเกาหลีค่ะ

ฉันไปถึงร้านหิมาลัยชาช่าแอนด์ซันที่สุขุมวิท 31 โดยมีพี่เจนมาส่ง วันเกิดปีนี้ดีแฮะ ได้กินข้าวที่ร้านอาหารบนหลังคาโลก ใกล้สวรรค์เข้าไปทุกที 55555555 เพื่อน ๆ มารอกันอยู่แล้ว คำแรก ๆ ที่ทักคือ...รอยลิปติสที่แก้ม ไปโดนใครจูบมาฮึ?....55555555

ฉันเป็นคนที่มีมรรยาทในโต๊ะอาหารตามปกติ คือไม่นิยมสนทนาระหว่างกินข้าว เป็นผู้ดีภาคโสตบังคับ -_-* แต่อาหารก็ดูจะชูรสขึ้นเมื่อได้กินท่ามกลางเสียงหัวเราะตลอดเวลาของทุกคน มองไปรอบ ๆ ก็มีแต่ประกายวิ้ง ๆ จากดวงตารอบตัว...อร่อยกว่าหอมดองที่ใครดันบอกฉันว่ามันคือมะเขือเทศซะอีก

พออิ่มแล้ว เพื่อนยังหัวเราะไม่หยุด สงสัยคุยเรื่องบ้านลัดดาแลนด์ ฉันก็เลยเปิดกล้องแล้วแชะ ๆ ๆ ๆ แชะจนเพื่อนโวย...โอ๊ยยย ไม่เอา พอแล้ว ๆ เอาผ้าขึ้นมาปิดก็แล้ว ยกมือขึ้นมาบังก็เล่า เจ้าของวันเกิดหาได้สนใจไม่ ตอนท้ายจิ๋มบอกว่า...ถ้าวันที่ 24 กรกฎาอ่องเอากล้องไปอยุธยา ฉันไม่ไปนะ 55555555 ... จิ๋ม ถึงฉันไม่ได้เอากล้องไป ฉันก็สามารถหยิบกล้องรอบตัวขึ้นมาแชะได้นะยะ

แชะจนเพื่อน ๆ ขอดูรูปในกล้อง แล้วมีขู่ว่าห้ามขึ้น facebook ก่อนได้รับอนุญาตนะ ไม่งั้นมีเคือง เห็นฉันลอยหน้าลอยตาทำไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งจิ๊บทั้งเล็กสำทับลงไปอีก ...จริงๆ นะ ถ้าลงรูปไม่ดีล่ะก็...เธอจะไม่ได้เห็นหน้าฉันอีกเลย... อันนี้น่ากลัวแฮะ 5555555 แต่พอลงรูปไป ก็เห็นเข้ามากด like กันเพียบนิ  

ที่ร้านอินเดียไม่มีขนม กินข้าวเสร็จก็เดินไปกินเค้กแกล้มกาแฟเคล้าเสียงหัวเราะอีกร้านนึง ไม่ได้เอารถไปเพราะร้านนั้นมีที่จอดรถน้อย ตอนอยู่ในร้านกาแฟขำเพื่อน ๆ 55555555 คือปกติแล้วจะคุยกันเสียงดัง แต่พอคุยการเมืองกลับเงียบเสียงลงจนโอ๋ที่เดินกลับมาจากสั่งกาแฟสงสัยว่าคุยอะไรกัน อยู่ดี ๆ เงียบผิดสังเกต 55555555 

กินขนมเสร็จ ก็ยังไม่จบค่ะสำหรับเพื่อนกลุ่มนี้ แม้ว่าบางคนจะแยกย้ายกลับไปก่อนเพราะมีธุระ แต่ที่เหลือก็มานั่งเม้ากันต่อที่บ้านจิ๊บ กว่าจะถึงเวลากลับบ้านก็เย็นแหละค่ะ ยังดีนะคะ สมัยก่อนมืดค่ำเที่ยงคืนยังไม่กลับเลย ไม่ได้ทำอะไรนอกจากคุย ๆ ๆ ๆ และก็คุย 555555555 ไม่เคยเห็นรุ่นไหนจะคุยทน คุยอึดเท่ารุ่น 105 อีกแล้ว

ขากลับเจอพายุฝนโหมเข้าใส่ สงสัยจะมีคนคิดถึงมาก 5555555 (คิดไปได้ไงเนี่ยะเนอะ) กลับเข้าบ้านตัวชุ่มน้ำ แต่ใจฉ่ำรัก 555555555 โว้ว ~~~ 555555

เป็นวันวัยทองที่แสนจะปรีดิ์เปรมของฉันทีเดียว ถ้าเปรียบชีวิตกับการเดินทาง ณ วันนี้ วัยมัชฌิมก็คงเหมือนว่าเราเดิน ๆ มาไกลแล้ว กำลังก้าวสู่สายรุ้งข้ามเข้าเขตแดนสนธยา แต่เป็นแดนสนธยาที่แสนจะสดใส ไม่อึมครึม ไม่วังเวง เพราะมีรักจากผองเพื่อนพี่น้องวัฒนาเป็นดอกไม้ เป็นผีเสื้อ เป็นฝูงนกน้อยตลอดเส้นทาง ไม่มีทางที่จะเงียบเหงาไปได้เลย 5555555

เคยได้ยินนิทานเรื่องหม้อทองคำ อภิมหาขุมสมบัติที่สุดทางสายรุ้งไหม จะบอกว่าฉันเจอแล้ว...เดี๋ยวนี้เลย ขุมทรัพย์ทองคำในหม้อแสงทองอร่ามเรืองตรงนี้ ทำให้ฉันไม่ได้แคร์เลยว่าทางข้างหน้าบนสะพานรุ้งที่กำลังก้าวขึ้นไปจะมีอะไรดีกว่านี้ไหม? ในเมื่อที่ ๆ ฉันยืนอยู่ตรงนี้ ก็ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว.