วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คุณครูผกาย ประกายเรืองรองของอดีตกาล

ผู้มีบุญคุณกับฉันอย่างใหญ่หลวงเป็นการส่วนตัว

ตอนแรกที่พี่เจนมีบัญชาลงมาว่าให้ฉันกับป๊ากร่วมคณะไปกราบเยี่ยมครูผกาย ฉันก็รู้ตัวแล้วว่า..พี่เจนจะให้ฉันทำสกู๊ปแหง ๆ แล้วก็อิดออดไม่อยากไปเลย ข้อหนึ่งเพราะครูผกายเป็นใคร ฉันไม่รู้จัก ไม่เคยแม้แต่ได้ยินชื่อมาก่อน แล้วทำไมฉันต้องไปด้วย? ในเมื่อฉันก็ได้ยืนยันไปแล้วว่า...จะไม่ร่วมทีมทำวารสาร ในเมื่อสาราณียากรเขาบอกว่าเขาอยากทำงานคนเดียว ก็จะปล่อยให้เขาได้ทำงานคนเดียวจริง ๆ ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวไม่ว่าทางใด ๆ แต่พี่เจนก็คงห่วงวารสารประสานายก แล้วฉันเองก็เกรงใจพี่เจนในระดับหนึ่ง อีกอย่างได้ยินว่าครูวรรณดี ครูพรรณมหา ครูสาลินีก็ไปด้วย จึงคิดว่า...เอาน่า..ไปเที่ยวกับครู

ฉันคงเสียใจแย่ถ้าไม่ได้ไป  เพราะการไปทริปนี้ทำให้ฉันได้เจอพี่แดง ปริศนา ผู้ชักนำฉันไปพบพี่ตุ้มในเวลาต่อมา ตามบทความก่อนหน้านี้  ฉันรู้สึกถึงบุญคุณของครูผกายอยู่จนวันนี้ เพราะการได้เจอพี่ตุ้ม เป็นยิ่งกว่า heavenly investment ที่ครูได้ประสาทพรพวกเราทุกคน

ครูผกายเป็นหญิงชราที่แข็งแรง ปราดเปรียวเกินอายุเป็นอย่างมาก ทั้ง ๆ ที่อาวุโสกว่าใครในศูนย์อภิบาลฯ แต่ก็ไม่ต้องพึ่งรถเข็นเลย แถมเดินได้ดีมากด้วย ฉันจูงมือครูก็จริง แต่ก็แค่จูงมือไม่ได้ประคองครูเดินอย่างประคองคนแก่ทั่วไป กลับมายังบอกคุณแม่ตัวเองเลยว่า ครูผกายเดินดีกว่าคุณแม่เสียอีก ...ได้เรื่อง คุณแม่งอนไป 10 วินาที 555555555

นอกจากสมองยังแจ่มใส อาจจะตอบอะไรช้าไปบ้าง และหลงลืมบางอย่าง แต่ก็คุยกันรู้เรื่องดีค่ะ ป๊ากแซวกระทบชิ่งมาทางฉันว่า..โห คุณครูเก่งจังค่ะ ไม่ต้องใช้ไม้เท้า กับเครื่องช่วยฟัง  แง่งงงงป๊าก...ทีฮูทีอิทนะยะ  นอกจากนี้ครูผกายยังเปี่ยมด้วยอารมณ์ขัน ที่ชอบคือ ครูติดชื่อนพพรมาก เราก็ยิ้มแป้นไปเท่านั้น แต่ครูวรรณดีเบรกว่า...ไม่ใช่เรา ๆ คนละนพพร นพพรที่คุณครูพูดถึงคือพี่นพพร มานพพงศ์  ครูขา...หนูรู้น่า...แต่หนูอยากปลื้มนิ


ไอ้ที่เป็นโจ๊กประจำทริปคือพี่จ๋อสุดหล่อ เอ๊ย สวยของพวกเรานี่เอง 55555555 คิดถึงเรื่องนี้ทีไรก็ขำกลิ้งทีนั้น ครูผกายสับสนในเพศของหนูสรวรรณเป็นที่ยิ่ง  เพราะนอกจากว่าจะหน้าตาคมคาย (หล่อป้าด) แล้วซอยผมเกือบเกรียน แล้วยังชอบแต่งตัวแบบทอม ๆ แถมหุ่นแบนหน้า แบนหลัง 555555555 ยากที่จะให้ใครดูว่าเป็นผู้ฉิงนะพี่จ๋อนะ ฉันเลยต้องย้ำกับครูผกายว่าครูขา วัฒนาน่ะโรงเรียนหญิงล้วนนะคะ ม่ายมีผู้ชายค่ะ  แต่ครูก็ยังคงติดสงสัยอยู่ไม่วาย ถ้าใครได้ฟังเทปการสนทนาแล้วจะทราบเองค่ะ ต้องขอบคุณพี่บุษที่คอยถือเทปตามครูประมาณไม่พลาดสักช็อตเด็ด ส่วนฉันกับพี่จ๋อก็มีหน้าที่เก็บภาพไปตามเคย

