เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นอะไรที่...เล่าไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนก่อนดี เพราะมันช่าง “อื่น ๆ อีกมากมาย” จริง ๆ ค่ะ งานวัฒนาโฮมคัมมิ่งที่จัดขึ้น เป็นงานแรกที่พาพวกเราคัมมิ่งโฮมอย่างเต็มรูปแบบ คณะทำงานก็เหน็ดเหนื่อยกันถ้วนหน้า เหนื่อยเพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะ งงเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้มีการจัดกัน ก็พยายามสุมหัวกันระดมความคิดเพื่อให้งานนี้ สามารถพาพวกเราย้อนกลับไปสู่บรรยากาศเก่า ๆ ที่คุ้นเคยกันให้มากที่สุด เท่าที่พวกเราจะสามารถทำได้
หลังจากที่เหนื่อยกันมามากมาย ผ่านมา 3 วัน ทุกคนก็หายเหนื่อยแล้ว แต่มาเพลียตาแทน เนื่องจากคลื่นรูปที่ถาโถมลงใน FACEBOOK นับเป็นพันเป็นหมื่นรูปได้มั้งคะ ดูกันไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว ฉันเองนั่งดูตั้งแต่บ่ายวันอาทิตย์จนเช้าวันนี้ คิดว่าจะพัก และเริ่มบันทึกเหตุการณ์ความสุข ความรัก ความผูกพันอันยิ่งใหญ่ก่อนที่จะสับสน ไอ้ลืมน่ะไม่มีลืมง่าย ๆ อยู่แล้วค่ะ เพียงแต่การเล่า...โดยเฉพาะเล่าให้ผู้ที่ไม่ได้มาได้ฟังท่ามกลางผู้ที่มาเนี่ยะ...มันยากนะคะ เพราะจะทำเนียน มั่ว ๆ ไปบ้างก็ไม่ได้
เกริ่นกันมานาน กว่าจะเข้าเรื่อง...เกริ่นถ่วงเวลาค่ะ...งานนี้มี big surprises สำหรับฉันหลายรายการ และขีดความปลาบปลื้มดีใจก็มากเท่า ๆ กันจนต้องบอกก่อนว่า เล่าก่อนเล่าหลังไม่ได้แปลว่าจัดอันดับนะคะ เพราะทุกคนที่ได้มางานเพราะฉันออดอ้อนให้มานั้น...คือเบื้องหลังรอยยิ้มอันเบิกบานของฉันเท่าเทียมกันค่ะ...
ตอนเช้าก่อนงานเริ่ม เอ็มได้เชิญครูเวรมาประชุมบริ๊ฟท์บทบาทหน้าที่ว่าครูจะต้องทำอะไรบ้าง ภาพที่ครูตั้งอกตั้งใจฟังอดีตนักเรียนทำให้พวกเราต้องได้อายเชียวค่ะ เพราะสมัยเรียน พวกเราไม่ได้ตั้งใจฟังครูสอนเท่านี้เลยค่ะ จริง ๆ..
หลังจากที่เจอพี่อ้น (พี่อ้อนขา อ่องขออนุญาตเรียกอย่างเคยนะคะ) ที่ร้านอาหารแถวสมิติเวชเมื่อวันเกิดปีที่แล้ว ฉันก็ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอพี่อ้นอีกโดยเฉพาะในวันนี้ (แต่สารภาพว่าแอบหวัง เพราะอยากเจอพี่หัวโต๊ะในวัฒนาอีก) เมื่อได้เจอเข้าจริง ๆ ในวันวัฒนาโฮมคัมมิ่ง ฉันก็รู้สึกยินดีจนกล้าที่จะพูดคุย (จนต่อยหอยแตกไปหลายตัว) กับพี่อ้น แถมขอให้พี่อ้นช่วยโทรตามพี่ตุ้มมาให้ด้วย พี่ตุ้มก็อยากมา แต่ติดภารกิจจริง ๆ ฉันก็เศร้าแป๊บเดียว เพราะมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นมากมายในวันดี ๆ เช่นนี้ บางทีการที่พี่ตุ้มไม่มา พระเจ้าอาจจะอยากให้ฉันร่อนไปร่อนมาทั่ว ๆ มากกว่ามาเกาะติดพี่ตุ้มคนเดียวก็เป็นได้ เพราะถ้าพี่ตุ้มมานี่...