วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เด็กหญิงและว่าวสีส้ม

นิทานเรื่องนี้ เขียนไว้ปีก่อน เอามาให้อ่านกันค่ะ

เด็กหญิงคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในบ้านกับคุณตา เพราะความยากจน คุณตาต้องทำมาหากินจนไม่มีเวลาเล่นด้วย วันแล้ววันเล่า เด็กหญิงตัวน้อยนั่งบนเก้าอี้ริมหน้าต่าง รอคุณตาทำงานเสร็จจะได้มาเล่นด้วย แต่ดูเหมือนงานคุณตาจะมีมากเหลือเกิน กว่าจะเสร็จสิ้นลงในแต่วัน ก็ถึงเวลาพักผ่อนเสียแล้ว เด็กหญิงได้แต่ทอดถอนใจด้วยความเหงา


และแล้ววันหนึ่ง คุณตาก็ยื่นว่าวแสนสวยให้ ว่าวนี้คุณตาทำขึ้นเพื่อจะให้หลานสาวได้เพลิดเพลินบ้าง เด็กหญิงรักว่าวแสนสวยนี้เหลือเกิน คุณตาช่วยนำว่าวขึ้นฟ้าให้ด้วย ยามเมื่อว่าวสีส้มมีหางเป็นเส้นยาว ๆ หลายเส้นหลากสีทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าสีฟ้าใส มีปุยเมฆขาวสะอาดลอยเป็นหย่อม ๆ มันเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเด็กหญิงตัวน้อยเสียนี่กระไร


แล้วคุณตาก็ไปทำงาน เด็กหญิงวิ่งไปมา ดึงว่าวไปทางนั้นที ทางนี้ที “เธอเห็นอะไรมั่งจ๊ะว่าวสีส้ม เล่าให้ฉันฟังหน่อย” เด็กหญิงร้องถาม ว่าวก็เล่าให้ฟังถึงสิ่งที่พบเห็น เด็กหญิงก็นั่งฟังด้วยความเพลิดเพลิน ว่าวทำให้โลกกว้างมาอยู่ในการรับรู้ของเด็กหญิงตัวน้อยได้อย่างเหลือเชื่อ ชั่วโมงแล้ว ชั่วโมงเล่าผ่านไป รอยยิ้มบนดวงหน้าน้อย ๆ นั้นกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ความสุขกระจ่างใสชัดขึ้นเรื่อย ๆ เด็กหญิงคุยกับว่าวนั้นทั้งวันอย่างไม่รู้เหนื่อย รู้หน่าย



รู้อยู่แต่ว่า เด็กหญิงได้รักและผูกพันกับว่าวสีส้มอย่างเหลือเกิน


แต่แล้วจู่ ๆ ว่าวสีส้มก็บินปัดไปปัดมา จนเด็กหญิงรู้สึกถึงแรงกระชากในมือ “เกิดอะไรขึ้นกับเธอว่าวสีส้ม?” เด็กหญิงเห็นเค้าพายุที่เริ่มก่อตัว ลมแรงขึ้น ๆ ว่าวสีส้มก็เหมือนกับวิ่งหัวซุกหัวซุนหลงทางอยู่ในกระแสพายุนั้นจนเด็กหญิงกลัวเหลือเกินว่าว่าวจะขาดซะก่อน เพราะว่าวสีส้มทำจากกระดาษที่บางเหลือเกิน



เด็กหญิงพาว่าวสีส้มวิ่งหลบไปทางนั้นที ทางนี้ที ก็ดูเหมือนจะไม่พ้นกระแสลมอันแรงนั้น เมื่อลมกรีดว่าว เด็กหญิงก็รู้สึกเจ็บปวดประหนึ่งว่าโดนคมมีดกรีดผ่านผิวบางใสของตนด้วย



“ฉันควรปล่อยเธอไปไหม? หรือว่าฉันจะดึงเอาเธอมาเก็บไว้ดี?” เด็กหญิงตะโกนถาม แต่ว่าวไม่ได้ตอบ เพราะกระแสลมอันเกรี้ยวกราด “ถ้าฉันเอาเธอลงมา เธออาจจะกลับขึ้นไปบนฟ้านั้นไม่ได้อีก เพราะคุณตาจะว่างพาเธอขึ้นเมื่อไรก็ไม่รู้” เด็กหญิงคิดอย่างสับสน และกระวนกระวายด้วยความห่วงใยว่าวแสนรัก “ฉันอาจจะมีความสุข เพราะได้กอดเธอไว้ แต่เธอล่ะจะมีความสุขหรือถ้าต้องนอนอยู่นิ่ง ๆ กับฉัน? ไม่ ฉันต้องร้องไห้แน่ถ้าเห็นเธอเศร้า”



หลายครั้งที่ว่าวเหมือนจะปักหัวลงเพราะโดนมือทรงพลังของพายุตบเอา แต่ก็เชิดหัวขึ้นได้อีกในที่สุดท่ามกลางความโล่งใจของเด็กหญิง แต่เด็กหญิงก็เริ่มร้องไห้เพราะความสงสารว่าวสีส้ม



“หรือว่าฉันควรจะปล่อยเธอไป? แต่ลมแรงขนาดนี้ อาจจะพัดเธอไปตก ณ ที่ไกลแสนไกล เธออาจจะตกลงไปในมหาสมุทรแล้วถูกปลาฉลามกัดขาด หรือตกกลางถนนในเมืองให้รถจำนวนมากวิ่งทับเธอไปมา โอ...ฉันทนไม่ได้หรอกนะว่าวสีส้มจ๋า ฉันทนเห็นเธอจากไปแบบนั้นไม่ได้”



เด็กหญิงนึกได้ว่าโลกมีชั้นบรรยากาศ บางทีข้างหลังพายุอาจจะเป็นท้องฟ้าใสก็ได้ จึงวิ่งเข้าไปในบ้าน...หาเชือก ด้ายในบ้านมาต่อสายป่านให้ยาวออกไป ๆ ๆ ว่าวสีส้มเริ่มหายไปเป็นจุดสีส้มหายเข้าไปในเมฆสีเทาดำนั้น จนพ้นจากสายตาไปในที่สุด แต่เชือกในมือก็ยังคงกระชากกระชั้น เด็กหญิงแสนสงสารว่าวสีส้ม เพื่อนว่าวคงผจญกับความโหดร้ายของพายุ ป่านนี้จะเสียขวัญซะเท่าไร เด็กหญิงวิ่งหาวัสดุที่จะมาต่อความยาวให้สายป่านจนหมดบ้าน ไม่เว้นแม้แต่ริบบิ้นผูกผมของตัวเองก็ถอดออกมาเพื่อช่วยว่าวเพื่อนรัก จนกระทั่งว่าวสีส้มพบกับอากาศที่ดีข้างหลังพายุ เพราะเชือกที่ต่อแล้วต่ออีกในมือเริ่มนิ่ง



คุณตากลับมาเห็นหลานสาวนั่งอยู่ที่ประตูบ้าน ที่ข้อมือพันไว้ด้วยริบบิ้นที่ต่อกับเชือกสารพัดสารพันชนิดลอยขึ้นไปบนฟ้าลิบนั่น ก็นึกรู้ว่าปลายทางนั้นต้องเป็นว่าวที่คุณตาให้ไปเมื่อเช้าแน่



เด็กหญิงยืนยันว่าจะนั่งกินข้าวตรงนั้น แม้เมื่อถึงเวลานอนก็จะขอนอนตรงนั้นเช่นกัน



“ผูกไว้กับเสาบ้านก็ได้ พรุ่งนี้เช้าค่อยมาดู”


“ไม่ได้หรอกจ้ะตาจ๋า ถ้าผูกไว้กับเสา หนูจะรู้ได้ยังไงว่าว่าวสีส้มเป็นยังไงบ้าง”


“พรุ่งนี้ตาจะทำว่าวอันใหม่ให้”


“ไม่ค่ะ เพราะสำหรับหนูแล้ว ไม่มีว่าวตัวไหนที่หนูจะรักได้เท่ากับว่าวสีส้มอีกแล้ว”