ตอนนี้ฉันเริ่มติดใจกับทริปเยี่ยมเยียนศิษย์เก่าแล้วล่ะค่ะ ดีจริงๆ ที่ได้อยู่ในวังวนของวังหลังวัฒนา เป็นอะไรที่ฉันตระหนักอยู่เสมอว่าแสนโชคดีที่พ่อแม่เอาฉันเข้าโรงเรียนนี้ แล้วตอนที่คุณแม่ฉันห่วงว่าฉันจะเรียนกับเด็กปกติได้หรือไม่ เพราะหูตึงแต่อ้อนแต่ออกก็กลัวว่าเพื่อนๆ จะล้อเลียนแล้วฉันจะมีปมด้อย แต่อ.จ.เพ็ญเพ็ชรได้ยืนยันกับคุณแม่ว่าจะดูแลให้ไม่ต้องห่วง  ทำให้ฉันได้เติบโตมาในสถาบันการศึกษาที่ดีที่สุด  ได้พบเพื่อนดี ๆ มาก ๆ มากมาย ได้เจอรุ่นพี่ หรือแม้แต่หลานของครู เมื่อมีคำว่า "วัฒนา" เป็นตัวกลาง ทุกอย่างก็เป็นของดีสำหรับฉันไปเสียสิ้น  ไม่น่าเชื่อจริง ๆ ค่ะ 

รักวัฒนาเหลือเกิน
ปล.ภาพประกอบบทความ ขอเชิญทัศนาที่ facebook นะคะ

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

กุศล..ผลบุญ นั้นมีจริง


ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่

ด้วยความที่เป็นคนถ้ารับงานอะไรมา ก็จะทำให้ถึงที่สุด และเสร็จอย่างเร็วด้วย เพราะความที่เป็นคนหัวใจเป็นไฟ (หัวใจเป็นไฟ กับมีไฟในหัวใจนี่ต่างกันนะคะ) พอรับปากพี่เจนว่าจะเขียนเรื่องไปกราบเยี่ยมครูผกายแล้วก็เดินเครื่องทันที  ติดชะงักตั้งแต่จุดสตาร์ทเลย 5555555555 ครูผกายเป็นศิษย์วัฒนารุ่นไหนหว่า?

ตอนแรกคิดว่าหนังสือทะเบียนศิษย์เก่าน่าจะมีชื่อครูผกาย ปรากฎว่าตกหล่นค่ะ เอ้า แล้วทำไงล่ะ ไม่ได้ ๆ ถ้าไม่รู้รุ่นนี่เขียนไม่ได้หรอก เพราะความเป็นคนเขียนหนังสือที่ไม่เหมือนชาวบ้าน  เมื่อสนใจแล้วอยากรู้ข้อมูลตรงไหน ต้องได้มาค่ะ...ถ้าไม่ได้นี่ จะพาลเขียนไม่ได้ซะดื้อ ๆ

จำได้ว่าศาลาโคล์มีหนังสือดังกล่าวก็แวะไป  ปรากฎว่าเล่ม 1 หายไปซะงั้น ทำไงล่ะทีนี้ น้ำผึ้งก็บอกว่าให้ไปที่ตึกหน้าบ้าน หาครูวิ ที่ห้องครูใหญ่จะมีหนังสือนี้  พอเจอหนังสือ ก็ไม่เจอชื่อครู  แปลว่าครูผกายนี่เป็นศิษย์เก่าจัด ยามนั้นรู้สึกหงุดหงิดแล้ว ครูวิ..ถึงจะไม่ได้รู้จักกันมากมายอะไร แต่คงพอเข้าใจนิสัย 555555 เลยบอกว่าโทรหาครูวรรณดีซิ แล้วจัดการต่อสายให้  ครูวรรณดีรับทราบก็บอกให้ป๊ากไปติดต่อกองทะเบียนขอดูสมุด อ้างชื่อครูวรรณดีได้เลย

นี่คือที่มาของเรื่องราวทั้งหมด และนี่คือสิ่งมหัศจรรย์ที่น้อยคนจะได้ทัศนาด้วยลูกตาตัวเอง ได้สัมผัสด้วยมือค่ะ
สมุดเล่มโต กระดาษกรอบ แทบจะร่อนในขณะที่พลิก  ต้องบรรจงพลิกหาชื่อครูผกายแบบสุด ๆ แหละค่ะ ดีที่ชื่อครูอยู่ต้น ๆ ไม่เช่นนั้น ใครจะรับรองได้ว่ากระดาษจะไม่ขาดไปต่อหน้าต่อตา? สมุดเล่มนี้อายุน่าจะอย่างน้อย ๆ ก็ 100 ปี นี่พูดถึงว่าถ้าไม่ได้ลงชื่อนักเรียนคนแรกในวันแรกเข้าจริง ๆ นะคะ ถ้าเป็นประการหลัง สมุดเล่มนี้ก็อายุ 135 ปีเลยทีเดียว