ยัยอ่องติดหนึบกับพี่ตุ้มคนเดียวและก็พลาดกับทุก ๆ รายการแน่ ๆ ขนาดพี่ตุ้มไม่มายังพลาดไป 2 รายการเลยค่ะ คือตอนเคารพธงชาติกับตอนครูวรรณดีปลูกต้นไม้
ตอนที่ครูวัชรินทร์เดินมาทักฉัน ฉันก็ยกมือไหว้ ปากก็กำลังจะถามว่า “พี่.....?” ดีที่ครูชิงแนะนำตัวก่อนว่าครูวัชรินทร์จ้ะ.... ฉันถึงกับต้องปรับสมอง ปรับสายตาอย่างเร่งด่วน....โอ้ว นี่ฉันเบลอขนาดแยกครูออกจากรุ่นพี่ไม่ได้แล้วเหรอเนี่ยะ? ครูวัชรินทร์ยังจำได้ดีว่าฉันชอบเขียนนิยายในชั่วโมงเลขของครู ทั้ง ๆ ที่นั่งหน้าห้อง แถมครูก็ยืนสอนอยู่ติด ๆ โต๊ะฉันนี่แหละ ครูบอกว่าเพราะเหตุนี้ ทำให้ครูมาทบทวนว่า...คงไม่เหมาะที่จะเป็นครู เพราะไม่สามารถทำให้นักเรียนสนใจสิ่งที่สอนได้ ครูขา หนูผิดไปแล้ววววว.....
อดีตนายกผมสีม่วงมาในชุดน้องเจน ใส่ชุดนักเรียนเดินหน้าบานเข้ามาท่ามกลางเสียงกรี๊ด เสียงโห่รับลั่นหน้าบ้าน ฉันงี้ตะลึงจนลืมถ่ายรูปไปเลย คิดดูซิว่าน่าตะลึงขนาดไหน ฮ่า ๆ น้องเจนเลยเป็นดาราประจำงานไป ใคร ๆ ก็อยากถ่ายรูปด้วย สุโค่ยมากค่ะ ข้าน้อยขอคารวะท่านหัวหน้า
ศิษย์เก่าและแก่ (คำของท่านผู้หญิงสุมาลีเองค่ะ) มาอย่างสง่างามเหมือนเคย ฉันยืนอยู่บนหน้าบ้านพอดีตอนที่ท่านผู้หญิงลงจากรถ โดยไม่รู้ตัว ฉันเข้าไปกราบสวัสดีถึงตัวท่านด้วยความลิงโลด เพราะก่อนหน้าวันโฮมเพียงไม่กี่วันยังฝันว่าเจอ และในฝันก็ได้ถามว่าท่านจะมาหรือไม่? ซึ่งตอนนี้...ฝันนั้นก็เป็นจริงแล้ว.... ท่านยังสร้างความปิติยินดีให้ฉันด้วยการชูโปรแกรมและจดหมายที่ฉันเขียนไปเชิญแกมอ้อนให้ท่านมา ฮ่า ๆ ช่างกล้าเนอะ อ้อนกระทั่งท่านผู้หญิงสุมาลี ท่านมาในฟอร์มเสื้อขาว กางเกงขายาวสีแดง ท่านบอกว่าแวะมาได้แป๊บเดียวเพราะต้องไปประชุมที่อื่นต่อ ฉันอยากจะเรียนท่านว่า...เท่าที่ท่านได้มา พวกเราทุกคนก็ปลาบปลื้มกันสุด ๆ แล้วค่ะ แล้วท่านก็มอบซองแสดงความยินดีกับการจัดงานต่อสวว.ให้ไว้กับฉัน ซึ่งได้ส่งต่อถึงนายกแดงโดยเรียบร้อยแล้ว....
ท่านผู้หญิงมาได้เวลาดีจริง ๆ เพราะได้เวลาที่ฉันต้องขึ้นไปตีระฆังให้ทุกคนไปกินข้าวเที่ยงกัน พี่อ๋องบอกไว้ว่าตีนาน ๆ ๆ ๆ ๆ เลยนะ แต่ตีอยู่นาน มองมาข้างล่างก็ไม่เห็นมีใครได้รู้เรื่องเล้ย? ไอ้นาน ๆ ๆ ๆ ของพี่อ๋องเนี่ยะ มันต้องกินเวลาเท่าไรล่ะเนี่ย หรือจะต้องตีจนเป็นผีเวรเฝ้าระฆัง?
