วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความทรงจำที่ไม่อยากได้ TT^TT


ที่สุดของความอาย (แล้วจะเอามาเล่าทำไมล่ะเนี่ย?????)

งั้นขอเล่าแบบเบา ๆ (ด้วยสีตัวอักษรจาง ๆ 555555555) ก็แล้วกันนะ

คิดอยู่หลายตลบว่าจะเล่าดีไหมเนี่ยะ? แต่เอ้า ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เมื่อกล้าเปิดบล็อกก็ต้องกล้าเล่าซิน่า ขายหน้านิด ๆ หน่อย ๆ เพื่อความครื้นเครงของบล็อก คงไม่หนักหนาอะไรหรอก (เหรอ...?) 

อีกอย่าง ... นี่แหละค่ะ หมายเลขหนึ่งความทรงจำอันขมขื่นที่สุดในชีวิตการเป็นนักเรียนวัฒนาก็ว่าได้ แต่ยามนี้...ยามที่เราเข้าเขตวัยชรา มองย้อนกลับไปก็เป็นเรื่องขำ ๆ ไปได้ 

เหตุเกิดขึ้น ที่เก่า แต่ไม่ใช่เวลาเดิม จำไม่ได้แล้วว่าปีไหน (ไม่อยากจำมากกว่า 55555)

ชีวิตนักเรียนกินนอนนี่ จะว่าอึดอัดก็ใช่นะ แต่มันทำให้มีเรื่องราวสนุก ๆ ให้นึกย้อนกลับไปมากมาย ดังเช่นเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้

สมัยนั้น ตอนเย็นหลังจากอาบน้ำเสร็จ (ประมาณ 18.00-18.30 น.) พวกเราก็จะมีเวลาเล่น / คุยกันกับเพื่อน ๆ ถึง 1 ทุ่ม เมื่อถึงเวลานั้นก็เป็นเวลา“ท่องหนังสือ” ที่ทุกคนจะต้องไปนั่งเงียบ ๆ ทำการบ้าน หรือดูหนังสือในตึกเรียน  จำกันได้ใช่ไหมคะ

ค่ำนั้น ฉันเกิดปวดท้องอึ๊ขึ้นมา ดูเวลาแล้วอีกไม่กี่นาทีก็ 1 ทุ่ม เลยคิดว่าอั้นไว้ก่อน ให้ถึงเวลาเข้าตึกเรียนแล้วค่อยขออนุญาตครูออกมาเข้าส้วมเพราะถ้าเข้าตอนนี้ เกิดเสร็จไม่ทันเวลาขึ้นตึก ก็กลัวว่าจะโดนครูทำโทษเอา (จริงๆ แล้วครูคงไม่ทำโทษหรอก ถือเป็นเหตุสุดวิสัย แต่เด็กน่ะค่ะ กลัวไปเอง)

ฉันก็นั่งฟังเพื่อน ๆ คุยกันไป ทีนี้ในกลุ่ม เกิดมีคนเล่าอะไรขำ ๆ ออกมา ฉันก็พรืด..ปล่อยก๊ากตามประสาคนเส้นตื้น พร้อมกันนั้น ด้านล่างก็...พร่วดดดด...

โอ้ว มายก็อด เต็มกางเกงลิงเลย.. TTOTT ..ไม่ใช่อึธรรมดาด้วยนะ แต่ดันเหลวเป็นโจ๊กข้น ๆ

โชคดีที่ไม่มีกลิ่น เพราะมองดูหน้าผองเพื่อนแล้ว ไม่มีพิรุธใด ๆ เกิดขึ้น ^ ^’

TT^TT แล้วนี่ฉันจะทำยังไงล่ะเนี่ยะ ห้องตู้ ก็ปิดไปแล้ว หรือฉันจะต้องแช่กองโจ๊กสีน้ำตาลนี่ไปถึงพรุ่งนี้เช้าเนี่ยะ ตูดมิเน่าไปเหรอ ฝันร้ายชัด ๆ ๆ

ฉันมองหน้าเพื่อน ๆ เพื่อหาคนที่น่าไว้ใจมากที่สุด เพราะฉันทนไม่ได้หรอก ถ้าเพื่อนจะหัวเราะขำที่ฉันขี้แตก (หรือใครทนได้ ก็ยกมือขึ้น) ดูหน้าแต่ละคน น่าไว้ใจทั้งน้าน..เจ้าหล่อนคงจะหัวเราะก๊ากออกมาตั้งแต่ฉันยังเล่าไม่จบเลยล่ะมั้ง