ที่จริงฉันก็ไม่ใช่คนได้ปลื้มกับของเก่าอะไรนักหนา  แต่ครั้งแรกที่เห็นสมุดเล่มนี้ ตื่นเต้นมากค่ะ ขนลุกเพราะความตื้นต้นบอกไม่ถูก อยากจะพูดว่ารักสมุดเล่มนี้ก็คงเว่อร์เกินไปหน่อย  แต่ว่า....ไม่มีคำไหนจะเหมาะสมเท่าแล้ว  ฉันจึงอั๊พขึ้นบล็อกเพื่อให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ร่วมทัศนาด้วยกัน เพราะสมุดเล่มนี้ คงไม่ใช่สิ่งที่เจ้าหน้าที่จะหยิบยกมาให้ทุกคนชมดูทุกครั้งที่ร้องขอหรอกค่ะ  นี่ถ้าเป็นต่างประเทศ เจ้าหน้าต้องสวมถุงมือสีขาว ยกมาตั้ง แล้วห้ามผู้ใดแตะต้องกระดาษอันศักดิ์สิทธิ์...เผลอ ๆ ห้ามยืนใกล้เกินไปด้วย เดี๋ยวจะหายใจรด ทำให้กระดาษสึกกร่อนเร็วขึ้นไปอีก  แต่บุญของฉัน..เพราะที่นี่ประเทศไทย

วันนี้เจอครูวรรณดีค่ะ จึงได้ข้อมูลมาคอนเฟิร์มว่าสมุดเล่มนี้  เป็นสมุดที่ใช้ตั้งแต่เริ่มตั้งโรงเรียนเลยค่ะ แล้วก็รอดจากสงครามโลกมาด้วยฝีมือ ครูผิน ครูประพิธ ฯลฯ ช่วยกันขนออกมา ถ้าไม่เช่นนั้น ฉันก็คงไม่ได้เห็นเป็นบุญตาแล้วค่ะ  ปลื้มจริง ๆ




วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

31 ชั่วโมง กับช่วงเวลาที่หายไป 37 ปี

พระเจ้าต้องรักฉันมากแน่ ๆ เลย

ขอเล่าเรื่องพี่ตุ้มต่ออีกสักบทความเถอะ เพราะความตื่นเต้นยังไม่จืดจางไปเลย มันอิ่มเอม เปรมปรีดิ์ในหัวใจอย่างบอกไม่ถูกกับการได้เจอพี่สาวคนนี้อีกครั้ง  ไม่เสียแรงที่ฉันเฝ้าคิดถึง แล้วเพียรพยายามในการจะค้นหาพี่ตุ้มบนโลกใบนี้จริง ๆ

พี่ตุ้มนัดฉันไว้ 10 โมงที่ออฟฟิศถนนเอกมัย แต่ฉันไปถึงก่อนเวลาร่วมครึ่งชั่วโมง ก็ไปนั่งอ่านหนังสือรื้อฟื้นภาษาอังกฤษรอ  ออฟฟิศพี่ตุ้มมีแต่หนังสือ วารสารภาษาอังกฤษ - -'   แต่ความเป็นเด็กวัฒนา...ภาษาอังกฤษต้องดีอยู่แล้วล่ะ ฮี่ ๆ ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นนักเรียนระดับปลายแถวของวัฒนา แต่พอออกมาอยู่ข้างนอกเนี่ยะ..ก็ผงาดอยู่แถวหน้า ๆ ได้เหมือนกันน้า 555555 ขี้คุยจริง ๆ เล้ยยัยนพพรเนี่ยะ

ระหว่างอ่านไปก็คิดไปว่า...เดี๋ยวเจอพี่ตุ้มนี่เราจะทักทายกันแบบไหนน้อ? พี่เขาจะตื่นเต้น หรือเฉย ๆ ใส่เรา?ถ้าเขาเฉย ๆ เนี่ยะ ฉันจะรู้สึกหน้าแตกไหม? จะเจื่อนไหม? แล้วฉันควรจะสวัสดีเขาสวย ๆ และแนะนำตัวแบบเก็บอาการ หรือว่าควรจะกอดเขาแล้วกระดี๊กระด๊าตามที่หัวใจเรียกร้องดี?  เพราะอันตัวเราก็เกือบ 50 แล้ว สมควรอย่างมากที่จะทำตัวให้สมวัยซะที  คิดมากขนาดนี้เลย 55555555555 แล้วนี่ 10 โมงแล้วทำไมพี่ตุ้มยังไม่มาซะทีอ่ะ?????

และแล้วเวลานี้ที่รอคอยก็มาถึงจนได้  พี่ตุ้มปรากฎร่างในชุดสีแดง เลือดวัฒนาข้นครั่ก จริง ๆ ตอนแรกก็ว่าจะใส่เสื้อยืดสีแดงอยู่เหมือนกันแหละค่ะ พี่ตุ้มไว้ผมบ็อบอย่างเคย แต่ทรงทันสมัยขึ้น รูปร่างท้วมขึ้นเล็กน้อย แต่ความสวย ความน่ารักยังคงเจิดจรัสไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อสาว ๆ กี่มากน้อย ไม่เหมือนฉันที่แปลงจากหนูน้อยหมวกแดง ใสซื่อ บริสุทธิ์ มาเป็นยัยแม่มด หนังเหนียวเหี่ยวยับย่นไปทั้งตัว -"-   แต่ก็มีข้อดีนะ ...ใครที่ยังคบหาฉันอยู่ ก็แปลว่าพวกเขาคบหาฉันด้วยตัวตนของฉันเองล้วน ๆ หาใช่เปลือกนอกอันสวยงามไม่?

แล้วนพพรล่ะ คบหาพี่ตุ้มเพราะเปลือกนอกที่น่ารักของพี่ตุ้มหรือ?  เอิ่มมมม....ไม่แน่ใจแฮะ  อยากรู้พี่ตุ้มก็ต้องทำตัวแก่ ๆ แบบหนูก่อน 555555555 แล้วจะรู้เองว่าหนูจะรักพี่ตุ้มอยู่หรือเปล่า....