หลังจากตีแก๊ง ๆ ๆ ๆ (รู้สึกมันจะดังกรุ๊งกริ๊ง ๆ มากกว่า ฮ่า ๆ) ฝูงนกกระจอกก็ค่อย ๆ รู้ตัว เพราะพี่อ๋องพี่เก็จพี่ตุ้มช่วย ๆ กันประกาศและต้อนนกกระจอกร่วม 300 คนไปห้องกินข้าวที่ต้องไปกินกันที่ตึกใหม่ (แถว ๆ ตึกประถม) ฉันก็เดินไปสมทบทีหลัง ในห้องอาหารเต็มไปด้วยเด็กนักเรียนคนเก่าคราบใหม่ จับจองโต๊ะกันเป็นที่อลหม่าน ไอ้ที่พวกเรานั่งจัดโต๊ะกันไม่ได้หลับได้นอนไม่เป็นผลแม้แต่น้อย เพราะทุกคนอยากนั่งกับเพื่อนกันหมด ส่วนฉันหาเพื่อนไม่เจอ ไปนั่งกันตรงไหนมั่งเนี่ยะ กำลังยืนมองงง ๆ พี่หนิงเห็นก็เรียกให้มานั่งโต๊ะรุ่น 100 ก่อน แต่พอมองเห็นพี่อ้น ก็วิ่งไปนั่งกับพี่อ้นซะงั้น ฮ่า ๆ
ตอนแรกบอกพี่อ้นว่าให้พี่เป็นพี่หัวโต๊ะอีกรอบ พี่อ้นเสนอไอเดียดีกว่านั้น ให้อ่องเป็นพี่หัวโต๊ะมั่ง เขินมาก เพราะมองไปทั้งโต๊ะรุ่น 99 ทั้งโต๊ะอ่ะ แต่พี่ ๆ ทุกคนน่ารักมากค่ะ ไม่ทำให้อึดอัดขัดเขินเลย แถมกินข้าวกันคนละ 2 จาน แปลว่าพี่หัวโต๊ะทำหน้าที่ได้ดีมากใช่ไหมคะ ลูกโต๊ะเลยกินได้เยอะ น่าน...เอาความดีความชอบใส่ตัวซะเฉย ๆ อย่างนั้นเลยนะนพพร....
ก่อนกินข้าวก็มีการร้องเพลง โดยพี่โอ๋บุปผา เป็นคนเล่นเปียโน ....อา วันวานยังหวานอยู่ ~~~~
ตอนที่ฉันกินข้าวอิ่มแล้ว ป้าจีรวัสส์ก็เข้ามาในโรงอาหารพอดี เหตุผลที่ป้าจีมาสาย เป็นเพราะต้องแวะไปโรงพยาบาลก่อน ป้าจีบอกตอนที่ฉันเข้าไปกอดและกราบสวัสดีว่า ป้าพยายามโทรหาแล้วแต่โทรไม่ติด เพราะมือถือฉันไม่มีคลื่นค่ะ ป้าจีเป็นที่เคารพรักของวัฒนาทุกรุ่นจริง ๆ สังเกตจากจำนวนคนที่ทยอยกันเข้ามาทัก ไม่ขาดสายจริง ๆ จนป้าจีแทบไม่เป็นอันได้กินยำทวายของโปรดเลยทีเดียว
ตอนกินข้าวเสร็จ นายกแดงได้เชิญ 3 แม่ครัวผู้รังสรรค์อาหารให้พวกเรากินกันมาตลอด 40 ปีนี้มาอวดโฉมอย่างเป็นทางการ แสงแฟรชวูบวาบราวกับดาราฮอลลีวูดปรากฏตัว เสียงปรบมือดังและยาวนานจนฉันเองรู้สึกตื้นตัน พวกเราหลายคนยกมือไหว้ขอบคุณแม่ครัวสำหรับอาหารดี ๆ ที่ได้บำรุงพวกเราตลอดมา โมทนาอาหารประจำวัน ทั้งผู้จัดสรรและบริการ...ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
เมื่ออิ่มแล้วทุกคนก็ทยอยมุ่งไปตึกเรียน แต่ฉันไปถึงช้า เพราะต้องคอยดูแลพาป้าจีไปด้วยความรับผิดชอบในฐานะพี่เวร และคนไปอ้อนป้าจีมางาน ก็พาป้าจีไปหน้าบ้านก่อนเพื่อเปลี่ยนยูนิฟอร์ม แล้วจึงมุ่งหน้าไปตึกเรียนกัน จึงได้พลาดตอนน้องเจนกับพี่แอ๊ะชักธงอย่างน่าเสียดาย