ฮือ ๆ ทำไมชีวิตฉันถึงรันทดขนาดนี้นะเนี่ยะ แล้วฉันก็จำใจเสี่ยงเอากับเพื่อนคนหนึ่ง ดูหน้าแล้วเป็นคนขรึม และก็ใจดีที่สุด (แต่จำไม่ได้แล้วว่าใคร รู้แต่ว่ารุ่น 105)

“เธอ ๆ” ฉันดึงเขาออกมาจากกลุ่ม แล้วกระซิบกระซาบ “มานี่หน่อย ฉันมีเรื่องเดือดร้อนมากเลย”

“อะไรเหรอ” เขาถามอย่างห่วงใย เมื่อเห็นสีหน้าอมทุกข์(เหม็น ๆ)ของฉัน

“อย่าบอกใครนะ” ฉันกระซิบ ยังไม่ชัวร์ ดึงเขาห่างออกจากกลุ่มไปอีกหน่อย “ฉันขี้ราดน่ะ”

เพื่อนคนนี้ คุณเธอเก่งมากเลยแหละ ไม่มีหลุดยิ้มออกมาเลย กระวีกระวาดพาฉันไปหาครูเวร ครูเวรก็ให้พี่เวร (ที่โรงเรียนรุ่นพี่มศ.5 จะจัดเวรถือกุญแจห้องตู้ ) เอากุญแจไปเปิด หลังจากทำความสะอาด แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ฉันก็ดึงเธอมากำชับว่าอย่าบอกใครนะ ก็ของมันน่าอายจะตายไป ใช่ป่ะ....เขาก็พยักหน้าหงึก ๆ แล้วหันหน้าไปแอบหัวเราะแบบเก็บเสียง คงกลั้นไม่ไหว ก็ฉันเห็นไหล่งี้กระเพื่อมเชียว ฉันไว้ใจคนผิดป่ะเนี่ย -"-


และแล้ว..วันรุ่งขึ้น...วันโลกาวินาศ เรื่องฉันอึแตกก็สะพัดไปทั่วโรงเรียน เดินผ่านไปไหน ๆ ก็มีแต่สายตาหัวเราะขบขันโฟกัสมา (นี่พวกมรรยาทดี)  ที่มรรยาทพอใช้ก็จะหัวเราะให้เห็นจะ ๆ เลย ฉันล่ะอายมาก อยากวิ่งหนีกลับบ้านซะตอนนั้นด้วยซ้ำ แต่กลัวครูภิญโญมากกว่า 555555 เลยจำใจเดินอยู่ในโรงเรียนด้วยความชอกช้ำเหลือประมาณ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแพร่ข่าวลือ  เพราะงานนี้มีผู้ต้องสังสัยถึง 3 คน ครูเวร, พี่เวร, และก็เธออะแหละ ถ้าเธออ่านแล้วนึกได้ ช่วยสารภาพด้วย แง่งงงง ทำไมถึงทำกับชั้นด้าย

ช่างทำกับฉันได้ลงคอนะ ฮึกฮือออออ…

ความทรงจำต่าง ๆ ...เหตุผลที่ฉันรักวัฒนาฯ

เพราะอะไรคนเราจึงเกิดความรักที่ซาบซึ้งตรึงใจได้?


เหตุผลหนึ่ง คงหนีไม่พ้นเพราะเรามีความทรงจำที่ดี ๆ  ดังจะค่อย ๆ เล่าเก็บไว้ในบล็อกนี้ และจะยินดีถ้ามีการแชร์ความทรงจำอันทรงคุณค่าของรุ่นพี่ รุ่นน้องคนอื่น ๆ ด้วย

ความทรงจำหมายเลข 1 ขอให้ชื่อว่า...นพพร วิ่งสู้ฟัด.....โปรดติดตามได้ ณ บัดนาว

สมัยก่อนที่ฉันเพิ่งเข้าโรงเรียนประจำใหม่ ๆ ปี 2516 โปรดนึกถึงบรรยากาศ ณ ช่วงเวลานั้น ๆ ด้วยค่ะ อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนเก่าแก่ ตั้งมานานมาก ๆ (135 ปีแล้ว) ผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 มาอย่างโชกโชน