“มันก็แค่ว่าว หลานเอ๊ย ว่าวไหน ๆ ก็เหมือนกัน ตาทำอันใหม่ให้สวยกว่านี้สักสิบเท่าก็ได้นะ ทำให้สิบอันเลยเอ้า”


“คุณตาอย่าพูดดังซิคะ เดี๋ยวว่าวสีส้มได้ยินจะน้อยใจ ถ้าไม่มีว่าวสีส้มแล้ว หนูก็ไม่ขอมีว่าวอื่นอีกเลย


คุณตาจำยอมให้เด็กหญิงนอนริมประตู แต่เอาสายป่านมาผูกไว้ที่ข้อเท้าแทน เด็กหญิงนอนลืมตาโพลง สายป่านที่ตึงไม่มากนักทำให้เด็กหญิงรู้ว่าว่าวสีส้มยังคงติดลมอยู่ที่ไหนสักแห่ง แม้จะมองไม่เห็น



“เธอคงสบายขึ้นแล้วใช่ไหม? คืนนี้เธอคงได้เห็นจักรวาล ได้อยู่ในหมู่ดาว เที่ยวให้เพลินนะว่าวสีส้มที่รัก แล้วพรุ่งนี้เช้ากลับมาเล่าให้ฉันฟังด้วย ว่าแหวนของดาวเสาร์มี 3 วงจริงหรือเปล่า มันมีสีอะไรมั่ง อ้อ หลบลูกอุกกาบาตดี ๆ ล่ะ ฉันจะรอเธอกลับมา นานแค่ไหนฉันก็จะรอ เพราะ....ฉันมีเธอคนเดียวเท่านั้น ว่าวสีส้มที่รัก”



แต่ขณะที่เด็กหญิงใกล้จะหลับ เชือกที่ผูกไว้หลวม ๆ ก็คลายปม แล้วหลุดลอยไป เด็กหญิงผวาตัวลุกขึ้นด้วยความตกใจ คว้าไฟฉายออกวิ่งตามหาทันที แต่ความมืดทำให้มองไม่เห็น เด็กหญิงวิ่งพล่านไปในความมืดอย่างบ้าคลั่ง ทางแสงเล็ก ๆ จากไฟฉายไม่ได้ช่วยให้เห็นอะไรในความมืดสนิทของราตรีอันกว้างใหญ่ ในที่สุดเด็กหญิงก็นั่งลงร้องไห้



ความเศร้าในหัวใจน้อย ๆ มีมากกว่าความเหน็ดเหนื่อย และความเจ็บปวดจากบาดแผลขีดข่วนจากกิ่งไม้ เสี้ยนไม้ทิ่มตำตามเท้า และแขนมากนัก เด็กหญิงร้องไห้ และร้องไห้ และร้องไห้ ไม่คิดจะขยับเขื้อนไปไหน แม้ว่าฝนเริ่มตกแล้ว



สักพักใหญ่ คุณตาจึงมาพบแล้วพากลับบ้าน จนแสงสว่างจับฟ้า ฝนก็ยังไม่หยุดตก เหมือนจะร้องไห้เป็นเพื่อนเด็กหญิงผู้เศร้าโศกที่ร้องไห้ไปจนหลับ และเมื่อตื่นขึ้นมาก็ยังร้องไห้อยู่ ไม่ว่าคุณตาจะปลอบใจอย่างไร เด็กหญิงก็ไม่สามารถสร่างโศกได้ จนในที่สุดคุณตาต้องพาเด็กหญิงออกไปเดินหาว่าวเมื่อฝนหยุดตกในอีก 2 วันต่อมา เพราะเด็กหญิงไม่ยอมกินข้าวกินปลาเลย เอาแต่นั่งมองหาว่าวสีส้มแสนรักอยู่อย่างนั้น เหม่อมองไปก็ร้องไห้อีกครั้งแล้วครั้งเล่า สุดปัญญาที่คุณตาจะปลอบให้หายเศร้าได้



เมื่อได้รู้ว่าคุณตาจะพาไปหาว่าวสีส้ม เด็กหญิงที่เซื่องซึมก็พลันกระตือรือร้นขึ้นในทันใด ยอมกินข้าวเพราะคุณตาบอกว่าอาจจะต้องเดินไกล ถ้าหมดแรงเสียก่อนจะหาว่าวสีส้มไม่เจอ สองคนตาหลานพากันเดินไปอย่างไม่มีจุดหมาย แต่มีเป้าหมายว่าจะต้องหาว่าวสีส้มนั้นให้เจอให้ได้ แม้ว่าจะเป็นการเดินทางที่น่าเหนื่อย แต่คุณตากลับไม่เบื่อ เพราะได้เห็นหลานสาวมีความกระตือรือร้น มีความมุมานะที่จะหาเพื่อนให้พบ แม้ว่าเพื่อนจะเป็นเพียง กระดาษ ไม้ไผ่ และสายป่าน ในสายตาคนอื่น

แต่สำหรับเด็กหญิงแล้ว ว่าวสีส้มไม่เพียงแต่เป็นแค่เพื่อน ยังเป็นเสมือน โลกทั้งใบ



คุณตาคิดว่าเป็นเรื่องดีสำหรับมนุษย์ที่จะรู้จักรักใครสักคนอย่างมากมาย รักในระดับที่ไม่นึกถึงตัวเอง แม้ในกรณีหลานสาว ความรักของเด็กหญิงนั้นที่มีต่อว่าวสีส้มคือความรัก ความผูกพันที่บริสุทธิ์ รักแม้ว่า... ว่าวสีส้มนั้นเป็นเพียงสิ่งไม่มีชีวิต และไม่สามารถให้ความรักตอบแทนกลับมาได้ก็ตาม



หลังจากเดินหากัน 2-3 วัน จนล้าทั้งตาและหลาน ช่วงเย็นวันหนึ่ง เด็กหญิงก็เห็นริบบิ้นของตัวที่พุ่มไม้โปร่ง! แม้ว่ามันจะดูมอมแมมไปบ้าง แต่เด็กหญิงจำริบบิ้นของตัวเองได้ดี

“ตาจ๋า ๆ นั่น ๆ ริบบิ้นหนู ริบบิ้นที่หนูผูกเป็นสายป่านให้ว่าวสีส้ม”


คุณตาต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเข้าไปถึงริบบิ้นนั้นได้ เพียงสัมผัสแรกคุณตาก็ยิ้มออก เพราะทันทีที่ปลดริบบิ้นนั้นออกจากการเกี่ยวของกิ่งไม้ ก็พบว่ามีแรงดึงเบา ๆ จากปลายทาง ว่าวสีส้มของหลานสาวยังอยู่ที่ไหนสักบนท้องฟ้านั้น



เด็กหญิงยืนลุ้นด้วยความตื่นเต้นยิ่งกว่าคนยืนลุ้นเลขตัวสุดท้ายหลังจากที่เลข 5 ตัวแรกตรงกับรางวัลที่ 1 เสียอีกขณะที่คุณตาค่อย ๆ ดึงสายป่านเข้ามาช้า ๆ และกระโดดตัวลอย ร้องอย่างดีใจเมื่อเริ่มเห็นจุดสีส้มเล็ก ๆ บนฟ้านั้น



“ว่าวสีส้มจ๋า” เด็กหญิงร้องเรียกด้วยความคิดถึงทั้งหมดจากหัวใจ “โอย..ดีใจจังที่เธอยังอยู่ดี”



“เดี๋ยวตาเอาลงมาให้นะ”



“อย่าจ้ะ..ตาจ๋า ให้มันอยู่บนฟ้าเถอะ”



“อ้าว ทำไมล่ะ ตานึกว่าหนูอยากจะเก็บมันไว้เสียอีกนะ”

“ไม่หรอกค่ะ เพราะมันคือว่าวสีส้มเพื่อนหนู ตอนที่มันอยู่บนฟ้า ถ้าเอาลงมา มันก็เป็นเพียงกระดาษทำว่าวผู้แปลกหน้าเท่านั้นเอง”



เด็กหญิงเดินไป กระโดดโลดเต้นไป มือข้างหนึ่งจูงคุณตา ส่วนอีกข้างหนึ่งจูงมือ..สายป่านของว่าวสีส้มที่ลอยฉวัดเฉวียนล้อลมไปมา


วันนั้นเป็นการเดินทางกลับบ้านอย่างมีความสุขเต็มหัวใจของคุณตา เด็กหญิง และว่าวสีส้ม.