เห็นทุกคนนั่งกันเต็มห้องประชุมแล้ว ฉันแอบถามตึกเรียนว่า...ดีใจไหมคะที่ทุกคนกลับมาทักทายกันอีกครั้งหนึ่ง?.... ฉันว่าฉันได้ยินคำตอบนะ เพราะห้องประชุมที่เคยอึมครึม เงียบเหงาในหลายครั้งที่ฉันแวะเวียนมาถ่ายรูป บัดนี้กลับสว่างไสวด้วยรอยยิ้ม มีชีวิตชีวาด้วยเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของฝูงนกวัฒนาฝูงใหญ่ กระทั่งครูวรรณดีก็แทบต้องซดยาชวนป๋วยบวกยาเสือดำเพื่อบำรุงหลอดเสียง แต่ที่สะกดห้องประชุมให้เงียบงันได้จริง ๆ กลับเป็นเสียงร้องเพลงของพี่น้อย จันทนีย์ สะกดทุกคนให้ตกอยู่ในภวังค์จนป้าจีต้องชะโงกมาดูหน้าคนร้องเชียวแหละค่ะ สุดยอดมากสำหรับนักร้องเสียงเพชรสิบกะรัตคนนี้
หนึ่งในกิจกรรมที่ไฮไลต์ และสนุกที่สุดของงานนี้คือการประมูลโต๊ะเก้าอี้เรียน ที่เริ่มต้นจาก 2 พัน ค่อย ๆ ขยับ ๆ ท่ามกลางการลุ้นของคณะทำงานว่าจะถึงเป้าที่คุยกันไว้ 2 หมื่นหรือไม่? แต่ในที่สุดก็สามารถเกิน 2 หมื่นจนได้ ตอนนี้เหล่าผู้ประมูลเริ่มคึกคัก คณะทำงานก็หน้าบาน ส่วนคนเชียร์ไม่ต้องพูดถึง ....นานแค่ไหนแล้วที่ห้องประชุมไม่เคยมีเสียงกรี๊ดดังขนาดนี้ ดีที่กำลังจะปิดซ่อมพอดี 555555 เพราะป่านนี้คงกระเทือนด้วยพลังเสียงจนปูนกระเทาะไปหลายจุดแล้วม้าง ตัวเลขมานิ่งอยู่ที่ 6 หมื่นนานพอสมควร จนครูวรรณดีใกล้ทุบค้อนสรุปราคา ทันใดนั้นน้องเจนก็ยกมือลุกขึ้น...1 แสนบาทค่ะ สำหรับการบูรณะตึกเรียนอันเป็นที่รักและภาคภูมิใจของวัฒนามาตั้งแต่ปี 1919..... เสียงกรี๊ดระเบิดอย่างยาวนาน ๆ พร้อมๆ กับการปลุกชีพผู้ประมูลให้ฮึกเหิม จาก 1 แสนจึงขึ้นพรวด ๆ เหมือนราคาทองคำ ขึ้นแล้วไม่มีลง ยิ่งแพงก็ยิ่งยวนใจให้ไขว่คว้า 55555555 เหตุการณ์ตอนประมูลฉันคงไม่สามารถถ่ายทอดได้ครบ เพราะหูไม่ดี 5555555 ผู้ได้มาอยู่ในห้องประชุมวันนั้นคงไม่ลืมไปอีกนาน ส่วนผู้ที่ไม่ได้มาอยู่ก็...จงใคร่รู้ใคร่เห็นต่อไป 5555555 เอาบทสรุปก็แล้วกันนะคะ สรุปว่าโรงเรียนเพิ่มโต๊ะเก้าอี้ให้อีก 2 ตัว เป็น 3 ตัวค่ะ ผู้ชนะการประมูลได้แก่น้องปริญดา รุ่น 111 ประมูลได้ในราคา 1 แสนห้าหมื่นบาท !!!! หมอฟันจงเจริญ!!!!! ที่สองคือจอย นิลเนตร รุ่นฉันเอง 555555 ประมูลได้ 1 แสนสามหมื่น และพี่ ๆ รุ่น 101 นำโดยพี่หมอตุ้ย 1 แสน2 หมื่น หมอฟันจงเจริญอีกรอบ 55555555