ฉะนั้น เป็นธรรมดาที่จะมีกลิ่นอายของวิญญาณอยู่


เรื่องเล่าของผีทหารญี่ปุ่นเอย ผีครูเก่า ๆ เอย ผีรุ่นพี่ ฯลฯ สารพัดผี ทำให้เด็กหญิงอย่างฉันต้องนอนอั้นฉี่ถึงเช้าทุกวัน ไม่เคยลุกไปฉี่ตอนกลางคืนเลย



ให้คืนหนึ่ง ..ก่อนจะเล่าต้องขออธิบายนิด เพื่อความชัดเจนว่า สมัยนั้น ทุกเย็นหลังจากอาบน้ำแล้ว นักเรียนจะเข้าห้องเรียนที่ตึกเรียนเก่า เพื่อดูหนังสือทำการบ้าน พอได้เวลา ครูเวรก็จะค่อย ๆปล่อยนักเรียนกลับตึกนอนทีละชั้น ๆ แต่ละชั้นก็นอนไปตามตึกต่าง ๆ ทั่วโรงเรียน ตึกนอนของชั้นป.6 อยู่ไกลสุด (ตึก 5 หรือปัจจุบันเป็นตึกใหญ่โอ่อ่าทันสมัย วิญญาณนักรบญี่ปุ่นกระเจิงไปหมดแล้ว)


.............................


คืนนั้น ทุกอย่างก็ปกติดี ไม่มีลางร้ายใด ๆ พอถึงเวลา ครูเวรก็มาที่ห้องป.6 ข. ซึ่งอยู่มุมตึกเรียนพอดี มีหน้าต่างเยอะมาก ๆ พอกราบครูเสร็จ ก็แยกย้ายกันปิดหน้าต่าง หน้าต่างมีสิบกว่าบาน แต่นักเรียนมี 31 คน ฉะนั้น ฉันก็เลยเดินออกไปเข้าแถว ทันใดครูก็เรียกชื่อไว้



"นพพร.."


"ขา"


แล้วครูก็สั่งให้เพื่อน ๆ เปิดหน้าต่างออกทั้งหมด แล้วให้ฉันเป็นคนปิดคนเดียว โอ๊วมายก็อด หน้าต่างห้องเรียนเป็นหน้าต่างแบบโบราณ บานยาว ๆ เวลาเปิดก็สับขอเอาข้าง ๆ อ่ะค่ะ นึกออกไม๊


บานออกโต หนักด้วย โห..ครูให้หนูปิดคนเดียวเนี่ยนะ สมัยฉันเด็ก จ๋องกับครูมากค่ะ ไม่มีปากเสียง ครูสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ


อย่างที่บอก หน้าต่างมันบานใหญ่ กว่าจะปิดหมด ครูก็ปล่อยแถวเพื่อนไปเรียบร้อยแล้ว


ทีนี้ ฉันก็เลยต้องวิ่งสู้ฟัด..โกยเถอะโยมไปคนเดียว จินตนาการดูซิคะ เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง วิ่งตะลุยไปท่ามกลางวิญญาณทั้งหลายตามลำพัง


ระยะทางไกลพอดูนะคะ ไกลพอที่จะทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตัก ๆ ดังกว่าขบวนรถไฟซะอีก บรรยากาศก็มืด ๆ ต้นไม้ใหญ่เป็นเงาตะคุ่ม ๆ ตึกเก่า โรงเตี้ยมแฝงวิญญาณ  อ๊ะจึ๋ย....วิ่งไปก็หลับ ๆ เปิด ๆ ตาไป จะหลับตลอดทางก็ไม่ได้ เพราะมองไม่เห็น จะเปิดตาตลอดก็ไม่ไหว กลัวจะเห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น


............................................................ ................