ยังไม่ทันทีที่ฉันจะได้ทักทายอะไร พี่ตุ้มก็เข้ามากอดแล้ว เขิลลลล 5555555 แต่โต..เอ๊ย แก่แล้ว เลยข่มความเขินอายได้ดีกว่าเมื่อก่อน  เดี๋ยวนี้ฉันตัวโตกว่าพี่ตุ้มแล้ว แต่ก็ยังเดินตามพี่ตุ้มต้อย ๆ ไปที่ห้องทำงานพี่ โอ๊วววว วิวเจ๋งจริง พอหย่อนตัวนั่งลง พี่ตุ้มก็ยิ้มหวาน ๆ ให้ ภาพเก่า ๆ ของพี่ตุ้มวิ่งกลับมาในมโนภาพแล้วภาพเล่า ก่อนหน้านี้นั่งนึกอยู่นานว่าพี่ตุ้มหน้าตายังไง เพราะไม่ได้เห็นกันมา 37 ปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจำได้  ยิ่งฉันยิ่งประเภทปลาทองอยู่ด้วย

ฉันจำได้เพียงเรื่องราวระหว่างกัน แต่พี่ตุ้มจำได้มากกว่านั้นอีก จำได้กระทั่งว่าฉันขี้อายม้วนไปม้วนมา 5555555 เดี๋ยวนี้ก็ขี้อายบ้าง แต่น้อยลง  แล้วก็อย่างหนาแล้ว..เลยไม่ม้วน 555555555 พี่ตุ้มบอกว่าสนิทกับพี่อ้น พี่หัวโต๊ะฉัน  ฉันก็งงเพราะเคยเจอ แล้วจำได้ว่าถามหาพี่ตุ้ม แต่ทำไมไม่ได้คำตอบ

ก็คงไม่ใช่เวลาที่ "ใช่" ล่ะกระมัง เราจึงได้อยู่ไม่ไกลกันแต่ไม่เคยแลเห็นกันซะที ฉันไปอเมริกา พี่ตุ้มก็ไปเหมือนกัน แล้วอยู่เพนซิลวาเนียด้วย ที่สำคัญคือพี่ตุ้มเคยมาเที่ยว Pittsburgh ด้วยซ้ำไป 

อยู่เมืองไทย พี่ตุ้มอยู่บนถนนสายเดียวกัน ..อ่อนนุช..  เราอยู่ไม่ไกลกันเลยตลอดเวลา 37 missing years  มันเป็นความจริงที่ฉันอาสาทำทะเบียนศิษย์เก่าทั้งหมดเพื่อจะค้นหาว่าพี่ตุ้มอยู่ไหน  ปรากฎว่าฉันเจอชื่อเขา แต่ไม่เคยรู้ว่าเขาแต่งงานแล้ว เปลี่ยนนามสกุล เฮ้อ....เห็นไหมว่า..เส้นผมบาง ๆ เล็ก ๆ มันบังดอยอินทนนท์ได้ยังไง

ยิ่งไปออฟฟิศพี่ตุ้ม ฉันก็ยิ่งงง เพราะใกล้ ๆ บ้านจิ๊บ ใกล้ออฟฟิศพี่เจริญ ฉันเดินบนถนนเอกมัยบ่อย ไปกินร้านคอฟฟี่บีนก็หลายหน  พี่ตุ้มเล่าว่ารู้จักกันกับคุณดาวด้วยซ้ำ

ฉันไปอยู่ระยอง พี่ตุ้มก็มีบ้านอยู่ที่นั่นเหมือนกัน 

อะไรกันเนี่ยะ แล้วทำไมเราไม่เจอกันซะที เหมือนนิยายเรื่องดวงตะวันส่อยฉาย..ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวาเลย นิยายภาพแสนโรแมนติกของจิมมี่ เหลี่ยว  เพียงแต่เราสองคนเป็นนางเอก vs นางเอก 5555555555555  ว่าแล้วก็ต้องหาหนังสือเล่มนี้ไปให้พี่ตุ้มอ่านซะแล้ว 

ในเมื่อค้นหากันมาถึง 37 ปี ฉันก็เลยขลุกอยู่กับพี่ตุ้ม 31 ชั่วโมงเป็นการชดเชยแรก ๆ ได้กินไข่เจียวทอดแสนอร่อยฝีมือพี่ตุ้มถึง 2 มื้อ  อยากจะบอกว่า...บางครั้งอาหารพื้น ๆ แสนธรรมดาก็เลิศรสประมาณอาหารหรูหราได้ เพียงอยู่ที่เรากินกับใคร และใครเป็นคนทำให้เรากิน เพราะความเสน่หาเป็นเครื่องปรุงรสที่เพอร์เฝ็คที่สุดในโลก ฮิ้วววววว~~~~~~

พี่ตุ้มบอกว่าไม่ค่อยได้เชื้อเชิญใครมาเที่ยวบ้าน ฉันงี้ปลื้มจนแทบจะลอยเรี่ย ๆ แทนการเดินอยู่แล้ว  เรานั่งคุย นอนคุยถึงเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย พี่ตุ้มเล่าว่าได้ไปเยี่ยมครูภิญโญด้วยซ้ำไป  โห...อะไรเนี่ยะ ฉันเองก็ไปเยี่ยมครูภิญโญอยู่หลายหน แต่ไม่ได้ถามถึงพี่ตุ้ม เพราะไม่คิดว่าพี่ตุ้มจะติดต่อครู  พี่ตุ้มไปงานศพของครูผินด้วยซ้ำไป ฉันเองก็ไปทุกคืน ...แล้วทำไมเราไม่เจอกันว้า?