และที่หลาย ๆ คนชอบ จนรุ่น 105 ที่ไม่ได้จองล่วงหน้าอดกระจองอแงอยากได้มั่งไม่ได้คือ บัตรแดงรุ่นลิมิตเตด โฮมคัมมิ่ง ซึ่งครูวรรณดีลงทุนเขียนด้วยลายมือครู พร้อมกับเซ็นชื่อให้ทุกใบค่ะ! กว่าจะเขียนหมด นิ้วมือข้างขวาแทบขึ้นกล้าม ฮ่า ๆ ๆ บัตรแดงนี้พอฉันกลับมาถึงบ้านก็รีบวิ่งไปให้คุณแม่เซ็น ไม่เท่านั้น ยังเอาบัตรเก่าไปให้เทียบให้เหมือนอีกด้วยค่ะ เท่สะไม่มีล่ะนพพร !! ตอนแจกบัตรแดงแรก ๆ ครูก็แจกทีละคนทีละใบ หลัง ๆ ชักเมื่อย ฮ่า ๆ มาเริ่มที่ฉัน..เอ้านพพร เป็นตัวแทนละกัน รับไปแจกเพื่อน ๆ เมื่อรับบัตรแดงกันจบแล้วก็ร้องเพลงปิดท้าย วัฒนาต้องร้องเพลง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าฉันจบจากวัฒนาได้ไงไม่ชอบร้องเพลง ฮ่า ๆ ๆ ฉันได้เดินไปฟังพี่อ้นร้องเพลงด้วย เสียงหวานเพราะเชียว... พี่อ้นน่าจะเข้า wwa alumni glee club นะคะ หลังจากนี้เราได้ไปถ่ายรูปกันหน้าตึกเรียนค่ะ
จากนั้นป้าจีกับคุณแม่พี่อ๋องก็ได้เวลากลับแล้วค่ะ ฉันเข็นรถไปส่งป้าจี กลับมาครูวรรณดีปลูกต้นไม้เสร็จไปแล้ว จึงเดินเตร่ไปดูกีฬาสีและได้คุยกับเพื่อน ๆ บ้างเล็กน้อยช่วงนี้ หลายคนทยอยกันกลับบ้าน แต่ก็มีหลายคนที่ยังยืนหยัดอยู่โรงเรียน ที่ไม่ได้ดูกีฬาก็เตร่ไปทัวร์โรงเรียน เพราะสำหรับบางคนแล้ว การที่ห่างโรงเรียนไป 20 ปีขึ้น โรงเรียนเปลี่ยนไปมากมายจริง ๆ มีคนถามฉันเยอะแยะว่าตึกนี้ตึกอะไร ใช้ทำอะไรมั่ง ฯลฯ ฉันก็ตอบเท่าที่รู้ เพราะบอกตามตรงว่าถึงจะมาโรงเรียนบ่อย ๆ ก็ไม่ค่อยสนใจตึกใหม่ ๆ เท่าไร ความรู้จึงจำกัดอยู่ในวงแคบค่ะ
พี่ไก่แก้วมาถึงในตอนเย็น ซึ่งนับว่าดี เพราะผู้ใหญ่กลับไปกันหมด มีพี่ไก่แก้วเข้ามาเป็นตัวแทนผู้อาวุโส แต่ฉันจำไม่ได้แล้วว่าพี่ไก่แก้วได้อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันหรือไม่? เพราะถึงตอนนี้แบตตารี่อ่อนแรงใกล้หมดเต็มที ฮ่า ๆ ฉันแอบขึ้นไปอาบน้ำหลังกินข้าว แล้วลงมาตามหาพี่เก็จ ด้วยความเป็นห่วงว่าพี่เก็จจะไหวไหม? พี่เก็จสปิริตวัฒนาแรงดีค่ะ บอกว่าเหนื่อย แต่ไม่ยอมขึ้นนอน เพิ่งมารู้ทีหลังว่ากลัวผี ฮ่า ๆ เลยอยู่ร่วมกิจกรรมกลางคืนด้วย มีประกวดโฮมคัมมิ่ง หลายคนบอกว่ากลางวันสนุก แต่กลางคืนเนือยไปหน่อย ไม่ได้แก้ตัวนะคะ...