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

พะโล้ โห่ฮิ้ว

ทำไมต้องโห่ฮิ้วด้วย ทำเป็นทาร์ซานไม่เคยชิมพะโล้ไปด้ายยย



เกิดอาการติดใจ หลังจากที่มัสมั่นออกมาอร่อยได้เหรียญ 5555555 อะไรจะขี้คุยปานนี้ 5555555 ที่จริงส่วนหนึ่งต้องชื่นชมอาจารย์ค่ะว่าสอนดี คนเราเกิดมาจากท้องแม่ จะทำอะไรเองเป็น ถ้าโลกนี้ปราศจากครูอาจารย์ เราหลายคนก็คงไม่ได้รู้จักกัน เราหลายคนก็คงไม่ได้ทำเมนูแปะไว้ในเฟชบุ้ค ดังนั้นครูบาอาจารย์จึงควรเป็นผู้ได้รับการกตัญญูกตเวทิตาอย่างยิ่ง


พะโล้นั้นมีหลายสูตรอยู่ ที่ฉันรู้ก็มีสูตรคนจีน กับสูตรคนไทย และสูตรมั่ว ๆ ฉบับอ่องศรี 5555555 สูตรมั่ว ๆ นั้นสมัยที่ไปเรียนที่พิกซ์เบิร์กเนี่ยะ ความรู้เรื่องครัวน้อยมากถึงน้อยที่สุด วันหนึ่งอยากกินพะโล้ขึ้นมา ก็ไปซื้อไก่ย่างมาครึ่งตัว มาถึงก็หย่อนใส่หม้อ เทซอสแม๊กกี้ ซีอิ้วดำ ไข่ต้ม เติมน้ำแล้วต้ม ๆ ๆ 5555555 มั่วมากมายใช่ป่ะ แต่อร่อยแหละ แต่จำได้ไม่ชัดว่าอร่อยแบบอร่อยจริงๆ หรือจำเป็นต้องอร่อย


สูตรคนจีน...มีบรรพบุรุษนั่งเรือมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ เลยโตมาด้วยอาหารจีน ทั้งย่า และยายทำอาหารเก่งมากค่ะ เวลาไหว้เจ้าไม่เคยซื้ออาหารสำเร็จรูป แต่จะทำเองทุกอย่าง แม้กระทั่งแป้งทำกุ้ยช่ายก็ยังโม่เองเลย สมัยเด็ก ๆ ชอบไปเล่นเครื่องโม่ตอนพวกผู้ใหญ่กำลังวุ่นวายทำอาหารร้อยพันอย่าง 555555 ไม่ช่วยแล้วยังไปเพิ่มภาระอีก พะโล้คนจีนมักใส่ไก่+หมู เพราะเป็นของจากไหว้เจ้า แล้วก็มีรสเค็มนำ


ผิดกับพะโล้ไทย พะโล้ไทยจะออกหวานนำ ฉันกินพะโล้ไทยครั้งแรกก็ที่โรงเรียนวัฒนานี่แหละ เคยคิดอยากทำมาหลาย(สิบ)ปี แต่ไม่มีคนสอน เพิ่งมาสบช่องตอนนี้เอง หลังจากที่มัสมั่นสำเร็จด้วยดี ก็ขอให้พี่ลีสอนทำพะโล้


“ง่ายมาก” พี่ลีบอก 5555555 ทุกครั้งที่ขอให้สอนอะไร ส่วนมากคุณนายจะบอกงั้น แต่ก็จริงแหละค่ะ ดูอย่างมัสมั่นซิคะ สอนแบบง้าย ง่าย แถมอร่อยเหาะอีกต่างหาก


ฟังดูแค่เครื่องปรุงก็เหมือนจะเยอะกว่ามัสมั่นอีก แต่เอ้า...อารมณ์สนุกจากเมนูก่อนยังเหลืออยู่..สู้สักตั้งเถอะว้า หลังจากจด ๆ เครื่องปรุงจากพี่ลี ก็ควงพระมารดาไปเสรีมาร์เก็ตกัน กลับมาถึงบ้านก็เก็บของเข้าตู้เย็น เหนื่อยค่ะไว้ค่อยทำพรุ่งนี้ 55555555 เช้ามาก็จัดการล้างหมูสันในกับหมูสามชั้นที่ซื้อมาอย่างละ 1 ขีด ปอกกระเทียม 1 หยิบมือ (แม่ค้าให้มา 55555 เพราะขอซื้อแค่นั้นเขาคิดตังค์ไม่ถูก) ล้างรากผักชี ไข่เป็ดเมื่อวานให้แม่บ้านออฟฟิศช่วยต้มและปอกเปลือกให้แล้ว วางซอสหอยนางรม ซีอิ้วขาว ซีอิ้วดำ น้ำปลา เกลือ ผงพะโล้ ในที่ ๆ หยิบสะดวก


เริ่มเปิดหม้อตุ๋นแล้ววางน้ำตาลปึก 2 ก้อนค่ะ กดน้ำร้อนจากหม้อไฟฟ้าจะได้ร้อนเร็ว ฮี่ ๆ หัสแรกเริ่มเดิมที พี่ลีสอนว่าให้เคี่ยวน้ำตาลจนมันเป็นคาราเมล แต่ระหว่างรอน้ำตาลละลาย ก็มานั่งคุยกับพี่ลีไป ตำกระเทียม-รากผักชี-พริกไทยดำไป ความที่ครกใบใหญ่มากกกก เครื่องเลยล้นครก ตำลำบากมาก 5555555 ตอนแรกนึกว่าต้องตำให้ละเอียด พี่ลีเหมือนจะรู้ ทั้ง ๆ ที่คอมก็ไม่มีกล้องเวบแคม บอกมาว่าไม่ต้องตำให้ละเอียดนะ โอเคไม่ละเอียดก็ไม่ละเอียด เดินไปคนๆ น้ำตาลที่ละลายแล้ว เติมซอสหอยนางรม ซีอิ้วขาว ซีอิ้วดำ น้ำปลา เกลือ แล้วชิมดู โอ๊ะ อาหย่อยแฮะ ทีนี้ก็ต้องคนให้งวดละ คนไปคนมาเมื่อย 555555 ไหลโชกขนาดนั้นมันจะเป็นคาราเมลเมื่อไรเนี่ย 555555 เดินมานั่งพักผ่อนที่หน้าคอมต่อ พี่ลีคงนึกอะไรได้ เลยบอกว่าไม่ต้องรอข้นแล้ว ใส่ทุกอย่างเว้นไข่กับเต้าหูลงหม้อได้เลย 55555 กลายเป็นอาจารย์ใจร้อนซะเอง เล่นเปลี่ยนสูตรเปลี่ยนวิธีทำกลางอากาศแบบนี้ เดี๋ยวพะโล้ก็ไม่อร่อยหรอก แอบคิดในใจนะคะ เป็นผู้รู้น้อยต้องเจียมตัวค่ะ ผู้รู้มากสอนมาอย่างไรก็ทำตามไปแล้วกัน


เลยเทพะโล้ลงไปผสมๆ จนละลายแล้วเทของตำลงไป บรรจงวางหมู เติมน้ำท่วมหมูแล้วปิดฝาหม้อ มานั่งคุยกับพี่ลีต่อ 1 ชั่วโมงต่อมา หมูยังสีชมพูอยู่เลย 55555555 เห็นหรือยังคะว่า...หม้อตุ๋นเนี่ย...มันใจเย็นขนาดไหน ประมาณค่อย ๆ แผ่ความอบอุ่นโอบอ้อมเนื้อหมูอย่างอ่อนโยนสุด ๆ -*- เลยมาปรึกษาพี่ลีว่า อันปุ่ม auto หรือ high อันไหนไฟน่าจะแรงกว่ากัน พี่ลีก็ไม่แน่ใจเท่าไร เพราะไม่รู้จักหม้อตุ๋นโบราณขนาดนั้น 55555 แต่ก็ให้ความเห็นว่าน่าจะเป็น high นะ ไอ้เราตั้ง auto เพราะคิดว่าน่าจะแรงสุด ลองปรับเป็น high ดู