แล้วในจังหวะที่ฉันรู้สึกเหมือนถูกทิ้งอยู่ในโลกแห่งความเหงาหงอยนี่เอง  พี่ตุ้มก็กลับเข้ามาได้จังหวะเหมาะเหม็ง อาจจะไม่ถึงขนาดมาซับน้ำตาให้ เพราะฉันอายเกินกว่าจะร้องไห้ให้คนอื่นเห็นง่าย ๆ  แต่การได้พบเจอพี่สาวคนนี้ก็เป็นเครื่องปลอบประโลมใจที่ดีมาก ๆ แล้ว ขอบคุณนะคะ ขอบคุณพี่ตุ้มจริง ๆ ที่เดินเข้ามาถูกเวลาสุด ๆ.


ลิขิตฟ้า หรือมานะตน ที่เราสองคนค้นหากันจนเจอ

วันนี้ที่รอคอย  มานาน..กว่าเกือบ 40 ปี

ฉันไม่แน่ใจว่าเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เป็นเพราะลิขิต หรือผลความเพียรที่ไม่ย่อท้อกันแน่ที่ทำให้ฉันได้เจอกับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ฉันค้นหามาร่วม 40 ปีได้

หลังจากที่ พี่ตุ้ม เรียนจบจากวัฒนา เราอาจจะได้เจอกันบ้างก็ไม่น่าจะเกิน 1-2 ปี จากนั้นพี่ตุ้มก็หายไปจากสายตาของฉันโดยสิ้นเชิง ถึงกระนั้น หัวใจฉันก็ยังคิดถึงพี่สาวที่แสนดี อบอุ่น น่ารักคนนั้นตลอดเวลา  เมื่อใดที่โฉบเข้าไปในวังวนของวัฒนา ฉันก็มักจะมองหาช่องทางที่จะสืบเสาะหาว่าพี่ตุ้มอยู่ไหนหนอ? อยากรู้อยู่เสมอว่าพี่เขาสบายดีหรือไม่อย่างไร และที่สำคัญ...ป่านฉะนี้ พี่ตุ้มจะจำ หรือลืมรุ่นน้องคนนี้?

จนกระทั่งเมื่อวันพุธที่ฉันได้เจอพี่แดงปริศนา รุ่น 95 ในขณะที่ไปกราบเยี่ยมครูผกาย เหมือนมีอะไรมาดลใจให้ฉันเอ่ยปากถามพี่แดง ทั้ง ๆ ที่ไม่คิดว่าจะได้คำตอบ เพราะพี่ตุ้มรุ่น 99 แล้วเท่าที่จำได้ พี่ตุ้มอยู่แค่มศ.4-5  ขนาดถามพี่ ๆ ที่ทันกันในยุคนั้น ยังไม่มีใครรู้จักหรือจำได้เลย (ช่าง least known ซะเหลือเกิน55555555)

แต่แล้วก็เจอแจ๊คพ็อต พี่แดงบอกว่ารู้จักซิ  ฉันจำได้ว่าหัวใจฉันซู่ซ่าขึ้นทันควัน (ก่อนหน้านี้มันแฟ่บ ๆ ด้วยอาการเบื้องต้นของโรคซึมเศร้า) แต่ไม่มั่นใจว่าพี่แดงเข้าใจถูกคนหรือเปล่า จึงมีการสอบถามทั้งชื่อจริง ชื่อเล่น นามสกุล  วินาทีนั้นอยากจะร้องกรี๊ด ๆ ๆ เจอขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า ก็ยังไม่แน่ใจว่าดีใจเท่าหรือเปล่าเลย พี่แดงก็ดีใจหาย ถึงจะไม่มีเบอร์พี่ตุ้ม แต่ก็เป็นธุระโทรถามพี่แก้วให้ ซึ่งพี่แก้วก็บอกมาในเวลาไม่ช้านาน หลังจากนั้นพี่แดงก็โทรหาพี่ตุ้มทันที  ฉันลัลล้าขึ้นทันตา อารมณ์ดีถึงกับโผกอดพี่แดงเป็นการแสดงความขอบคุณจากใจ

พอกลับถึงบ้านก็ร่อนเมลถึงพี่ตุ้มทันที  พี่ตุ้มก็น่ารักมาก ๆ จัดวันนัดพบให้รวดเร็วที่สุด คือวันศุกร์ เนื่องจากวันพฤหัสพี่ตุ้มติดภาระกิจอวดวงสวิงที่ต่างจังหวัด เราก็แลกเปลี่ยนรูปกันเพื่อจะได้ไม่ทักคนผิด  เพราะ 40 ปีฉันเปลี่ยนจากวัยเด็ก กระโดดมาเป็นหญิงวัยกลางคน มันก็น่าจะเปลี่ยนไม่น้อยนักหรอก