แต่คณะทำงานก็แรงน้อยถอยลงไปตาม ๆ กัน เพราะคืนที่ผ่านมากว่าจะจัดทุกอย่าง เตรียมความพร้อมสำหรับความสนุกสนานของพี่ ๆ น้อง ๆ ชาววัฒนาด้วยกัน ก็แทบไม่เหลือเวลานอนแล้วค่ะ แต่งานหน้า คณะทำงานตั้งใจกันว่าจะฟิตร่างกายมาให้ปั๋งกว่านี้ เพื่อความสุข ความรัก และความผูกพันของพี่น้องวัฒนาค่ะ ขอสัญญา...ลงชื่อ...เอ็ม ฮ่า ๆ ๆ
การประกวดโฮมคัมมิ่งควีนไม่มีรุ่นไหนส่งตัวแทนมา จึงต้องใช้วิธีเชิญแกมบังคับเลือกมาร่วม ถึงจะเหนื่อยมาทั้งวัน และไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร แต่เหล่าผู้ประกวดก็ร่วมกิจกรรมกันอย่างไม่มีอิดออดแต่อย่างใดค่ะ และเราก็ได้โฮมควีนคนแรกของประวัติศาสตร์น้องกฤตยา ล่ำซำ (น้องปัด) รุ่น 107 ค่ะ ปิดท้ายงานด้วยเพลงวัฒนาที่เอ็มเดินมาบอกฉันว่า...ร้องให้แล้วนะพี่อ่อง ฮ่า ๆ ๆ เนื่องจากฉันขอไว้ว่างานนี้ควรมีการร้องเพลงประจำโรงเรียน
พวกเดย์แคมป์ก็ร่ำลาเพื่อน ๆ กลับบ้านกัน ยังมีหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ฉันไม่ไหวแล้ว กับพี่เก็จแว่บขึ้นไปนอนกันก่อน เตียงที่ตอนแรกจัดเรียงกัน ฉันกับพี่เก็จอยู่ห่างกันหลายเตียงอยู่ พี่เก็จบอกให้ย้ายมานอนติด ๆ กัน เพราะทั้งห้องใหญ่ตอนนี้มีคนนอนแค่สองคนมันโหวงเหวงชวนหวิว ฮ่า ๆ นอนได้ซักพัก ไนท์แคมป์ก็ทยอยกันขึ้นมาทีละคนสองคน พร้อม ๆ กับเสียงพูดคุยกันระหว่างทำเตียง พี่เก็จกับฉันนอนไม่หลับ จึงชวนกันย่องกลับไปนอนตึก 4 ตามเดิม โดยมีป๊ากนำทาง นับเป็นประสบการณ์ข้ามตึกครั้งแรกในชีวิตนพพรเลยทีเดียว
เช้ามาฉันหลับสนิท จริง ๆ แล้วตื่นตี 4 มานั่งดูทีวีสักพักแล้วกลับไปนอนต่อเพราะพี่อ๋องบอกว่าไม่ต้องตีระฆังปลุกเลยหมดภาระ หลับได้สนิทจนพี่เก็จต้องมาปลุกตอน 8 โมง ฮ่า ๆ ถึงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว นอกจากคณะทำงานมาช่วยกันเก็บตกสิ่งต่าง ๆ ในระหว่างที่บางคนไปโบสถ์ บางคนก็กลับบ้านไปหลังจากกินกล้วยน้ำว้าและนมสดส่งท้าย
.....นี่คือเรื่องราว เหตุการณ์เท่าที่สามารถรวบรวมมาเรียบเรียงเล่าสู่กันฟังได้ค่ะ แม้จะไม่ครบถ้วนเท่าไร แต่ก็หวังว่าจะได้รับอรรถรสกันเพียงพอที่จะทำให้งานครั้งหน้า จะได้รับการตอบรับจากเพื่อน ๆ และพี่ ๆ น้อง ๆ ไม่น้อยกว่าครั้งนี้นะคะ.... จนกว่าเราจะพบกันใหม่ที่วัฒนาที่รักของเรา....เฝ้าคิดติดแด เฝ้านึกแต่โรงเรียน.....