อีก 1 ชั่วโมงต่อมา หมูเริ่มเป็นสีเทา 5555555 ทีนี้ก็ใส่เต้าหู กับไข่ลงไปค่ะ แทบจะล้นหม้อเลย 5555555 ต้องเติมน้ำอีกหน่อยไม่งั้นเต้าหู้กับไข่ไม่จมน้ำ พอเติมน้ำลงไปก็ปิดฝา มานั่งคุยต่อ พักใหญ่ ๆ เดินไปดู มันน่าจะสุกดีแล้วนะ แต่ทำไมหน้าตามันแปลก ๆ ? 555555 เหมือนหมูต้มมากกว่าพะโล้อ่ะ ตัดสินใจชิม...โอ้ยโหยยย มันน้ำสระผมหมูชัด ๆ นอกจากกลิ่นแล้ว ทั้งรูปทั้งรสไม่มีอะไรบ่งบอกความเป็นพะโล้เลยสักนิด แง๊....พี่ลีช่วยด้วยยยยย


พี่ลีบอกว่าพอเติมน้ำลงไป ทุกอย่างก็ต้องจืดซิ ...แล้วทำไมไม่บอกแต่ต้น -*- .... เลยลุกไปเติมซีอิ้วดำ แรก ๆ ก็ค่อย ๆ เทแล้วคน คนแล้วเท ดูสีไปเรื่อย ๆ ต่อมาเท ๆ ๆ ลงไปเลย 555555 เพราะสีมันสวยช้าเหลือเกิน กว่าสีจะถูกใจ พะโล้ก็หวานเจี๊ยบ กรำ...5555555 เลยระดมพลน้ำมันหอย ซีอิ้วขาว น้ำปลา เกลือลงไปช่วยอย่างเร่งด่วน กว่าจะได้รสที่ใช่ก็เล่นเอาเหงื่อตก กลับมาบ่นกับพี่ลี 555555 เป็นคนขี้บ่นมากค่ะ


พี่ลีบอกว่าถ้าได้เคี่ยวน้ำตาลจนไหม้เป็นคาราเมล สีจะสวยเร็วกว่านี้...ก็แล้วคุณพี่เปลี่ยนโปรแกรมของฉันทำไมอ่ะ เง้อ......ความที่เปิดหม้อบ่อย ปกติหม้อเนี่ยะใช้เวลามากอยู่แล้ว เปิดทีมวลความร้อนก็วิ่งออกมาที ...เริ่มทำตั้งแต่ 8 โมง กว่าจะได้กินข้าวเที่ยง...นู่นค่ะ...บ่ายสอง แต่ก็อร่อยมากค่ะ แถมสีก็สวยน่ากินอีกต่างหาก ^____^ น้ำหนักขึ้นเยอะเลยค่ะ ทั้งมัสมั่น ทั้งพะโล้ใน 1 อาทิตย์ หุ่นเริ่มตั้งครรภ์ 555555555 เมนูหน้า ทำแกงส้มดีกว่า



วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

มัสมั่น แกงแก้วตา

หอมยี่หร่ารสร้อนแรง..ผู้ใดได้ลองแกง...แอร๊ยยยยแร้งส์ได้อีก 555555

ที่จริงไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเรียนทำอาหารกับคุณนายลีทางเน็ต แต่เป็นครั้งแรกที่ฉันตกลงลองทำแกงมัสมั่นตามที่พี่ลีสอนทั้ง ๆ ที่ยังไม่ค่อยเก๊ตเท่าไร 555555 จะออกมาเป็นมัสมั่นแสนอร่อยจนลือชาไปทั่วสิบทิศ หรือว่าจะจบลงที่กล้ำกลืนทั้งน้ำตาก็ลองตามมาดูนะคะ บทความนี้เขียนสด ๆ พร้อมกับทำอาหาร และถ่ายรูป 555555 LIVE ค่ะ L I V E

เรื่องของเรื่องคือ ระหว่างรอเจ้ากะทิมันร้อนเนี่ยะ นานมาก น่าเบื่อค่ะ เลยมาเขียนไปพลาง ๆ (ทำแบบนี้ มัสมั่นสำเร็จได้ด้วยดีเนี่ยะ คงต้องยอมรับสักทีว่านพพร...เธอจะอัจฉริยะไปหนายยย...55555 แล้วทำไมกะทิที่ต้มถึงร้อนช้านัก? ต้มด้วยไม้ขีดไฟหรือไง? ม่ายช่ายค่ะม่ายช่าย...เนื่องจากความที่มีอุปกรณ์ทำอาหารเบ็ดเสร็จแล้ว 2 ชิ้น หม้อหุงข้าว กับหม้อตุ๋นค่ะ แล้วหม้อตุ๋นนี่ซื้อมาตั้ง 15 ปีได้แล้วมั้ง มันเป็นของผลิตในยุคน้ำมันกุ๊ก...จะทำอาหารให้อร่อยต้องใจเย็น ๆ ...555555 เลยคิดว่าเอ้า!! บางทีเจ้านี่อาจจะเป็นแกงแรก และแกงเดียวก็ได้ที่ฉันทำคนเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ อย่ากระนั้นเลย มารายงานสดไว้เป็นเกียรติประวัติดีกว่า หวังว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดนะ

ฉันเปิดกะทิกล่องเทใส่หม้อ เติมน้ำนิดนึงแล้วก็เปิดไฟหม้อรอให้ร้อนค่ะ พี่ลีบอกว่าต้องรอให้ร้อนก่อน ค่อยละลายเครื่องแกง ยืนกินอาหารเช้าจนหมดแล้ว มันก็ยังไม่ร้อนเลย (ลองเอานิ้วจุ้มทดสอบแล้ว 5555) เลยมานั่งพิมพ์รายงานไปก่อน

เครื่องปรุง : กะทิชาวเกาะ 1 กล่อง เครื่องแกงมัสมั่น (ตอนแรกดันไปซื้อเครื่องพะแนง -.- ผิดกันตั้งแต่สเต็ปแรกเลยนะ ดีที่พี่ลีถาม ไม่งั้นก็คงเอาเครื่องแกงพะแนงมาทำมัสมั่นให้ขายหน้าไปแล้ว) มะขามเปียก (พี่ลีแนะนำให้ซื้อสำเร็จรูป ไปที่ท็อปซีคอน หาไม่เจอต้องให้พนักงานเขาช่วยหาให้ นานมากกว่าจะได้มา แปลว่าพนักงานก็ไม่ค่อยรู้ว่าวางขายตรงไหน 55555) น้ำปลา หรือเกลือก็ได้ค่ะ น้ำตาลปึก (ไม่รู้ใส่ทั้งก้อนจะหวานไปไหม? เพราะมันหั่นม่ายออก เอาสากทุบยังไม่สะดุ้งเลย 55555 เลยว่าจะใส่มันทั้งก้อนแหละ) ไก่ (พี่ลีบอกให้ใช้ตะโพกไก่ แต่นั่นเป็นส่วนของไก่ที่ฉันเกลียดที่สุดรองจากตูดไก่ ฉันเลยซื้อเนื้อสันในมาแทน พี่ลีขู่ว่ามันจะเละนา ไม่เป็นไร ฉันชอบกินอะไรที่ไม่ต้องเคี้ยวมาก ๆ อยู่แล้ว) หอมหัวใหญ่ ถั่วลิสงคั่ว (อันนี้ไปขอซื้อจากร้านขายก๋วยเตี๋ยว เพราะฉันไม่มีกระทะจะมาคั่ว)