สยองที่สุดในชีวิตเลยแหละค่ะ ไม่เคยลืมเลยความรู้สึกนั้น แม้จนวันนี้


เพราะตั้งแต่นั้นมา ฉันไม่เคยกลัวอะไรอีกเลย


แต่แปลกนะคะ ครูท่านที่ทำโทษฉันคืนนั้น กลับเป็นครูที่ฉันรักและเคารพมากที่สุด เป็นหมายเลข 1 ในดวงใจ คุณครูจินตา จุฑารัตน์ (สืบแสง) ค่ะ


ครูขา..หนูคิดถึงครูมากเลย แม้ว่าครูจะจากไปแล้ว แต่ในหัวใจของหนู ครูจะยังอยู่เสมอค่ะ กราบขอบคุณที่ทำให้หนูเป็นคนกล้าที่จะเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่างนะคะ

และไม่ว่าครูจะอยู่ที่ไหน หากมีญาณรับฟังได้ หนูอยากบอกว่า
              นพพรรักครูจินตามากที่สุดค่ะ

ฝันแรกของปี 2010



เราจะทำอะไรให้กับโรงเรียนอันเป็นที่รักได้บ้าง?

นับตั้งแต่ได้มีโอกาสเข้าไปคลุกคลีกับโรงเรียนหลังจากเรียนจบมา อันที่จริงจะว่าห่างเหินโรงเรียนไปเสียเลยก็คงพูดไม่ได้ เพราะจบออกไปแล้ว ก็ยังกลับเข้าไปเดินเล่นอยู่บ่อย ๆ ไปสวัสดีคุณครูที่รู้จัก ไปเดินสูดไอกลิ่น วัฒนา ที่คุ้นเคย  ไปลิ้มรสอาหารที่คุ้นลิ้น 55555555 อันนี้ชอบมาก นับจากวันที่ครูเสริมศรีฉุดไปกินข้าวในห้องอาหารครูซึ่งสมัยนั้นยังมีบรรดาครูผู้ยิ่งใหญ่นั่งกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว (ครูผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น ได้แก่ อจ.ประพิธ อจ.ภิญโญ อจ.เพ็ญเพ็ชร เป็นอาทิ) เมื่อผ่านเวลากลืนอาหารลำบากนั้นมาได้แล้ว ก็หาญกล้ามากขึ้น 555555555 ทีนี้เลยไปกินข้าวโรงเรียนบ่อย ๆ บางทีไปไม่เจอครูเสริมศรี ก็มีครูวารุณีจูงไปกินข้าวโรงเรียนแทน เพราะมักเลือกไปตอนที่ถึงเวลากินข้าว 55555555

แต่จริง ๆ แล้วมีความทรงจำเกิดขึ้นที่นี่นับไม่ถ้วน แต่ละความทรงจำ ตอนที่เกิดก็ขมขื่นน่าดู พอมานั่งย้อนกลับไปกลับได้นั่งอมยิ้ม ได้ความสุขอย่างบอกไม่ถูกข้างในหัวใจ (แก่ ๆ เหี่ยว ๆ) ดวงนี้  คนที่มีเลือดวัฒนาทุกคน จะเข้าใจคำพูดของฉันนี้ว่าไม่ได้โอเว่อร์ประการใด 

วันหลัง ๆ จะมาเขียนเล่าให้ฟังถึงวันเก่า ๆ ที่ตราตรึง แต่วันนี้ เราจะขอคุยเรื่อง ฝันแรกแห่งปี 2010 ก่อน  เดี๋ยวหาทางกลับมาไม่ถูก 55555555

ปีที่แล้ว วันหนึ่งจะเป็นวันที่เท่าไรไม่ปรากฏ(ใน memory) อยู่ ๆ ป๊าก สรีวิมล รุ่น 106 ก็เข้ามาหาที่บ้าน ชวนไปฟังการซ้อมร้องเพลง  เราก็...จะชวนไปทำมะหยังเนี่ยะ เพราะยังไงเสีย ชาตินี้ไม่มีวันร้องเพลงให้บุคคลที่ 4 อั๊พได้ฟังเด็ดขาด แต่ด้วยความที่เห็นแก่ อาหารโรงเรียน แท้ ๆ จึงตกลงไปเพราะได้ยินว่าจะได้กินข้าวโรงเรียน เหอ ๆ