เห็นรูปพี่ตุ้ม ชักเครียดเล็ก ๆ โอ๊วววว คุณพี่แทบไม่เปลี่ยนเลย สวยยังไงก็ยังงั้น รูปร่างอาจจะท้วมขึ้นแต่ก็ไม่มากมายอะไร ผิดกับนพพรนักหนา ที่เปลี่ยนจากเด็ก 12 ขวบตัวผอม ๆ หน้าตาบ๊องแบ๊ว มาเป็นยัยแก่ร่างใหญ่ หน้าเหี่ยว ๆ  ชั่วขณะแอบอยากเปลี่ยนใจไม่ไปเจอแล้ว 555555 ไม่รู้จะเรียกพี่ตุ้มได้หรือเปล่า ก็ดูสาวกว่าเรานิ

แต่มนต์ขลังของวัฒนายังคง work well ทันทีที่เจอกัน พี่ตุ้มก็โผเข้ามากอด ความรักความอบอุ่นที่แอบซ่อนในความทรงจำก็สำแดงตัวชัดแจ้งอีกครั้ง พูดคุยกันได้ไม่กี่คำ ก็พบว่า...ระยะเวลาเกือบ 40 ปีที่ผ่านมาไม่ได้เป็นกำแพง หรืออุปสรรคในมิตรภาพของเราสองคนเลยแม้แต่น้อย  เราคุ้นเคยกันอย่างรวดเร็ว อาจจะเพราะถ่านไฟเก่านั้นไม่เคยมอด ถึงแม้จะผ่านมาหลายสิบฤดูฝน หรือเพราะความเป็นวัฒนาที่ทำให้เราพี่น้องร่วมรั้วแดง-ขาวพร้อมจะเปิดใจถึงกันตลอดเวลาหนอ?

ที่ฉันแอบปลื้มก็คือ พี่ตุ้มบอกว่า พี่เขาก็หาฉันเหมือนกัน เราต่างคนต่างหากัน วิถีชีวิตก็อยู่ใกล้ ๆ กันตลอด บางทีเราอาจจะเคยเดินสวนกันบ้าง แต่ด้วยว่าลิขิตเวลายังไม่ใช่ ...เราจึงจำกันไม่ได้ 

มันจะเป็นลิขิตฟ้า หรือมานะที่เราถามหากันและกัน โดยไม่ละความพยายามตลอดเวลาที่ผ่านมา จึงทำให้เราได้พบกันในที่สุด?  ฉันถามตัวเองในตอนแรกที่เจอ  แต่หลังจากช่วงเวลาดี ๆ 2 วัน 1 คืน...ตอนนี้ฉันไม่สนใจที่จะหาคำตอบนั้นแล้ว สิ่งที่ฉันคิดอยู่ตอนนี้คือ ฉันน่าจะเลี้ยงข้าวพี่แดงปริศนาสักมื้อ...หรือว่ายังไงดีคะพี่ตุ้ม? ^____^

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เชิญชมบ้านสวย ๆ ของคุณป้าจีรวัสส์ กันหน่อย


This is A Home not a House

เมื่อไม่นานมานี้ ฉันโชคดีที่ได้ติดตามพี่เจน และคณะไปเที่ยวบ้านของคุณป้าจีรวัสส์ (พิบูลสงคราม) ปันยารชุนศิษย์อาวุโสของวัฒนา
ทันทีที่รถพาเราเข้าไปในบริเวณ เพียงแวบแรกที่เห็นบ้านสไตล์เก่า ซ่อนตัวใต้เงาร่มไม้ใหญ่ ก็ให้รู้สึกประทับใจเสียแล้ว และเมื่อก้าวเข้าไปในบ้าน คุณป้านั่งรออยู่พร้อมกับพี่ ๆ ทุกคน เราก็หนีบกายเข้าไปทักทายอย่างเจี๋ยมเจี้ยม ค่าที่เป็นเด็กสุด แต่ดันมาสายสุด


เพียงเหยียบย่างเท้าบนพื้นไม้แผ่นโต เดินผ่านอนุสรณ์ชีวิตเจ้าของบ้านเข้าไปถึงห้องรับแขก ก็นึกชอบใจซะแล้ว


ห้องรับแขกเป็นห้องเพดานสูง ติดกระจกตลอด แต่ก็มีต้นไม้ด้านนอกกรองแสงอุลตร้า ไม่ให้มันแสดงอานุภาพเต็มที่ เมื่อมองออกไปก็จะเห็นสัญลักษณ์ความเจริญของเมืองหลวงเป็น semi background อยู่ข้างหลังต้นไม้ของบ้าน


โดยที่ป้าจี เป็นผู้ใหญ่ พวกเราจึงพร้อมใจกันนั่งลงกับพื้น แล้วเริ่มการพูดคุยกัน คุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระ มีเรื่องเก่า ๆ มาเล่าแชร์กัน ระหว่างรุ่นดึก รุ่นหัวค่ำ และรุ่นกลางวัน 55555555555 สิ่งหนึ่งที่พบว่าไม่ต่างจากกันเท่าไร คือความเคร่งครัดของกฎระเบียบ ก็แลกเปลี่ยนวีรกรรมกันเป็นที่สนุกสนาน ฉันเอง...ความที่หูตึง ต้องเขยิบเข้าไปนั่งใกล้ ๆ เพื่อเก็บข้อมูล แต่ก็ยังไม่สามารถเก็บได้ครบถ้วน เพราะบางคนพูดเสียงดังชัดเจนดี บางคนก็เสียงนุ้งนิ้ง ๆ น่ารัก แต่ฟังยาก 555555555 ฉันจึงง่วนกับการกิน (หมายตามะขาม แต่ไม่มีผู้ใดหยิบกินซะคน จะหยิบกินคนเดียวก็ออกจะ...) การถ่ายรูป (ป้าจีถึงกับโพสต์ท่าน่ารักให้เป็นพิเศษ ใจดีมาก ๆ เลยค่ะคุณป้าจี) และเพลิดเพลินกับการดูหน้าผู้คน