พิมพ์มาถึงตอนนี้แล้ว กะทิยังไม่ร้อนเลย 555555 นานจัง งั้นคิดถูกแล้วที่ลุกมาทำตั้งแต่ 7 โมงเช้า (แต่จะกินตอนเที่ยง - - หวังว่าคงได้กินนะ 55555 เผลอ ๆ ทำท่าจะกินได้ตอนเย็นม้างเนี่ย...นี่พูดถึงกรณีว่ากินได้นะ 55555) ก็พี่ลีเล่นสอนว่าใส่นั่นใส่นี่ แต่ไม่เคยบอก อัตราส่วน อ่ะ แล้วฉันก็เข้าครัวบ่อยเหลือเกิน ตั้งแต่ต้นปี 2553 เพิ่งใช้หม้อตุ๋นครั้งแรกเดี๋ยวนี้เอง น่าเป็นห่วงมัสมั่นไหมคะ? กะทิมันจะร้อนช้าไปไหนเนี่ย? 555555

กะทิร้อนแล้ว เริ่มต้นอย่างระทึก 555555 เครื่องแกงซื้อมา เทใส่หมดเลยละกัน ตอนที่ซื้อก็บอกแม่ค้าว่าเอาไปแกง 1 หม้อเล็ก ๆ แม่ค้าเขาก็กะมาให้ เมื่อเราไม่รู้ก็ต้องให้เครดิตไว้ก่อนค่ะ ทำทุกอย่างด้วยมือซ้าย ถ่ายรูปด้วยมือขวา 55555 งานนี้กล้องพังจะไม่แปลกใจตัวเองเลย คน ๆ ให้ละลายแล้วปิดฝา มานั่งเขียนต่อ รอกะทิเดือด เมื่อกี้ชิมดูหน่อย กลิ่นน่ะใช่ แต่รส...เอิ่ม....ยังห่างไกล - -'

หอมยี่หร่า...55555...ปิดประตูห้องดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวคืนนี้ได้นอนฝันถึงเฮมา, มุมตัสแหง 555555555

ขั้นตอนรอให้ร้อนยังรอน้านนาน แล้วขั้นตอนรอให้เดือดล่ะ??? ไปนอนสักตื่นดีไหม? เมื่อคืนนอนไม่เต็มอิ่มเลย มียุงมาฝากรักทั้งคืน เกิดมาทั้งทีเป็นที่หมายปองของยุงเหลือเกิ๊น ไปไหน ๆ จะต้องโดนรุมฝากรักตัวละจุ๊บสองจุ๊บเป็นประจำ

55555 ใครที่คิดว่านี่เป็นรายการสอนทำอาหารแล้วมานั่งทำตาม ป่านนี้คงได้งุงิ เมื่อไรจะสอนต่อฟระ 5555555 มันเป็นรายงานเกาะติดสถานการณ์ ค่ะ ไม่ใช่รายการสอนทำกับข้าว...

1 ชั่วโมงต่อมา กะทิเดือด เอาน้ำตาลปิ๊บหย่อนไป 1 ก้อน คน ๆ ๆ แล้วก็คน (แอบบี้ด้วยล่ะ เพราะมันละลายช้า) ชิมดูว่าหวานไปหรือเปล่า รสแปลก ๆ ทะแม่ง ๆ แฮะ ตอนนี้แอบเสีย self 555555 ก็น่ะ เพิ่งใส่แค่อย่างเดียวเอง ใจเย็น ๆ ดิ 555555 พอน้ำตาลละลายหมด ก็ใส่เกลือ ....อ๊ากกกก....เยอะไปนิดนึง เค็มมมมม......panic!! จะแก้ได้ไหมเนี่ยะ พี่ลีก็ยังไม่ออนเลย 555555 เอ้าใจเย็น ๆ สูดลมหายใจเข้า ผ่อนลมหายใจออก ทำจิตให้นิ่ง สมาธิมา ปัญญาเกิด... พี่ลีเคยบอกว่าให้เติมน้ำตาลแก้ เอ้าหย่อนน้ำตาลปึกไปอีกก้อนละกัน งานนี้ท่าโรคเบาหวาน โรคไตจะรุมถามหาแหง ๆ แล้วตามด้วยมะขามเปียก ทีนี้ใส่อย่างมีสติขึ้น 555555 ชิมดูซิ...อา...อูมามิ ....555555ดีใจ ๆ ๆ เทถั่ว ความที่มือซ้ายเท มือขวาถือกล้อง เลยเบรกยากหน่อย ถั่วหกลงไป แต่ไม่ได้ตักออกค่ะ พี่ลีบอกว่าใส่ถั่วเพื่อความข้นของแกง เลยปลอบใจตัวเองว่าชอบมัสมั่นเข้มข้น 5555555 คน ๆ ๆ แล้วก็คน ไหนชิมจิ๊....อืม มัสมั่นเวอร์ชั่นมิสเตอร์บีน..แต่ก็อร่อยน้า ลัลล๊า~~~ เติมหอมใหญ่-ไก่ ปิดรายการ



จากนี้ก็รอไปอีกไม่รู้กี่ชั่วโมง 55555 แต่หวังว่าคงได้กินเป็นมื้อเที่ยงล่ะค่ะ เชิญชมภาพรีวิวได้ที่นี่ค่ะ


http://www.facebook.com/album.php?aid=240162&id=587560548&saved#!/photo.php?pid=6505253&id=587560548

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ฝน

ทำให้เราเศร้า...จริงหรือ?


ขอขอบคุณเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่เข้ามาอ่านบล็อกแล้วชื่นชอบ พร้อมกับขอให้ฉันเขียนอะไร ๆ ให้อ่านอีกเยอะ ๆ ความจริงก็มีหลายเรื่องราวที่จำได้ แล้วอยากเล่าสู่กันฟังอยู่ แต่ทุกอย่างรอเวลาของมันค่ะ ถ้าเวลาไม่ใช่--เขียนออกมาก็จะฝืดเฝื่อน เสียฟีลกันเปล่า ๆ


เวลาที่ฝนตก หลาย ๆ คนอาจจะตกอยู่ในอารมณ์ซึมเศร้า ร้องเพลงคนอกหัก แต่ไม่ใช่ฉัน ฉันมีความทรงจำชวนหรรษาเกี่ยวกับฝนมากมาย เพราะว่าฉันชอบเล่นน้ำฝนเป็นที่สุด ชอบมากขนาดว่า...ครั้งหนึ่ง...5555 จะเล่าดีไหมเนี่ยะ? เพราะมันออกจะน่าอายไม่น้อย ค่าที่ทำตัวเด็กกว่าอายุเป็นประจำ


ตอนเด็ก ๆ บ้านอยู่เกษมสุวรรณ ฝนตกทีไร ก็มักจะออกไปเล่นน้ำฝนกันกับน้อง ๆ เป็นที่สนุกสนาน พอย้ายมาอยู่ตึกแถวที่อโศก กิจกรรมนี้ก็ยกเลิกไปโดยปริยาย เนื่องจากว่าจะลงไปเล่นกลางถนนก็ใช่ที่


แต่แล้ววันหนึ่ง ฝนตกหนักมาก ไฟดับ เลยไม่มีทีวีดู ด้วยความที่อยู่บ้านคนเดียวตอนนั้น ก็ไม่รู้จะทำอะไรดี มองสายฝนแล้วพลุ่นพล่าน 5555 เลยตัดสินใจขึ้นไปเล่นน้ำชั้น 4 ซึ่งเป็นดาดฟ้าคนเดียว อู๋กลับมาถึง ขึ้นมาเห็นพี่สาวกระโดดไปมากลางสายฝนแล้วส่ายหน้า...พี่ตูเป็นไรไปแล้ว...นึกว่าตัวเองอายุ 4 ขวบเหรอไง? 555555


สมัยก่อน ฝนตกทีไร น้ำท่วมโรงเรียนทุกที โดยเฉพาะเดือนตุลาคมที่ฉันชอบมากเวลาน้ำท่วม 55555 ถ้าท่วมใกล้วันเปิดเทอมทีไร โรงเรียนได้ปิดต่อทุกที (นี่นะ..ที่ชอบ?) 55555555