แล้วต่อมา ป๊ากก็พาไปรู้จักพี่เต่า พร้อมกับสรรเสริญเยินยอฉันอย่างโอเวอร์ว่าเก่งงั้น เก่งงี้  ยัยป๊ากเอ๋ย ก็ถ้าฉันเก่งจริงอย่างที่เธอว่า...ฉันจะตกงานอย่างทุกวันนี้เหรอ? เฮ้ออออออ  คุยกันไปคุยกันมา ไม่รู้ได้เข้ามาทำวารสารได้อย่างไร  ไม่รู้ตัวเลยจริง ๆ  เริ่มแรกเดิมทีก็ได้จัดระเบียบทะเบียนรุ่นทั้งหมดก่อน กว่าจะทำเสร็จ (แต่ยังไม่สมบูรณ์นัก) เจ้าหืดก็วิ่งไปออแถวลำคอ

ขอสารภาพว่าเกิดมาไม่เคยทำงานสังคมใด ๆ ทั้งสิ้น  พอได้เข้ามาแล้ว พบเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งถูกใจ-คือได้รู้จักพี่ ๆ มากขึ้น ได้จับงานหนังสือโดยไม่คาดฝัน และไม่ถูกใจ-คือมีปัญหาในการทำงานตั้งแต่ต้น จนจบ กว่าจะจบปิดฉบับกันได้เนี่ย  ...หืดวิ่งจากคอฉันไปอาละวาดที่คอคนอื่น ๆ ด้วย!  แม้ว่าได้เข้ามาอยู่แค่ตะเข็บแนวชายแดนของสมาคมฯ ก็พอจะเห็นว่าสมาคมศิษย์เก่าวังหลังวัฒนาของเรานั้น มีความอ่อนแอ 

ก็ได้พูดคุยกับพี่ ๆ หลาย ๆ คน (คงต้องของสงวนนามอันทรงเกียรติของทุกคน คงผิดจรรยาบรรณถ้าเอามาเปิดเผยตอนนี้)  ปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้าโรงเรียนอันเป็นที่รักอยู่ทุกวันนี้ ส่วนตัวแล้วคิดว่า...ถ้าสมาคมมีความเข้มแข็งพอ เราจะผนึกกำลังต่อต้านภัยให้วัฒนาได้ แม้ว่าภัยนั้นจะเป็นซึนามิอันมหิทธานุภาพสักแค่ไหนก็ตามที 

เข้าเรื่องสักที ....ความฝันแรกของปี 2010 ฉันอยากทำให้สมาคมมีความเข้มแข็ง สมเกียรติภูมิความเป็นสมาคมศิษย์เก่าวังหลังวัฒนา  ลองมาคิดกันดูนะคะ  ชื่อเสียงของโรงเรียนมาจากไหน? ตัวโรงเรียนเองก็เป็นเพียงสถาปัตยกรรมที่ถึงแม้ว่าจะสวย แต่ก็ไม่ได้สวยขนาดว่าจะเลื่องลือไปทั่ว  แต่สิ่งที่ทำให้โรงเรียนมีชื่อเสียงนั้นมาจาก นักเรียนที่จบจากโรงเรียน หรือที่เรียกว่า ศิษย์เก่า ไงคะ ศิษย์เหล่านี้ได้นำคุณสมบัติที่ถูกปลูกฝังโดยครูอาจารย์วัฒนาฯ ไปทำประโยชน์จนเป็นที่ยอมรับของสังคมนอกโรงเรียน  จนเกิดการชื่นชมในตัวศิษย์เหล่านั้น และความชื่นชมเหล่านั้นก็สะท้อนกลับมาที่สถาบันที่หล่อหลอมความเป็นคนขึ้นมา 

การก่อกำเนิดสมาคมเกิดขึ้นจากเหตุผลใด ฉันไม่รู้  แต่ฉันคิดว่าวัตถุประสงค์ของสมาคมน่าจะมีอยู่ว่าเพื่อโยงใยสายสัมพันธ์ระหว่างศิษย์เก่าทุกรุ่นกับสถาบันการศึกษา  การโยงใยนั้นแน่นอน...ว่าต้องเป็นบุคคลสู่บุคคล  รุ่นพี่-รุ่นน้อง ในโลกทุกวันนี้ กาลเวลาที่ผ่านมา จำนวนน้อง ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย และความเปลี่ยนแปลงในสังคม ก็ปรับเปลี่ยนไปมากมายไม่แพ้กัน ความเจริญ (หรือเสื่อมถอย?) ของสังคมได้ก่อเกิดแนวคิดที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ  เป็นเรื่องธรรมดา เพราะในโลกเรา ไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน

การที่สมาคมจะเข้มแข็งได้นั้น ก็ต้องเติบโต และปรับตัวไปตามกระแสที่ผันไปเรื่อย ซึ่งไม่น่าจะยากอะไรถ้าเรามี ความรัก ของทุกคนที่มีต่อวัฒนาเป็นตัวขับเคลื่อน ความยากมันอยู่ที่จะทำอย่างไรให้ความรักของศิษย์เก่าทุกคนคงอยู่ และทำงาน (remains and effective)?  เพราะความรักไม่ต่างจากต้นไม้นั้นเกิดได้ ก็ตายได้ ถ้าไม่หมั่นรดน้ำดูแลรักษา  ดังนั้นภารกิจแรกของสมาคม น่าจะเป็น..การทำให้ความรักนั้นคงอยู่ และพร้อมจะผลดอกออกผลด้วย


สิ่งแรกที่คิดเลยคือ ออฟฟิศสมาคม ได้คุยไปกับหลายคนว่าทำไมสมาคมเราจึงมีออฟฟิศที่ไม่พร้อมในหลาย ๆ ด้าน แล้วอย่างนี้งานจะมีประสิทธิภาพได้อย่างไรกัน?  เพราะสำหรับฉันแล้ว การจะมีศิษย์เก่าที่จะเข้ามาทำงานในสมาคมอย่างมีประสิทธิภาพ ควรมีห้องทำงานที่ดูดี เอื้อประสิทธิภาพให้กับการทำงานในยุคสมัยนี้  เนื่องจากหลาย ๆ คนไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ โรงเรียน การเดินทางมาโรงเรียนก็ไม่ใช่เรื่องสะดวกสำหรับหลายคนนัก แต่ก็ยังมีคนอยากทำประโยชน์ให้กับโรงเรียนอยู่หลายคน ดังนั้น ถ้าสมาคมมีออฟฟิศอย่าง PTA แล้ว ฉันเชื่อว่าสมาคมจะบรรลุวัตถุประสงค์ได้ไม่ยากเย็น

มีเสียงจากรุ่นพี่คนหนึ่งบอกมาว่าฉันไม่ควรเปรียบเทียบกับ PTA เพราะเหตุว่า PTA นั้นมีเงินสนับสนุน แต่เราไม่มี  ก็แล้วทำไมคนที่จ่ายเงินสนับสนุน PTA จึงไม่สนับสนุนสมาคมด้วยเล่า?  ทั้ง ๆ ที่ลำดับความสำคัญ ฉันมองว่าสมาคมน่าจะมีความสำคัญไม่เป็นรอง PTA เลย  ที่แล้วใหญ่ไปอีกคือ มีข่าวแว่วว่า สมาคมอาจจะต้องระเห็จหกเหิรไปตั้งออฟฟิศนอกโรงเรียนวัฒนา  โอ...พระเจ้า...โปรดอย่าให้ลูกต้องออกไปอยู่นอกสวนวัฒนาเลย แค่คิดก็วังเวงแล้ว ฉันคิดว่า ออฟฟิศสมาคมศิษย์เก่าฯ สมควรตั้งอยู่ในอาณาเขตโรงเรียนวัฒนาฯ เท่านั้น  ถ้าอยู่นอกโรงเรียนเสียแล้วจะชื่อว่าสมาคมศิษย์เก่าวังหลังวัฒนาได้อย่างไรกัน?

ฉันอยากให้พี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนช่วยกันคิดว่าทำอย่างไร สมาคมจึงจะรักษาฐานมั่นไว้ในวัฒนาฯ ได้?  จากปัญหาต่าง ๆ ที่โรงเรียนกำลังประสบอยู่ เราต้องร่วมมือกันค่ะ จึงเกิดพลังที่เข้มแข็งพอจะรักษาวัฒนาฯ อันที่เป็นรักของเราไว้ได้.





~~วัฒนา...เกียรติคุณล้ำค่าเกินสิ่งใด
รักปักในหทัยทุกหมู่เคยอยู่มา~~

~~แม้อยู่ถึงแห่งไหนใจฉันยังคงมั่น
ไม่ห่างแม้ยามแก่เฝ้าคิดติดแด...
เฝ้านึกแต่โรงเรียน~~~