พี่เจนดูเหนื่อยล้ากว่าใครเพื่อน ป๊ากก็ยังเหลือร่องรอยความเพลียจากการเดินทางไปแสวงบุญที่อินเดีย พี่พจน์สามีพี่จ๋อ นั่งสงบเสงี่ยมเป็นเตมีย์ใบ้ นาน ๆ ก็จะเก็บภาพสวย ๆ สักที อันนี้ขำป้าจีมาก เพราะคุณป้ากระซิบถามฉันว่า...พ่อหนุ่มนั่นใครรึ? 5555555555555 พี่จ๋อก็นั่งหน้าหล่ออยู่ข้าง ๆ สามี ส่วนพี่หน่อยนี่มองมากเป็นพิเศษ เพราะชอบดูหน้าตาสวย ๆ หวาน ๆ แอบเก็บภาพพี่หน่อยจนพี่หน่อยต้องส่งซิกว่า...หยุดถ่ายภาพฉันซะทีได้ไหมยะ...5555555555555
มีอยู่อีกช่วง ป้าจีเอารูปเพื่อนร่วมรุ่นมาให้พวกเราดู…แล้วเริ่มปฏิบัติการแนะนำว่าคนนี้ชื่ออะไร ยังมีชีวิตอยู่หรือว่าเสียชีวิตไปแล้ว ฉันตั้งชื่อฉากนี้ว่า...ชี้เป็นชี้ตาย 55555555555 ความจำคุณป้าแจ่มใสยิ่งกว่าฉันเสียอีก เพราะเพื่อน ๆ บางคนฉันเริ่มลืมชื่อ ลืมหน้าไปบ้างแล้ว
ก่อนกลับ ฉันเข้าห้องน้ำ...โอ้ว เหมือนเดินเข้าไปในฉากโรงเรียน ห้องน้ำบ้านป้าจีเหมือนห้องน้ำครูสมัยก่อนมาก ทั้งกระเบื้องเล็ก ๆ สีขาว ๆ อ่างล้างหน้า โดยเฉพาะสวิชไฟฟ้าทรงกลมสีดำ ที่แม้แต่ในวัฒนาเองก็เปลี่ยนไปแล้ว

ยังมีขั้นบันไดวางเซรามิคไก่นับสิบคู่ แน่นอนว่าป้าจีเป็นสาวปีไก่กุ๊ก ๆ ...ภาพสาวญี่ปุ่นที่ป้าจีภาคภูมิใจมาก ประมาณว่าใช้ผมคนจริง ๆ มาทำเป็นพู่กันวาด มีคนนำมาให้เป็นของขวัญแต่งงาน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้...ที่..makes a house a home 

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ความเสน่หามีรสหวานกว่าน้ำตาล

เพราะน้ำตาลยังมีจุดอิ่มตัว แต่ความเสน่หา..หามีไม่

คำเตือน บทความนี้อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของท่านที่เป็นโรคเบาหวาน

ความรักเอย เจ้าลอยลมมาหรือไร....ความรักนั้นจะลอยลมมาหรือไม่ฉันไม่รู้  รู้แต่ว่าเมื่อถึงจุดพีค ความรักสามารถทำให้ฉันตัวเบา เหมือนจะลอยตามลมไปไหน ๆ ได้ ฉันเชื่อว่าไม่เพียงฉันหรอกที่มีประสบการณ์แบบนี้ เพราะฉันไม่ใช่มนุษย์คนแรกของโลกที่รู้จักความรัก ความเสน่หา