บางทีอยู่ในโรงเรียน ฝนตกหนัก ๆ น้ำก็ท่วมค่ะ คนงานก็จะเอาไม้กระดานมาวางบนก้อนอิฐให้เดินกัน ฉันว่าหลาย ๆ คนคงจำได้ อีทีนี้...คนอื่น ๆ เขาไม่ค่อยมีปัญหา ผิดกับนพพรลิบลับ 55555 หลาย ๆ คนก็คงเคยใส่รองเท้าฟองน้ำเดินลุยน้ำเหมือนกันใช่ไหมคะ เพราะสะพานไม้กระดานมันไม่พอตอบสนองกับจำนวนนักเรียน คนที่ใจร้อนก็เลยลงมาลุยน้ำ ส่วนฉันนั้นลุยน้ำตลอด ไม่ใช่เพราะใจร้อน หรือว่านิสัยดี เสียสละพื้นที่ให้เพื่อนๆ หรอกค่ะ ไม่นางเอกขนาดนั้น แต่เพราะว่า...ฉันเดินตรง ๆ บนไม้กระดานแผ่นเดียวไม่เป็น...55555555 จำกันได้ไหมคะ เด็ก ๆ อนุบาลจะมีของเล่น หน้าตึก 5 คือกองทราย, กระดานลื่น และ..เรียกอะไรหว่า...5555555 ขอนไม้ที่ไว้ให้หัดเดินน่ะค่ะ...ทุกวันนี้ฉันก็ยังไม่สามารถเดินตั้งแต่ต้นจนจบได้รอดตลอดฝั่งเลย

นึกไปถึงเรื่องหนึ่งแล้วขำตัวเอง ขำครูภิญโญด้วย...555555 มีอยู่ปีหนึ่ง อยู่ป.7 ก.ค่ะ จำได้ เพราะเป็นครั้งเดียวในชีวิตนักเรียนวัฒนาที่ได้เป็นหัวหน้าชั้น เหอ ๆ เปล่าค่ะ...ฉันไม่ได้มีลักษณะของผู้นำถึงขนาดเป็นที่ศรัทธาไว้วางใจของเพื่อน ๆ หรอกค่ะ แต่ที่ได้เป็นหัวหน้าชั้นห้าวันนั้น...เป็นนโยบายของครูศรีสุข ครูประจำชั้นค่ะ ใครที่เคยมีครูศรีสุขเป็นครูประจำชั้นคงจะจำได้นะคะว่าครูศรีสุขท่านมีนโยบายแหวกแนวไม่เหมือนใคร คือให้ทุกคนได้เวียนกันขึ้นมาเป็นหัวหน้าชั้นและรองคนละ 1 อาทิตย์ โดยแต่ละอาทิตย์จะมีการโหวต ไม่รู้เพื่อน ๆ หน้ามืดหรือไง จึงโหวตฉันเป็นหัวหน้าชั้น อะไรไม่แย่เท่า...เป็นช่วงวันไหว้ครู...5555555


จำได้แม่นที่สุด ตอนที่เดินไปเข้าประชุมกับครูภิญโญร่วมกับหัวหน้าและรองหัวหน้าชั้นรุ่นอื่น ๆ 55555555 สีหน้าครูภิญโญ 5555555 เหวอ ๆ เลยค่ะ ขณะที่พิมพ์ก็ยังนึกสีหน้านั้นออกเลย 5555555 ก่อนจะถามดุ ๆ ว่านพพรเข้ามาทำไมห้องนี้ตอนนี้? ฉันกำลังจะประชุมเพื่อจัดซ้อมพิธีไหว้ครู และก็คนที่เข้าประชุมคือหัวหน้า-รองหัวหน้าชั้นเท่านั้น...คือครูภิญโญไม่คิดน่ะค่ะว่ายัยเด็กคนนี้จะเป็นหัวหน้าชั้น 555555 ฉันเองก็เหงื่อตกนะคะ เมื่อนึกถึงหน้าที่ของหัวหน้าชั้น ก็พานไหว้ครูน่ะ มันเบา ๆ ซะที่ไหน? แล้วยังต้องถือเดินในโบสถ์เป็นจุดเด่น เป้าสายตาสาธารณชนอีก โอ๊ยยยย 5555555 มึนมากค่ะขอบอก


สุดท้ายปัญหาก็คลี่คลาย ครูภิญโญสั่งรองหัวหน้าให้หาตัวแทนคนอื่นมาถือพานแทน ถึงครูไม่สั่ง หนูก็ว่าจะบอกเพื่อน ๆ แบบนั้นเหมือนกันแหละค่ะ แต่ยามนั้น..กระทันหัน...คิดอะไรไม่ออก 55555 แบบว่ากำลังช็อคกับภารกิจที่ได้รับในฐานะหัวหน้าชั้น นึกว่ามีแค่พูด เตรียมตัว...กราบ...เท่านั้น จำได้ว่าตอนนั้นอายพวกหัวหน้า รองหัวหน้าชั้นอื่น ๆ มากเลย 555555 ยิ่งไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตาเท่าไร ก็ดูเหมือนจะมีเหตุให้ตกเป็นเป้าได้เรื่อย ๆ ซิน่า เฮ้อ!!!

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

พี่หัวโต๊ะ

ตำนานโรงเรียนวัฒนา


เพราะวันก่อนได้พบพี่หัวโต๊ะคนแรกโดยบังเอิญ ทำให้คิดถึงว่า พี่หัวโต๊ะ น่าจะเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของโรงเรียนวัฒนา ไม่รู้ว่าโรงเรียนอื่น ๆ เขาจะมี พี่หัวโต๊ะ กันเหมือนพวกเราชาววัฒนาหรือเปล่า? ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าปัจจุบัน เด็ก ๆ รุ่นลูกรุ่นหลานเขายังมีพี่หัวโต๊ะน้องลูกโต๊ะกันอยู่หรือเปล่า เพราะเท่าที่ได้เคยเข้าไปเที่ยวโรงเรียน สังเกตเห็นว่าเด็ก ๆ สมัยนี้ได้รับการผ่อนปรนด้านวินัยลงไปมากมาย ไม่ต้องเข้าแถวเดินเข้าห้องอาหารอีกแล้ว แถมไม่ได้กินข้าวพร้อม ๆ กันอีกด้วย เพราะบางคนเดินเข้าห้องอาหารพร้อมกับบางคนที่เดินออก แถมเดินไปคุยไปได้เหมือนเราเดินเข้าศูนย์อาหารทั่วไป


เรื่องแปลกแต่จริง!!! เรามักจะจำพี่หัวโต๊ะของเราได้ แต่พี่หัวโต๊ะมักจะจำน้องลูกโต๊ะผู้น่ารักไม่ได้ ทำไมเป็นอย่างนี้น้อ? (อย่าบอกนะว่าเพราะพี่หัวโต๊ะน่ารักกว่าน้อง ๆ 5555) ถามมาหลายรุ่นแล้วค่ะ ล่าสุดก็พี่อ้อน พี่หัวโต๊ะคนแรกของข้าพเจ้า ทั้ง ๆ ที่นั่งมองหน้ากันทุกวัน ๆ ละ 3 มื้ออาหาร 55555 ไฉนพี่อ้อนลืมน้องลูกโต๊ะได้ลงคอ?


ป.6 (ครั้งแรก 55555 เป็นคนมี 2 ป.6) เป็นช่วงพีคสุดในชีวิตวัฒนาของฉัน ฉันมักจะจำเหตุการณ์หลายอย่างได้เป็นอย่างดี อาจจะเป็นเพราะเป็นปีแรกที่เราได้อยู่กับเพื่อนทั้งวันทั้งคืน เป็นปีแรกที่เราต้องออกมานอนนอกบ้านกับคนแปลกหน้า และแปลกภพ แล้วก็เป็นปีแรกที่เราต้องนั่งกินข้าวกับรุ่นพี่ผู้แปลกหน้าไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น คนอื่นจะเป็นยังไงไม่รู้นะ แต่ฉันกลัวรุ่นพี่มากกว่าครูหลายคนซะอีก 55555555 จะพูดว่ากลัวก็มากไป เอาเป็นว่าฉันเกรง ๆ พวกรุ่นพี่มากกว่าครูละกัน


ในโต๊ะป.6 ปีแรก นั่งกัน 8 คน ฉันจำได้ 5 คน คนแรกที่ต้องจำได้อยู่แล้วชัวร์ ๆ คือเจี๊ยบ..เพื่อนฉันเอง นั่งร้องไห้ข้าง ๆ พี่อ้อนแทบทุกวัน พี่อ้อนต้องคอยปลอบ คอยดูแล คอยตักกับข้าวให้ ไม่งั้นเจี๊ยบคงกินแต่ข้าวคลุกน้ำตา ทำเอาตัวฉันไม่ค่อยร้องในโต๊ะอาหาร เพราะไม่อยากเป็นภาระเพิ่ม


คนที่สองก็คือพี่หัวโต๊ะ พี่อ้อนเป็นรุ่นพี่มศ. 5 ที่ฮอตฮิตในหมู่น้อง ๆ อย่างมาก ตอนแรกฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าตัวเองมีวาสนาได้นั่งร่วมโต๊ะกับพี่คนดัง พี่อ้อนใจดีมาก น่ารักมาก ๆ คอยเติมข้าวให้ฉันทุกมื้อ โดยที่ฉันไม่เคยยื่นจานขอเติมสักครั้ง เป็นพี่หัวโต๊ะที่ใส่ใจน้องดีมากค่ะ ทำให้ฉันอิ่มทุกมื้อเลย


คนที่สามคือพี่รองหัวโต๊ะ พี่พวงรัตน์ มศ.4 พี่พวงรัตน์จะเงียบ ๆ อาจจะเพราะเพิ่งเข้ามาเหมือนกันมั้งคะ เลยยังใหม่พอ ๆ กับน้องป.6 ไม่เคยช่วยพี่อ้อนปลอบน้อง 55555 ได้แต่นั่งเงียบขรึมข้าง ๆ ฉัน คนที่สี่คือพี่ก้อยปนัดดา จำได้ไม่ชัดว่าอยู่มศ.3 หรือ 2 กันแน่ พี่ก้อยปนัดดานั่งท้ายโต๊ะฝั่งเดียวกับพี่อ้อน ที่รู้จักและจำพี่ก้อยได้ดี เพราะพี่ก้อยคนสวยป๊อปมากค่ะ ป๊อปไม่แพ้พี่อ้อนเลย คนสุดท้ายที่จำได้คือตัวฉันเอง 55555 สรุปว่าจำได้ 5 ใน 8 คนสอบผ่านอย่างฉิวเฉียด


ฉันไม่แปลกใจเท่าไรที่เจอกันวันก่อน พี่อ้อนบอกว่าจำฉันไม่ได้ เพราะพี่อ้อนไม่ได้เลือกฉันเป็นลูกโต๊ะ คนที่พี่อ้อนเลือกคือเจี๊ยบค่ะ แล้วเจี๊ยบดึงมือฉันเข้าไปนั่งด้วยตอนเดินผ่าน....คงจำได้นะคะว่าวันแรกนี่ พี่ ๆ จะเลือกน้องป.6 คนละ 1 คน แต่จำนวนนักเรียนป.6 มีมากกว่า มศ.5 ดังนั้นพวกที่ไม่มีคนเลือกอย่างฉันจึงต้องมาเดินสายในห้องอาหารให้กรรมการคัดเลือกอีกรอบ ฉันกำลังจะเดินไปถัดไปที่จิ๊บกวักมืออยู่ไหว ๆ แต่เจี๊ยบยื่นมายึดฉันไว้ซะก่อน พี่อ้อนจึงมีเด็ก ป.6 สองคนในโต๊ะด้วยประการฉะนี้


แต่ถึงจะนั่งโต๊ะเดียวกัน เห็นหน้าน่ารัก ๆ ของพี่อ้อนทุกวันที่เปิดเรียน วันละ 3 มื้ออาหาร แล้วได้รับการเทคแคร์อย่างดีจากพี่หัวโต๊ะ แต่ฉันไม่เคยได้อ้าปากให้ดอกพิกุลร่วงแต่อย่างใด (อ้าปากต่อเมื่อนำเข้าอาหาร 555555 ไม่เคยนำออกดอกพิกุล) พี่อ้อนจะพูดด้วยยังไงก็ได้แต่พยักหน้า yes สั่นหัว no เท่านั้น


พี่ตุ้มเก่งเนอะ ที่ทำให้ฉันพูดคุยกับพี่ตุ้มได้เนี่ยะ (ทำได้ยังไงคะพี่ตุ้ม? จำไม่ได้จริง ๆ 55555)


ตัวฉันเองออกตอน มศ.3 จึงพลาดโอกาสได้เป็นหัวโต๊ะกับเขา เลยตอบไม่ได้ว่าถ้าได้เป็นพี่หัวโต๊ะ จะจำน้อง ๆ ได้หรือไม่? ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไมเราจึงจำพี่หัวโต๊ะคนแรกของเราได้ดี แต่ดันจำลูกโต๊ะไม่ได้? แล้วพี่หัวโต๊ะคนต่อ ๆ มาก็มักจะจำได้มั่งไม่ได้มั่ง ดูอย่างพี่จ๋อปะไร เพิ่งจะนึกได้ว่าพี่ตุ้มเป็นพี่หัวโต๊ะตอนป.7 ก็หลายวันต่อมา แต่พี่ตุ้ม...แน่นอน...จำน้องจ๋อไม่ได้


ตลอด 1 ปีแรก ฉันเองก็คิดถึงบ้านเหมือนกัน แต่ร้องไห้ในโต๊ะอาหารน้อยมาก ๆ ๆ เนื่องจากเห็นเพื่อนร้องไห้ทุกวันแล้วสงสารพี่อ้อน ไม่อยากเป็นภาระให้ ไปร้องไห้นอกโต๊ะอาหารดีกว่า พี่รองหัวโต๊ะที่นั่งข้าง ๆ ก็ออกแนวเย็นชาไม่น่าอ้อนเท่าไร 5555555


จริง ๆ แล้วช่วงเวลาโศกศัลย์ของฉันจะอยู่ช่วงย่ำค่ำค่ะ ช่วงที่ตะวันรอนอ่อนแสง เหล่าวิญญาณแต่งหน้าทาปากเพื่อออกมาเดินเล่น ช่วงที่ถ้าอยู่บ้านก็ได้เอกเขนกกินขนมดูทีวี ช่วงที่อยู่ในกลุ่มเพื่อน ๆ ร้องไห้ให้เพื่อนช่วยปลอบ (แนวเด็กขาดความอบอุ่น 55555) นี่แหละคือช่วงที่ฉันน้ำตารินไหล ฉันเคยร้องไห้ในโต๊ะอาหารครั้งเดียวมั้งคะ ตอนนั้นเจ็บใจครูประพิธ 5555555 รู้ทันเล่ห์ของฉันไม่ยอมให้กลับบ้าน เป็นมื้อแรกมั้งคะที่ฉันไม่ยอมกินข้าว ยัยเจี๊ยบก็ยิ่งร้องเข้าไปใหญ่ มีพรรคพวกแล้วนี่ สงสารพี่อ้อนมาก 555555 รับภาระหนักเลยมื้อนั้น พี่รองหัวโต๊ะช่วยไม่ได้มาก พอมื้อเช้ามา พี่อ้อนก็ยังถามไถ่อย่างอ่อนโยน จำได้ว่าเขินพี่อ้อนและสายตาทุกคู่ในโต๊ะอาหารที่โฟกัสมาที่เราคนเดียวมาก ๆ เลยไม่ร้องไห้ในโต๊ะอาหารอีกเลย


เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆที่ได้อ่านบทความนี้ ลองแชร์กันซิคะว่าใครจำลูกโต๊ะ จำพี่หัวโต๊ะของตัวได้บ้าง? มีความประทับใจยังไงบ้าง มาเล่าสู่กันฟังนะคะ เริ่มด้วยพี่อ้อนก่อนเป็นไงคะ? 5555555





วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Happy Be Me

สุขจริงหนอที่เกิดมาเป็นฉัน

เลยวันเกิดไปสองวัน แต่ด้วยเป็นวันจันทร์ก็ได้นัดกับพี่หนิง ว่าจะไปฉลองวันเกิดกันที่ห้องซ้อมเพลงพร้อมกับบรรดานักร้องที่เกิดเดือนนี้ มีด้วยกันหลายคนเลย แต่ระหว่างนั่งรอป๊ากมารับ พี่ตุ้มก็ skype มา birthday แล้วก็อวยพร ไอ้ฉันก็รู้ทั้งรู้หรอกว่าพี่ตุ้มช่วงนี้งานยุ่งมาก แต่ก็น่ะ..~~ก็ใจมันต้องการจะเจอ~~(เอาเพลงใหม่กว่านี้ได้ไหมอ่อง? เพลงนี้ 20 ปีได้แล้วมั้ง 55555) พอพี่ตุ้มเขาอวยพรมาอย่างดี ฉันก็อ้อนไปว่า.. my wish is to see you soon .... may you grant me this wish? พี่ตุ้มเงียบไปพักใหญ่ (ใหญ่มาก ๆ) จนฉันเห็นลูกแห้วปอกเปลือกพร้อมรับประทานลอยมา



แต่แล้ว...โป๊ะเชะ...มือแสนดีของพี่ตุ้มก็มาปัดเจ้าแห้วกระเด็นไป...ฟิ้ว~~~~ (เสียงแห้วกระเด็นฝ่าอากาศที่ความเร็ว 500 ไมล์ต่อชั่วโมง) พี่ตุ้มบอกว่าวันนี้มากินข้าวกลางวันกัน โอ๊ ๆ ๆ ขีดความสุขพุ่งขึ้นอย่างพรวดพราด ขนาดยังไม่ได้เจอนะนี่ พี่ตุ้มยังใจดีบอกให้เรียกป๊ากมาด้วย แต่ป๊ากเกรงใจเพราะวันนี้พกลูกสาวมากทม. เลยไปส่งฉันที่ออฟฟิศ พี่ตุ้มก็ยังโทรไปตามป๊ากให้พาลูกมากินด้วยกันที่ร้านกลางซอย ข้างรพ.สมิติเวช เป็นพี่ที่น่ารักและใจดีเสมอซิน่า


เดินเข้าร้านอาหาร โอ๊ะ....ที่ไม่ใช่พี่โอ๊ะ 555555 แต่เป็นโอ๊ะ surprise เจอพี่อ้อน!!!! (ที่พวกเราเรียกกันชินปากว่าพี่อ้น มารู้ตอนแก่ ๆ กันแล้วว่าชื่อพี่อ้อน) ไป ๆ มา ๆ มาเลยนั่งกินข้าวด้วยกัน พี่อ้อนพาคุณแม่ทอสีมาโรงพยาบาลค่ะ (นี่ก็ศิษย์วัฒนาฯ แถมเคยเป็นอดีตนายกด้วย) คุย ๆ กันอยู่ พี่หนูภาขาเม้าท์เดินเข้ามา พร้อมกับเพื่อน ซึ่งน่าจะเป็นชาววัฒนาเหมือนกัน ร้านนี้เจ้าของคือแหม่มโคลหรือไงคะเนี่ยะ 555555


เจอพี่อ้อนทั้งที จู่ ๆ เจ้าหูฟังก็เกิดช็อต ดับไป 1 เครื่อง สงสัยกระแสไฟพี่อ้อนแรงสูง 55555 ฉันงี้เซ็งไปเลย เหลือหูพิการ 1 ข้าง ปกติใช้ 2 ข้างก็ฟังจะได้ศัพท์จับมากระเดียดไม่ได้อยู่แล้ว เลยนั่งบื้อ ๆ แต่ปลื้มเพราะได้เจอพี่ตุ้มอีก หลังจากครั้งนั้นก็ 5 เดือนพอดี 3 คนคุยกันใหญ่ มีเอ๋ยนั่งฟัง กับอ่องนั่งฟัง (มั้ง 555555) ก็อยากฟังแต่มันได้ยินไม่เต็มร้อย...ทำไงได้ล่ะค้า ฟังไปฟังมา พี่ตุ้มถามพี่อ้อนว่า..เธอจำได้ไหม น้องอ่องตอนเด็ก ๆ น่ะชอบม้วนไปม้วนมา....พี่อ้อนทำหน้าทบทวนความหลัง 555555 อยากบอกพี่อ้อนว่าถ้ามันลำบากมาก ก็ไม่ต้องรื้อฟื้นความจำก็ได้ค่ะ พี่ตุ้มอ่ะ จริงเล้ย...เปลี่ยนเรื่องคุยเถอะ ก่อนที่ฉันจะม้วนอีก 5555555 อายุ 50 แล้วม้วนเนี่ยะ มันคงกรอบหักแน่ ๆ เลย 555555


สรุปว่าฉันมีความสุขจริง ๆ ค่ะที่ได้เจอพี่ตุ้มอีก แม้ว่าพี่ตุ้มจะงานยุ่ง แต่ก็สละเวลาให้หลายชั่วโมงอยู่ แม้ว่าจะฟังสิ่งที่พี่ตุ้มคุยกับป๊าก กับพี่อ้อนได้ไม่ครบ แต่ฉันก็มีความสุขจริง ๆ พี่ตุ้มเคยสอนว่า..อย่าเอาความสุขของเราไปแขวนไว้กับมนุษย์ (ในที่นี้ก็คือพี่ตุ้ม) แต่ฉันก็อยากบอกว่าความสุขของฉันมันมีได้ง่าย ๆ เพียงได้เห็นคนที่เรารัก ได้ใกล้ชิดคนที่เราคิดถึง ไม่ต้องทั้งวันทั้งคืนและทุกวัน แต่ได้พบกันบ้างในห้วงเวลาหนึ่ง ๆ ถ้าฉันได้เห็นได้รู้ว่าคนที่ฉันรักมีความสบายกายสบายใจ แค่นั้นเอง...ความสุขก็เป็นของฉันแล้ว


กลับจากพี่ตุ้ม ก็ไปห้องซ้อมเพลง ไปกระซิบกิ๊กจ๋อเรื่องพี่ตุ้มทันทีเพื่อให้พี่จ๋อหมั่นไส้ 5555555 ที่จริงป๊ากหมั่นไส้ก่อนอีก เพราะฉันบอกป๊ากตั้งแต่อยู่บนรถแล้วว่า ฉันมีความสุขมากที่ได้เจอพี่ตุ้ม แต่ถึงหมั่นไส้ ป๊ากก็ชื่นชมความสามารถของพี่ตุ้มมาก ถึงขนาดว่าอยากให้ลูกสาวมาฝึกงานกับคนเก่งอย่างพี่ตุ้ม ป๊ากบอกว่าพี่ตุ้มมีทัศนะของคนทำงานที่ดีน่าเรียนรู้ และเลียนแบบเป็นอย่างยิ่ง ว่ายังไงค้าพี่ตุ้ม ต้องการเลขา 3 ภาษาไหมค้า


ที่ห้องซ้อมเพลง (5555 ตะกี้เข้าแล้วเลยออกไปหาพี่ตุ้ม ตอนนี้กลับเข้ามาใหม่) คนมาซ้อมเยอะมากค่ะ เดือนนี้มีคนเกิดเยอะ (ในรอบหลายสิบปีนะคะ 555555) พี่หนิงกับพี่ติ๋งเลยทำเค้กมาคนละก้อน มาฉลองกันสุขสันต์กันทั่วถ้วน คืนนั้นกลับบ้านอย่างมีความสุข แม้กลางคืนก็ยังอุตส่าห์ฝันถึงพี่ ๆ น้อง ๆ เพื่อน ๆ วัฒนาอีก ในฝันมีพี่ตุ้ม พ่วงด้วยพี่อ้อน 555555 โอ้จอร์จ วอชิงตัน 555555 ฝันว่าพวกเราทำงานกันค่ะ ดูเหมือนจะมีงานเปิดร้านขายของ อาจจะเป็นงานแฟร์ แต่รูปแบบไม่ใช่อย่างปัจจุบันนะคะ เป็นรูปแบบคลาสสิคที่พวกเราคุ้นชินกัน หลาย ๆ คนช่วยกันจัดร้าน สนุกสนานสุขสันต์คนฝันมากเลย 55555555


ตื่นมาพร้อมรอยยิ้ม....แสนจะมีความสุข Happy Be Me!!!!!!! สุขสันต์วันเกิดขึ้นปีที่ 50