ฉันชอบความรัก และรู้สึกยินดีที่สามารถรักใครสักคน และคิดถึงเขาเป็นคนแรกทันทีที่ลืมตาตื่นในยามเช้า คิดถึงก่อนนอน แม้ในความฝัน..ก็ยังรู้ว่าตัวเองนอนยิ้มหวานเมื่อเห็นคนที่เรารักแวะมาทักทายกัน ฝันถึงคนที่เรารักทีไร ก็ตื่นมาอย่างสดชื่นทีนั้น หลายครั้งที่ลืมตามาแล้วหัวเราะ เป็นการเริ่มวันใหม่ที่ไม่เลวเลยใช่ไหม? ดังนั้น จงลัลล้าเถิด ถ้ารู้สึกว่าเราชักจะไปหลงรักใครเข้า อย่ามัววิตกเลยว่า..
ตายละวา สามีฉันจะรู้ไหมเนี่ยะ / หรือเพื่อนฉันจะว่าไงเนี่ยะ ดันไปหลงรักสามีเพื่อน ... (อันไหนจะเลวร้ายกว่ากันเนี่ยะ 5555555) ก็ถ้ามันเป็นเพียงความรู้สึก ก็ไม่ต้องไปวิตกกังวล ตราบใดที่ยังไม่ถึงกับลุกขึ้นหอบผ้าย้ายไปอยู่กับเขา อันนำมาซึ่งความแตกแยกของครอบครัว ถ้าทำถึงขนาดนี้ก็สมควรวิตกอยู่
ฉันรักเขาได้ไง เพศเดียวกันชัด ๆ หรือว่าฉันชอบเล่นดนตรีไทย 55555555555 ฉันมักจะเจอข้อกล่าวหาแบบนี้เป็นประจำจนชักชิน และไม่สนใจที่จะแก้ข้อกล่าวหา เพราะฉันรู้ดีว่าฉันเล่นดนตรีไม่เป็น พอไปได้ก็คือเปียโน ดีดป๋องแป๋ง ก๊องแก๊งไปเรื่อย แต่คนที่รู้จักฉันจริง ๆ จะรู้ว่าฉันไม่ประสาเลยกับเรื่องทอม ๆ ดี้ ๆ
ก็แค่ขอให้ได้รัก ได้ชอบ พอให้หัวใจกระดี๊กระด๊า กระชุ่มกระชวยไปตามเรื่อง

เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก     จะเที่ยวมากรักชายใดให้บักสี
ครั้นรักหญิงด้วยกันก็โดนดี            ว่านิยมชมดนตรีชนชาติไทย -_-'
ครั้นจะอยู่ไร้คู่รักก็ห่อเหี่ยว             ใจเปล่าเปลี่ยวซึมเศร้าเหงาไปไหม
จะรักหมา-ปลา-แมว-นกไม่สาใจ     เท่ารักในสไปซี่คนด้วยกัน ฯลฯ

ปากคนน่ะ ถ้าเขาจะนินทาว่ากล่าวเรา ไม่ว่าเราจะรักอะไร เขาก็มีเรื่องให้ว่าได้อยู่ดี ยิ่งดันเป็นสาวโสดนี่ยากหนีพ้น ไม่รักใครเลย ก็ไม่วายหาว่า..เป็นคนรักตัวเองอย่างร้าย 555555555 ฉะนั้น ฉันถึงไม่ให้ราคากับคำพูด คำวิจารณ์ของคน ฉันสนใจอยู่แค่ว่า
1. เมื่อฉันรักแล้ว ฉันมีความสุขดี มีรอยยิ้มได้ทั้งวัน นอนหลับก็ฝันหวาน
2. ความรักของฉันไม่ไปทำให้ชีวิตของใครต้องตกอับ หรืออยู่ในความทุกข์ เพราะดันไปรักผัวเขา แถมมีฟีคแบ็ค 555555


วัฒนาสอนให้ฉันรู้ว่าโลก และสรรพสิ่งโดยเฉพาะมนุษย์กำเนิดมาจากความรักของพระเจ้า ฉันจึงคิดอยู่เสมอว่า..โลกก็ควรหมุนไปด้วยความรัก ลองนึกดูซิคะว่าทุกวันนี้โลกเราน่าอยู่น้อยลงทุกวัน เพราะความรักที่มนุษย์มีต่อโลก และต่อมนุษย์ด้วยกันมันลดน้อยลง  จึงเกิดการแสวงหาผลประโยชน์ ตักตวงเอาอย่างละโมบ

รวมทั้งวัฒนาของเราด้วยเช่นกัน...นับวันก็จะมีผู้คนเข้ามากอบโกย ไม่ว่าจะเป็นด้านผลประโยชน์ที่จับต้องได้ หรือในรูปแบบอื่น ๆ ที่ล้วนแล้วแต่เหมือนปลวกตัวเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ กัดกินรากฐานทีละน้อย ๆ ต่อให้เป็นเสาหลักที่ทำด้วยไม้แกร่งสักแค่ไหน ลองจำนวนปลวกมีมากมาย คนกำจัดปลวกไม่มี เสานั้นก็ย่อมถึงกาลผุพัง อวสานอย่างแน่นอน  พระพุทธศาสนาบอกว่า..ใด ๆ ในโลกล้วนอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดจีรัง แม้แต่ศาสนาใด ๆ ก็ตาม วันหนึ่งก็จะถึงเวลาเสื่อมลงไปจนได้  เราอาจจะไม่เก่งขนาดเป็นคนกำจัดปลวก แต่ขออย่าให้เป็นปลวกซะเองเลย

135 ปี...ยังเยาว์ไปสำหรับวัฒนาของพวกเรา ช่วยกันดูแล รักษาไว้ในเติบโตเป็นสาว และอยู่จนแก่เฒ่าเถอะค่ะ อย่าแชเชือนเหมือนว่าเราไม่ได้ผูกพันต่อกัน เหมือนคำพูดของเพื่อนคนหนึ่งว่า...จบการศึกษาแล้วก็แล้วกัน...เลย เพราะวัฒนาไม่ได้เป็นเพียงสถานศึกษาที่สอนให้เราอ่านเขียนพูดได้ แต่วัฒนาให้มากกว่านั้นนัก

ให้อะไรมากนักหนาเหรอ?  ลองเอามือทาบหัวใจ ทำจิตให้นิ่ง แล้วถามหัวใจคุณเองก็แล้วกัน.


วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553